คุณคิดว่าบริษัทระดับโลกต้องเป็นที่อุดมของคนหัวกะทิ เป็นนักริเริ่มทำโน่นทำนี่ใหม่ตลอด คุณคิดว่าแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ หาเงินได้เยอะ ๆ และต้องมี DNA งานของผู้นำลงไปอยู่ในนั้นสักที่ ถ้าคุณเคยคิดแบบนั้น ลืมมันไปให้หมดเถอะ เพราะหลังจากที่ UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยกับ Ray Chan หนึ่งในผู้ก่อตั้ง 9GAG แพลตฟอร์มฮาข้ามชาติในงาน Digital Thailand Big Bang 2019 แล้ว ดูเหมือนสูตรนี้มันใช้ไม่ได้ผลสักนิด ก่อนจะไปเจาะว่า ทำไม “9GAG” ถึงเปลี่ยนจากแพลตฟอร์มขำ ๆ เป็นงานอดิเรกที่ทำหลังเลิกงานก้าวไปจริงจังในระดับระดมทุนที่ซิลิคอนวัลเลย์ ดินแดนสวรรค์ของสาย Tech จนวันนี้มีพนักงานมากกว่า 40 ชีวิตและวิธีการทำงานของ Ray Chan เป็นอย่างไร เราขอเริ่มต้นด้วย 4 เรื่องที่วันนี้คนส่วนใหญ่อาจยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับ 9GAG 1. ซีอีโอคอนเทนต์ตลกไม่ใช่คนตลก เรื่องนี้ Ray Chan พูดมาทุกสื่อเลยว่าเขาไม่ใช่คนตลกนะ อย่ามาให้เขายิงมุกเลย กระทั่งวันที่เราไปสัมภาษณ์เขาก็ยังยืนยันคำพูดนี้ กระทั่งยิ้ม หัวเราะให้กล้องเขายังขอปฏิเสธ แต่นั่นแหละ
ตอนอายุ 16 คุณฝันถึงอะไร? มีผู้ชายอายุ 16 ปี คนหนึ่ง ฝันอยากทำทีมฟุตบอลของตัวเอง ตอนอายุ 23 คุณกำลังทำอะไร? มีผู้ชายอายุ 23 ปี คนหนึ่ง ก่อตั้งสโมสรฟุตบอลและเป็นประธานสโมสรฟุตบอล ผู้ชาย 2 คนนี้คือคนเดียวกันและเป็นคนเดียวกับที่เคยถูกตราหน้าว่า “ก็แค่ลูกเศรษฐีทำทีมฟุตบอลแหละวะ” ใช่ เขาคนนี้ยังเป็นคนเดียวกับผู้ชายอายุ 33 ปี ที่พาสโมสรฟุตบอลซึ่งปลุกปั้นมากับมือผงาดคว้าแชมป์ไทยลีก 2019 ได้เป็นครั้งแรก “ฮั่น-มิตติ ติยะไพรัช” คือชื่อของชายคนนั้น หลายคนอาจคุ้นชื่อนี้จากข่าวกีฬา หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อนี้จากข่าวการเมือง เขาคืออดีตประธานสโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด และอดีตเลขาธิการพรรคไทยรักษาชาติ ปัจจุบันเป็นประธานที่ปรึกษาสโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด (ควบการเป็นผู้ช่วยโค้ช) ที่เพิ่งพาทีมคว้าแชมป์มาหมาด ๆ การเป็นลูกเศรษฐีมาทำทีมฟุตบอลมันง่ายอย่างที่ใคร ๆ ว่าจริงไหม? หัวใจสำคัญของการพาทีมคว้าแชมป์ไทยลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรคืออะไร? หาคำตอบได้จากการดำดิ่งไปในเรื่องราวของเขา พร้อมกันกับเรา จากความฝันที่ไปไม่ถึง สู่จุดเริ่มของการทำอีกภารกิจยิ่งใหญ่ คุณเคยฝันไหม? ฝันอยากเป็นอะไรบางอย่าง อยากไปถึงบางสิ่ง
