BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ประกาศเปลี่ยน Logo หรือตราสัญลักษณ์ครั้งแรกในรอบ 23 ปีและเป็นโลโก้แบบที่ 6 ในรอบ 103 ปีแห่งการก่อตั้งแบรนด์ โดยรถยนต์คันแรกที่ติดตราสัญลักษณ์ใหม่คือ BMW Concept i4 รถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้บีเอ็มดับเบิลยูหวังจะทำให้ผู้คนเข้าถึงรถยนต์ของพวกเขามากยิ่งขึ้นในอนาคต ปี 2019 บีเอ็มดับเบิลยูเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงถึง 23.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามภายใต้ยอดขายที่ดีขึ้นต่อเนื่องพวกเขายังคงพัฒนาตัวเองให้พร้อมเข้าสู่โลกของผู้ผลิตรถยนต์สมัยใหม่ไปพร้อมกัน แต่ก่อนที่เราจะได้รู้จักรถยนต์คันใหม่ที่จะเปิดตัวออกมาในอนาคต วันนี้คอลัมน์ THE ICONIC CARS อยากพาทุกคนย้อนกลับไปทำความรู้จักโลโก้ในอดีตทั้ง 5 ของบีเอ็มดับเบิลยู รวมถึงยนตรกรรมที่โดดเด่นในยุคสมัยของโลโก้นั้น ๆ มาดูกันว่าตลอด 103 ปี สัญลักษณ์แห่งพลังจากแคว้นบาวาเรียนี้ได้สร้างอิทธิพลต่อวงการรถยนต์ไปแค่ไหนและมีรถรุ่นอะไรที่สร้างภาพจดจำให้กับตราสัญลักษณ์ของพวกเขาบ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อมกัน Begin of BMW Logo! โลโก้ของบีเอ็มดับเบิลยูมีจุดเริ่มต้นที่ยาวนานโดยต้องย้อนกลับไปในปี 1913 หนึ่งปีก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 1 จะสิ้นสุดลง ชายที่ชื่อ Karl Rapp ตัดสินใจก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องยนต์และชิ้นส่วนเครื่องบินโดยใช้ชื่อว่า Rapp Motorenwerke ในช่วงแรกบริษัทของ Karl
Audi ถือเป็นอีกค่ายที่มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลายรุ่นเตรียมไว้สำหรับแข่งขันในตลาดในอนาคต หนึ่งในนั้นคือเอสยูวีอย่าง E-Tron 55 Quattro ที่เปิดตัวรถคอนเซ็ปต์ครั้งแรกในปี 2015 และเพิ่งส่งมอบรถคันแรกในลูกค้าไปเมื่อเดือนมีนาคมปี 2019 ที่ผ่านมา หลังเปิดตัว E-Tron กลายเป็นรถที่ได้รับความนิยมได้ทั่วทวีปยุโรปด้วยยอดจองเกิน 10,000 คัน รั้งตำแหน่งรถยนต์ที่ถูกสั่งจองเป็นอันดับ 2 ในเดือนธันวาคมปี 2019 ของประเทศเนเธอแลนด์ แต่พร้อมกันนั้น Audi ก็ได้ทำการพัฒนา E-Tron ออกมาเป็นเอสยูวีครอสโอเวอร์ในชื่อ E-Tron S และ E-Tron Sportback S แต่รถทั้ง 2 คันจะพัฒนาขึ้นจากรุ่นมาตรฐานในจุดไหนบ้าง มาชมไปพร้อมกัน เริ่มที่เรื่องสำคัญที่ทำให้ E-Tron S และ E-Tron Sportback S มีประสิทธิภาพมากขึ้น คือรถทั้ง 2 รุ่นเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยมอเตอร์ 1 ตัววางไว้ที่เพลาขับด้านหน้าและอีก 2 ตัวที่เพลาขับด้านหลัง ทั้งหมดให้พลังรวมกันที่
