ในวันที่ (เขาว่ากันว่า) หนังสือกำลังจะตายและร้านหนังสือหลายร้านทยอยปิดตัวไปอย่างเงียบเชียบ ราวกับว่าลมหายใจสุดท้ายของหนังสือกำลังรวยริน แต่ร้านหนังสืออิสระหลายร้านก็ยังคงยืนเด่นด้วยอัตลักษณ์ ด้วยวิธีคิดที่ชัดเจนว่าร้านหนังสือต้องไม่ใช่แค่พื้นที่ซื้อ-ขายหนังสือ แต่ต้องมีลมหายใจ มีชีวิต มีพื้นที่ให้ผู้คนเชื่อมโยงอยู่ในนั้นด้วย UNLOCKMEN เลยถือโอกาสนี้คุยกับ “แป๊ด-ดวงฤทัย เอสะนาชาตัง” เจ้าของ candide books (ร้านหนังสือก็องดิด) ที่ก็เชื่อเช่นนั้น เชื่อเช่นว่าหนังสือจะไม่ตาย ร้านหนังสือจะไม่ตายเช่นกันตราบใดที่เชื่อมโยงกับผู้คน และต่อให้วันหนึ่งร้านหนังสือต้องตายลง เธอก็ไม่ได้ว่าอะไรตราบใดที่ผู้คนยังคงอ่านอยู่ แต่ถ้าถามว่าเธอเชื่อมั่นในการเป็นคนทำหนังสือแค่ไหน เธอก็ตอบเราได้เต็มปากเต็มคำว่า “ทุ่มให้ทั้งชีวิต ไม่เคยคิดถึงอย่างอื่นเลย” แล้วอย่างนี้จะอดใจไม่ให้อยากคุยกับเธอได้อย่างไร… ทำงานเกี่ยวกับหนังสือมาตลอดเลยไม่ว่าจะเป็นกองบรรณาธิการ ทำสำนักพิมพ์ ร้านหนังสือ อะไรทำให้เราเชื่อในการทำงานกับหนังสือได้ขนาดนั้น พี่ไม่สามารถทำอะไรทีไม่เกี่ยวข้องกับหนังสือได้ ตั้งแต่พี่เรียนจบมา งานแรกก็ทำนิตยสาร จากนั้นทำพ็อคเก็ตบุ๊ค จนสุดท้ายก็มาทำสำนักพิมพ์เอง ก่อนจะมาทำร้านหนังสือ พี่ก็คิดไม่ออกเลยว่าจะทำอาชีพอื่นได้ มีอาชีพเดียวที่เราอยากทำ ตั้งแต่มัธยม ก็มาทางนี้ตลอดไม่เคยไปทางอื่นเลย ถ้าถามว่าเชื่อมั่นไหม ก็ทุ่มทั้งชีวิตไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นเลย ที่บ้านอยากให้ทำงานราชการเพราะที่บ้านเป็นคนต่างจังหวัด ป๊าก็จะถามตลอดว่าไม่ทำราชการเหรอ แต่พอเราทำจนเลี้ยงตัวเองได้ และส่งเงินกลับไปที่บ้านได้ด้วย เขาก็เห็นว่า อ้าว มันก็ทำได้นี่หว่า อาชีพแบบนี้ ถึงจะทำงานกับหนังสือเหมือน ๆ กัน ในมุมมองเราการเป็นเจ้าของร้านหนังสือ เป็นกองบรรณาธิการ เป็นนักเขียน
ใครทำงานแล้วไม่เครียดก็เทพเกินไปแล้ว แต่ถ้าทำแล้วไม่เครียดได้จริงเราก็ขอคาราวะและแสดงความดีใจด้วย แต่เราเชื่อว่าผู้ชายสาย Work Hard Play Hard ทุกคนต้องเคยผ่านประสบการณ์หัวแทบระเบิดกระจุยกระจายจากความเครียดกันมาแล้วทุกคนแน่นอน นอกจากวิธีพักชั่วคราวอย่างการฟังเพลง ลงไปดูดบุหรี่ระหว่างวัน หรือคุยกับเพื่อนร่วมงาน UNLOCKMEN ยังเอาวิธี UNLOCK วิธีคิดเพื่อให้ความเครียดมลายหายไปมาฝากผู้ชายสายบ้าระห่ำกับงานทุกคนด้วย เฮ้ นาย นายเพอร์เฟกต์ทุกอย่างไม่ได้หรอก การทำงานต้องสมบูรณ์แบบน่ะใช่ ถ้าเราคิดเบื้องต้นไว้อย่างนี้ เราก็จะเต็มที่ที่สุดกับทุกงานที่อยู่ตรงหน้า แต่ประเด็นก็คือถ้าเราเต็มที่ที่สุดแล้วแต่เราก็ยังรู้สึกว่าแม่งไม่เพอร์เฟกต์สักทีวะ! อันนี้แหละที่จะทำให้เราเครียด เราต้องคิดไว้ในสมองของเราตลอดเวลาว่าเราเต็มที่ที่สุดได้ แต่ทุกอย่างจะเพอร์เฟกต์ล้านเปอร์เซนต์อย่างที่เราคาดวังแม่งไม่ได้ว่ะ! นอกจากทำเต็มที่แล้วอีกด้านหนึ่งก็ต้องรู้จักปล่อยวางลงบ้าง ไอ้ความเครียดที่สุมหัวอยู่จะได้เบาบางลงไปสักที อะไรที่เหนือการควบคุมของเรา เราต้องปล่อย เราควบคุมตัวเองได้ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่บางครั้งความเครียดก็มาพร้อมความคิดที่ว่าเราต้องการควบคุมทุกอย่างให้ได้เบ็ดเสร็จเหมือนที่เราควบคุมตัวเอง ซึ่งถามจริง มันทำได้หรอวะนาย? ไม่ได้หรอก ปัจจัยการทำงานมันผสมผสานกันเป็นสิบเป็นร้อยอย่าง เราควบคุมตัวเองได้ดีแต่บางทีเราควบคุมคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นวิธีที่จะไม่เครียดเกินไปต้องยอมรับว่ามันมีปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้อยู่ และเมื่อมันอยู่นอกเหนือศักยภาพเราแล้ว เราก็ต้องปล่อยมันไปบ้าง อย่าฝืน ขีดเส้นแบ่งเขตงานกับชีวิตให้ดี งานคือส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต เราควรแบ่งเขตให้ชัดเจนว่างานควรหยุดอยู่แค่ไหน เราอาจให้เวลากับงานไปเลย 8-10 ชั่วโมง แต่ถ้านอกเหนือจากเวลานั้นเราก็ต้องขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจยว่าเราควรมีเวลาหยุดพักผ่อน ไม่ปล่อยให้งานรุกล้ำเข้ามาในขอบเขตพื้นที่ส่วนตัว ไม่อย่างนั้นเราก็จะเครียดกับงานตลอดเวลา ไม่ว่าจะกินข้าว เดินเล่น หรือกำลังจะเข้านอน