“ความสำเร็จอาจจะเกิดจากใครสักคนมีชีวิตที่ดีขึ้นเมื่อเขาได้มาเจอเรา” นี่คือความสำเร็จที่ทั้งแปลกและมักน้อยที่สุดตั้งแต่เราเคยคุยด้วย เพราะมันไม่ได้วัดผลจากคุณภาพชีวิตของคนทำ ไม่ได้มุทะลุจะไปในระดับโลก และไม่น่าเชื่อว่าการตั้งเป้าหมายก้าวเล็ก ๆ แบบนี้จะเป็นเบื้องหลังเหตุผลของการขับเคลื่อนชีวิตในหัวใจใครได้ จากนี้ไปเป็นเรื่องราวที่เราพูดคุยกับอดีตเด็กหญิงวัย 17 ปีที่ไม่ชอบเรียนเลข มีการ์ตูนเล่มโปรดและไกด์บุ๊กการอยู่ต่างแดนเล่มเดียวกันคือ “เครยอนชินจัง” เธอฝันอยากเป็นนายกหญิงคนแรกของประเทศไทยจนเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจเรียนต่อและใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นนานถึง 10 ปี ถ้าพูดแบบนี้หลายคนคงเดาไม่ถูกแน่ ๆ แต่ถ้าสโคปให้สั้นลงว่าเด็กสาวในวันนั้นคือคอลัมนิสต์ที่เล่าเรื่องไลฟ์สไตล์ญี่ปุ่นจัดจ้านในวันนี้ เธอเป็นคนแรก ๆ ที่ทำให้เรารู้ว่าญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่ภูเขาไฟฟูจิและโตเกียวบานาน่าผ่านเว็บไซต์มารุมุระ และปัจจุบันยังเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนนี้คุณอาจจะเริ่มคิดออกแล้วว่าเธอคนนั้นคือใคร นี่คือ “เกตุวดี มารุมุระ” แต่วันนี้เราจะพาคุณมารู้จักตัวตนแท้ ๆ ของเธอในชื่อที่คุณอาจยังไม่คุ้น “ดร. กฤตินี พงษ์ธนเลิศ (เกด)” เป้าหมายของการเรียนต่อญี่ปุ่นคือการเป็นนายกหญิงคนแรก กว่าจะเป็นคนที่คุ้นเคยกับญี่ปุ่นดี วันที่เป็นแค่คนแปลกหน้าสำหรับกันและกัน เป้าหมายของเกดที่ตั้งใจไปเรียนต่อญี่ปุ่นคือการมีโปรไฟล์เรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์ก่อนสมัครเป็นนักการเมือง เธอยิ้มอย่างอารมณ์ดีและเล่าเรื่องความฝันชิ้นโตวันวานที่ล้มกระดานไปแล้วอย่างไม่อาย “สมัยเด็ก ๆ ฝันใหญ่มาก อยากจะเป็นนายกหญิงคนแรกของประเทศไทย อยากพัฒนาประเทศค่ะ ตอนนั้นตัวเองไม่ใช่คนที่เก่งเลขเลย แต่ก็ตัดใจ เลือกเรียนเศรษฐศาสตร์เดินตามทางปณิธานอันยิ่งใหญ่ เพราะรู้สึกว่าถ้าเราเป็นนักการเมืองขึ้นชื่อโปรไฟล์ว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์มันต้องดูเท่มาก ๆ พอเรียนไปได้ 4 ปีแล้วรู้สึกว่าด้วยความรู้ระดับเราที่ไม่ได้เข้าใจเศรษฐศาสตร์เท่าไหร่ คงสร้างนโยบายช่วยประชาชนไม่ได้แน่ เลยกลับมานั่งทบทวนตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราชอบ
โลกจดจำคนส่วนใหญ่จากความสำเร็จที่เขาได้ทำไว้ บางคนถูกพูดถึงเป็นร้อย ๆ ครั้งจากผลงานอันโดดเด่น บางคนถูกสังคมยกย่องด้วยความสำเร็จที่น่าประทับใจ แต่น้อยครั้งนักที่ผู้คนจะหันกลับมามองจุดเริ่มต้นก่อนจะก้าวสู่ความสำเร็จ ด้วยเหตุผลที่ปฏิเสธไม่ได้ที่ว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครประสบความสำเร็จมาตั้งแต่เกิด ทำให้ UNLOCKMEN ได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกับ คุณม่อน หรือ อุทิศ เหมะมูล นักเขียนรางวัลซีไรต์จากวรรณกรรมเรื่อง ‘ลับแล, แก่งคอย’ ที่ผู้คนมองว่าเขา ‘ประสบความสำเร็จ’ ด้านงานเขียนในงาน Zero to Hero Talk : The Art of Not Giving Up ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่ได้สร้างบทสนทนาเน้นความสำเร็จ เราอยากรู้ถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่อุทิศจะต้องยอมแลกเพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะก่อนใครสักคนจะกลายเป็นฮีโร่ล้วนต้องเริ่มจากศูนย์ไม่ต่างกัน จุดเริ่มต้นจากการค้นพบว่าเราไม่เก่งอะไรเลย เล่าเรื่องราวในวัยเด็กให้ฟังหน่อย ว่าก่อนที่จะมีอุทิศ เหมะมูล นักเขียนรางวัลซีไรต์ เรามีวัยเด็กแบบไหน ? ตอนเด็กผมค้นพบว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนที่ทำอะไรดีสักอย่าง เมื่อเราพูดถึงสิ่งที่เด็ก ๆ ทำได้ดี ก็คงจะต้องเป็นเด็กที่เรียนเก่ง แล้วเราก็จะถูกพ่อแม่บอกตลอดว่าถ้าสอบได้คะแนนติดอันดับ 1-3 จะมีของขวัญให้ ผมเลยรู้ว่าความดีของเรามันถูกวัดอยู่กับความสามารถในระบบการศึกษา ผมไม่ใช่คนที่จะเป็นเด็กดีในระบบการศึกษาเพราะคะแนนวิชาภาษาไทยผมก็ไม่ได้เรื่อง ทั้งที่ตอนนี้ผมเขียนวรรณกรรมแต่เคยสอบตกภาษาไทย คณิตศาสตร์ก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้
เราแก่ลงทุกวัน ความแก่เอาอะไรไปจากเราพอสมควร และดูเหมือนสิ่งจะเอาไปได้มากที่สุดคงเป็นความมั่นใจกับความภาคภูมิใจในการใช้ชีวิตต่อโดยไม่เป็นภาระใคร เคยลองจินตนาการไหมว่าถ้าเกษียณ ถ้าแก่ลง ไม่มีงานประจำให้ทำอีกต่อไป เราอยากจะเป็นคนแบบไหน อยากทำอะไร บางคนคิดว่าไกลตัวเลยไม่เคยวางแผนและคิดเอาล่วงหน้าว่าพลังที่โดนรีดจากความชราคงทำให้เราต้องใช้ชีวิตอย่างริบหรี่ “ลุงซึมเศร้ามาปีเลยนะ นั่งจนโซฟาหักเป็นตัว ๆ ดูไร้ค่า เพื่อนก็ไม่มี คนที่ทำงานอยู่ร่วมกันน่ะ เวลาออกมาแล้วเราเหมือนคน ๆ เดียวเลย อยู่แต่บ้านทุกวัน ๆ ลูกก็ดูแลเราตลอดเวลาไม่ได้ เพราะว่าเขาต้องทำงานถูกไหม ซึมเศร้านะ น้อยใจ เหมือนเกลียดตัวเองไปเลยว่าไม่มีค่าอะไรเลย สุขภาพก็จะแย่ลง ๆ” นี่คือประโยคที่ชายคนหนึ่งเคยพูดไว้ในวันที่หลายคนอาจจะมองว่าการเกษียณเพื่อให้ลูกหลานเลี้ยงดู เราจะสบาย พอใจกับค่านิยมนั่ง ๆ นอน ๆ ที่เราปลูกฝังกันมา แต่ความจริงปลายทางของคนเราไม่ได้มีแบบเดียว และ “ความแข็งแรง” อาจไม่ใช่อุปสรรคชีวิตอย่างที่คิด ก่อนจะไปถึงวันที่เราแก่กันมากกว่านี้ เราอยากให้คุณลองไปทำความรู้จักผู้ชายคนเดียวกันกับที่พูดประโยคด้านบน เขาเพิ่งมาโด่งดังในวัยเกษียณ มาลุกทำตามฝัน และมาบอกกับเรากว่า “ความแก่” ไม่ใช่สิ่งที่จะมาหยุดพลังการใช้ชีวิตของเรา เขาคนนี้คือคนในวงการโมเดลที่ความคิดไม่ได้แก่ลงตามวัย “ลุงติ๊กสเกล – ส.ท. พงศ์กาณฑ์ โกมลกนก” จากรปภ. เกษียณถึงศิลปินและครู คน
มีเรื่องราวมากมายและสิ่งของหลายชนิดบนโลกที่ผู้ชายอย่างเราหลงใหล คลั่งไคล้ กล้าทุ่มเททั้งชีวิตให้ ตั้งแต่ของชิ้นใหญ่อย่างบ้านดีไซน์ในฝัน ซูเปอร์คาร์คันงาม หรือไอเทมในชีวิตประจำวันอย่างเสื้อผ้า รวมถึงนาฬิกาข้อมือที่มีมากมายหลายรูปแบบให้เลือกสรรตามรสนิยมเฉพาะตัว ถ้าพูดถึงนาฬิกาข้อมือ หนุ่ม ๆ หลายคนคงให้ความสำคัญกับไอเทมชิ้นนี้อยู่แล้วไม่มากก็น้อยเพราะคาดเพื่อใช้งานกันเป็นประจำ แต่ด้วยขนาดที่เล็กรัดรอบข้อมืออาจทำให้หลายคนมองข้ามรายละเอียดของมันไป ทว่าสำหรับคุณป๊อก – อุกฤษณ์ วนโกสุม ความหลงใหลด้านการสะสมและสวมใส่นาฬิกาของเขาเทียบได้กับลมหายใจ เพราะไม่มีเวลาไหนที่ชายคนนี้ไม่มีเรื่องของนาฬิกาอยู่ในหัว แต่อะไรจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสนใจค้นคว้าความรู้เกี่ยวกับนาฬิกาเพื่อให้ตัวเองจดจำได้ไม่รู้เบื่อ มาฟังคำตอบจากเขาไปพร้อมกัน แนะนำตัวเองหน่อยครับ ตอนนี้ทำอะไรอยู่ครับ ? สวัสดีครับ ผมป๊อก – อุกฤษณ์ วนโกสุม ตอนนี้เป็นรองกรรมการผู้จัดการ เค.ดับบลิว เม็ททัลเวิร์ค จำกัดมหาชนแล้วก็เป็นเจ้าของบล็อกเกี่ยวกับนาฬิกาที่ชื่อ LWQP ครับผม เส้นทางความชอบนาฬิกาของคุณป๊อกมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และเริ่มต้นได้ยังไง ? เรียกว่าชอบมาตั้งแต่เด็กเลยก็ได้ครับ ผมคิดว่าตัวเองชอบนาฬิกาผ่านทางกรรมพันธุ์มาเลย เพราะได้รับอิทธิพลจากคนใกล้ตัวมาตั้งแต่ยังเด็ก คุณแม่เล่าให้ฟังว่าอากงเป็นคนที่มีความชอบเรื่องนาฬิกามาก ๆ เขาจะมีนาฬิกาเรือนที่รักมานั่งปัดเช็ดตลอดเวลา แม้ก่อนที่อากงเสียก็ยังพูดถึงเรื่องนาฬิกาของพี่ชายอยู่เลย จนมันถูกส่งต่อมาถึงผม คุณพ่อก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ผมชอบนาฬิกาเหมือนกัน จำได้เลยว่านาฬิกาเรือนแรกที่ผมใส่เป็นนาฬิกาที่คุณพ่อไปที่เยอรมนีแล้วซื้อมาให้ เรือนนั้นเป็นนาฬิกา Quartz หน้าปัดสีขาวมีธงชาติอยู่ตรงหลักชั่วโมง ผมชอบใส่มาก ใส่จนมันพังเพราะว่าเราไปขี่จักรยานแล้วชนกำแพง แต่ที่น่าประทับใจอีกเรื่องคือ หลังจากนั้นประมาณอีก 10 กว่าปี
ถ้าพูดถึงอาชีพนักแสดง คนส่วนใหญ่ที่มีหน้าที่เป็นผู้ชมมักมองข้ามถึงความยากก่อนจะมาเป็นภาพยนตร์หรือละครสนุก ๆ ให้เราได้รับชม เพราะภาพที่คนส่วนใหญ่เห็นคือนักแสดงที่มีคนคอยดูแลจัดการทุกอย่าง มีคนคอยกางร่มให้ มีคนแต่งหน้าให้ แถมยังเป็นอาชีพที่ใคร ๆ ก็มองว่าได้เงินง่าย หลาย ๆ สิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของนักแสดงดูเป็นอาชีพที่ได้เงินง่ายแถมมีคนคอยเอาใจอยู่เสมอ แต่น้อยคนนักที่จะเห็นถึงความยากลำบากที่นักแสดงก็ต้องพบเจอด้วยเช่นกัน ในวันนี้ UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยกับนักแสดงมากความสามารถอย่างมาริโอ้ เมาเร่อ ที่ทำให้เราได้รู้ว่าภายใต้อารมณ์ขันมากด้วยเสน่ห์ของเขาเต็มไปด้วยมุ่งมั่นทุ่มเททั้งการทำงานและสิ่งที่รักไปพร้อมกัน ความจริงจังในการทำงานที่คนส่วนใหญ่มักมองไม่เห็น จุดเริ่มต้นในวงการบันเทิงของ มาริโอ้ เมาเร่อ มันเริ่มมาจากตรงไหน ? เริ่มมาจากตอนเด็ก ๆ ผมออกมาช่วยงานที่บ้านครับ บ้านของผมสมัยก่อนทำปั๊มน้ำมันผมก็เลยเป็นเด็กปั๊ม เติมน้ำมันอยู่แล้วก็มีแมวมองมาเห็นผม แต่ก่อนที่แมวมองจะเจอผมก็เคยไปแคสงานหลายที่นะครับแต่ว่าไม่ได้เลยเพราะผมขี้อาย สุดท้ายไปแคสหนังเรื่องแรกชื่อว่า ‘รักแห่งสยาม’ ที่ทำให้คนรู้จักโอ้ขึ้นมา การเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นความฝันวัยเด็กของมาริโอ้รึเปล่า ? ไม่ได้เป็นครับ เพราะตอนเด็ก ๆ ไม่ได้คิดถึงเรื่องเข้าวงการเลย จริง ๆ แล้วผมอยากเป็นนักธุรกิจเพราะเห็นคุณพ่อทำธุรกิจแล้วเท่ แล้วผมก็รู้ว่าจริง ๆ แล้วการทำธุรกิจไม่ใช่แค่นั่งเท่ ๆ อยู่ติดโต๊ะ แต่เราต้องจัดการอะไรหลายอย่าง พอเห็นพ่อแม่ทำก็เลยรู้สึกว่าอยากทำบ้าง แต่ด้วยจังหวะชีวิตทำให้เราได้ไปแคสติ้งภาพยนตร์ ตอนนั้นผมไม่ได้มองเรื่องการแสดงเลย คิดแค่ว่าจะเอาเงินไปซื้อสเกตบอร์ดเล่น ทุกเส้นทางของชีวิตต่างต้องเจอกับอุปสรรคและเรื่องราวที่ยากลำบาก
“ผมไม่ใช่คนตลก” อาจมีใครหลายคนออกตัวแบบนั้น อาจมีใครหลายคนที่บอกกับคนอื่น ๆ ว่าเรื่องมุกขำขัน เสียงหัวเราะ ความตลกและการเสียดสีเป็นเรื่องที่เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย แต่ถ้า “ผมไม่ใช่คนตลก” คือประโยคที่ออกมาจากปาก น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา พิธีกรมืออาชีพที่ใคร ๆ ก็ลงความเห็นว่าตลกหาตัวจับยาก เราคงส่ายหัวไม่เชื่ออยู่ในใจ แต่น้าเน็กบอกกับเราแบบนั้นจริง ๆ และเราก็ตกตะลึงเป็นครั้งที่หนึ่ง ก่อนจะตกตะลึงเป็นครั้งที่สองเมื่อน้าเน็กบอกว่าแม้เขาจะไม่ใช่คนตลก แต่สำหรับเขาความตลก อารมณ์ขันและเสียงหัวเราะเป็นเครื่องมือที่ขับเคลื่อนชีวิตเขาไปสู่ความสำเร็จ สำหรับเขาความตลกจึงไม่ต่างจากปรัชญาและศาสตร์ล้ำลึกที่เขาตั้งใจเรียนรู้อย่างมุ่งมั่นและหนักหน่วงเพื่อทำให้ตัวเองแตกต่างและโดดเด่นออกมาในโลกและสมรภูมิการงานที่เชือดเฉือนกันอย่างดุเดือด เฮ้ย ถามจริง ความตลกนี่ต้องเรียนรู้กันขนาดนั้นเลยเหรอวะ? เราแอบอุทานในใจเพื่อไม่ให้น้าได้ยิน แต่เมื่อเขาบอกเราอย่างหนักแน่นว่าปรัชญาการทำงานอย่างหนึ่งของเขาคือการคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “มันจะต่างออกไปในความเหมือนเดิมได้ยังไง?” เราก็เชื่อหมดใจว่าคนอย่าง น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา พร้อมควานหา เสาะแสวงเพื่อตามหาหนทางที่ดีขึ้น แตกต่างขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ความตลกและเสียงหัวเราะที่แม้เขาจะไม่ใช่คนตลกโดยธรรมชาติ แต่ก็เรียนรู้มันในฐานะศาสตร์หนึ่งอย่างรอบด้านจนใช้ความตลกเป็นเครื่องมือได้อย่างมืออาชีพ จากโทรทัศน์สู่ออนไลน์ เพราะไม่ใช่คนตลกจึงหาหนทางใหม่ได้เสมอ เราเชื่อว่าใครหลายคนผูกภาพจำว่าน้าเน็กต้องมาพร้อมความตลก ดุเดือด จนเคยมีคำนิยามพิธีกรฝีปากคมผู้นี้ว่า “โลดโผน หัวสี ปราดเปรียว เกรี้ยวกราด” จากภาพลักษณ์วันวานในจอแก้วสู่รายการในโลกออนไลน์อย่าง อย่าหาว่าน้าสอน และ หงี่-เหลา-เป่า-ติ้ว ที่มีคนดูเป็นแสน ๆ
พี่ไปเริ่มต้นปั้นพระตอนไหน? “ไปเป็นเพื่อนเขา ไปปั้น ๆ ขยำ ๆ อยู่ 3 ปี แต่ก็ปั้นพระอย่างเดียว” ทำไมพี่ต้องปั้นพระ? “อ้าวแล้วทำไมจะไม่ใช่พระ ทำไมเป็นพระไม่ได้” “เออว่ะ…” คำตอบของมง – พงพันธ์ รุ่งหิรัญรักษ์ ครีเอทีฟไดเรกเตอร์จาก Mullen Lowe เอเจนซี่ระดับสากล มีดีกรีเป็นอาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ และเป็นศิลปินนักปั้น “พระ” ที่มีผลงานเป็นเอกลักษณ์ ทำเอาคนถามอย่างเราเสียทรงแล้วพยักหน้าเห็นด้วย จำได้ว่าตลอดการพูดคุยต้องตั้งสติไปเป็นระยะเพราะโดนซัดคำถามกลับมาแบบไม่ทันตั้งหลักหลายครั้ง และไม่บ่อยนักที่คนสัมภาษณ์อย่างเราจะต้องกลายเป็นคนตอบคำถามจากอีกฝ่ายเสียเอง ต่อไปนี้เราจะมาคุยเรื่องพระ ศาสนา ความสุข ความทุกข์ กับคนธรรมดาที่อยู่ในวงการโฆษณามา 20 ปี เขามีเหตุให้บังเอิญไปเกี่ยวข้องกับโลกของศิลปะ (ทำงานร่วมกับศิลปินระดับนานาชาติ) และศาสนาเพราะ “Intuition” ล้วนพร้อมการสร้างวีรกรรมแบกพระปั้นเอง 7 กิโลฯ ไปถวายองค์ดาไลลามะที่อินเดียกับมือมาแล้ว “มาทำงานกับผมไหม?” มงเล่าว่าก่อนจะปั้นพระได้ ก่อนจะได้เป็น curator (นักจัดงานศิลปะ) ทั้งหมดเริ่มจากการตามลุงของเพื่อนซึ่งเป็นเพื่อนของอาจารย์คามิน ชัยประเสริฐไปและได้พบกับอาจารย์เข้า ขากลับตอนจะแยกกัน อาจารย์คามินชักชวนให้ไปทำงานด้วยโดยให้โจทย์ว่า
“เราทุกคนล้วนเคยผิดพลาด” เรากล้าพูดประโยคนี้ได้เต็มปากเต็มคำ ด้วยเชื่อว่ามนุษย์เราเกิดมาย่อมต้องเคยพลั้งเผลอทำอะไรที่ไม่ควรลงไปกันทั้งนั้น บางคนอาจพลั้งในสิ่งเล็กน้อย ในขณะที่บางคนพลาดจนพาตัวเองดำดิ่งลงไปในหลุมมืดมิดและคิดไม่ได้ว่าจะหาทางออกจากบ่อแห่งความผิดพลาดอันอนธการนั้นอย่างไร ถ้าเราร่วงหล่นลงไปในหลุมหม่นดำไร้ทางออก เราก็คงทำได้แค่จมลึกลงไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็ไร้เรี่ยวแรง ดิ่งอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดแล้ว แต่หากปากหลุมคือชีวิตใหม่ คือแสงสว่าง คือเพื่อนมนุษย์ที่เชื่อและยังมีความหวังในตัวเรา ไม่ว่าเราจะทำผิดพลาดไปแค่ไหน แต่มีคนที่พร้อมจะโอบกอด ให้อภัย ให้โอกาสและรับเราเข้าสู่สังคมอีกครั้ง ชีวิตใหม่นั้นจะดีแค่ไหน? เราจึงอยากชวนทุกคนมารู้จัก “BORN AGAIN” โปรเจกต์ทางดนตรีที่เต็มไปด้วยความหวังและความเชื่อว่ามนุษย์ไม่ว่าจะเต็มไปด้วยร่องรอย บาดแผล เคยต้องโทษ ถูกจองจำในหลุมมืดมิดมานานแค่ไหนก็พร้อมมีชีวิตใหม่อีกครั้ง เพียงทุกคนเปิดโอกาสให้พวกเขา นี่จึงเป็นโปรเจกต์ที่ใช้สื่อกลางอย่างดนตรีสื่อสารกับพวกเขาและคนในสังคมเพื่อบอกว่าทุกคนคู่ควรจะมีชีวิตใหม่อีกครั้ง หรั่ง-อัครินทร์ ปูรี, เจย์-สัจจเทพ และ SUNNY DAY (หรือที่เราคุ้นกับเขาในชื่อ เดย์ ไทเทเนียม) คือมนุษย์ 3 คนที่ริเริ่ม BORN AGAIN โปรเจกต์ที่ใช้ดนตรีเป็นสื่อระหว่างโลกที่เราเชื่อว่าสว่างกับบางมุมของโลกที่เราเชื่อว่าแสนมืดมิดอย่าง “ผู้ต้องขังในเรือนจำ” โดยดนตรีของพวกเขาส่งเสียงบอกคนในเงามืดนั้นว่า “คุณมีชีวิตใหม่ได้เสมอ” ด้วยการกระโจนลงไปเล่นดนตรีสด เปิดคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ในเรือนจำแต่ละแห่ง ให้ผู้ต้องขังทุกคนได้สัมผัสกับดนตรีและความเชื่อที่จะกลับตัวใหม่ รวมถึงการทำเพลงที่ชื่อเดียวกับโปรเจกต์ บอกเล่าเรื่องราวของหรั่ง ที่นอกจากจะเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มโปรเจกต์นี้ เขายังเป็นอดีตนักโทษชั้นเลวที่กลับตัว กลับใจและกลับมาใช้ชีวิตในสังคมอย่างขาวสะอาด เพื่อให้ชีวิตในมุมมืดของหรั่ง