Citroën (ซีตรอง) ค่ายผลิตรถยนต์จากฝรั่งเศสเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ของค่ายที่มาพร้อมขนาดกะทัดรัด โดยตั้งใจสร้างให้เป็น Urban Cars ที่ใช้งานในเขตเมืองพร้อมเปิดให้บริการทั้งแบบซื้อขาดและเช่าขับในราคาถูก โดยตั้งชื่อให้ว่า Ami หรือแปลเป็นชื่อไทยว่า เพื่อน ย้อนกลับไปในปี 2019 ซีตรองเปิดตัวรถยนต์คอนเซ็ปต์ชื่อว่า Ami One เพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีของแบรนด์ นั้นคือโมเดลต้นแบบที่ซีตรองนำมาพัฒนาต่อเป็น Ami รุ่นปัจจุบันซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้จะมีฟังก์ชันอะไรน่าสนใจบ้าง มาชมไปพร้อมกัน Ami เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 2 ที่นั่งมีความยาวหัวจรดท้ายที่ 2.41 เมตร สร้างขึ้นภายใต้รูปแบบที่วางไว้ให้ใช้อะไหล่น้อยชิ้นที่สุด ยกตัวอย่างคือบอดี้รถด้านหน้าและด้านหลังจะใช้ร่วมกันได้ ประตูทั้ง 2 ข้างที่เปลี่ยนทดแทนได้ ตัวรถมาพร้อมกระจกขนาดใหญ่ 3 ด้าน รวมถึงหลังคากระจกที่ช่วยให้มีทัศนวิสัยในการขับที่กว้างมากเมื่อเทียบกับขนาดของรถ ด้านขุมพลัง Ami ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 6 กิโลวัตต์ที่ให้พลังเทียบเท่า 8 แรงม้าทำให้รถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 45 กิโลเมตร/ชั่วโมงซึ่งเหมาะต่อการใช้งานในเขตเมือง เช่นไปซื้อของหรือออกกำลัง รถคันนี้มีระยะทางวิ่งอยู่ที่ 70 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ผ่านสายไฟบ้านโดยใช้เวลาชาร์จประมาณ 3 ชั่วโมง
ผ่านไปแล้วสำหรับงานรวมตัวประจำปีครั้งใหญ่ของคนรักบีเอ็มดับเบิลยูอย่าง BIMMERMEET ครั้งที่ 4 โดยงานในปีนี้ยังคงจัดอย่างยิ่งใหญ่และมาพร้อมการเปิดตัวโปรเจกต์ “BMW Unbound World of Art Series” เพื่อมอบประสบการณ์งานศิลปะระดับโลกให้คนไทยได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด เนื่องในโอกาสพิเศษฉลองครบรอบ 45 ปี “ BMW Art Cars” โปรเจกต์สุดติสท์ที่มีศิลปินชื่อก้องโลกเคยรังสรรค์ผลงานเอาไว้ถึง 19 คัน งานนี้บีเอ็มดับเบิลยูจับมือกับ 9 ศิลปินชั้นนำจากหลากหลายแขนงทั้งในและต่างประเทศมาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานลงบนรถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยูและเปิดตัวสู่สายตาผู้คนเป็นครั้งแรกภายในงาน รวมถึงความพิเศษอีกมากมายภายในงานที่ UNLOCKMEN เก็บมาฝากทุกคน พร้อมบทสัมภาษณ์พิเศษจากเหล่าศิลปินที่ฝากผลงานไว้ในโปรเจกต์นี้ เมื่อเริ่มเข้าสู่งานซึ่งจัดขึ้นที่อิมแพค สปีด ปาร์คบอกเลยว่าเราสัมผัสได้ถึงความน่าสนใจและความยิ่งใหญ่ที่เพิ่มขึ้นทุกปีสำหรับงานรวมพลคนรักบีเอ็มดับเบิลยู BIMMERMEET#4 ที่ปีนี้มาในคอนเซ็ปต์ “Tribute to BMW Art Cars” ฉลองครบรอบ 45 ปี BMW Art Cars ซึ่งขนเอาโมเดลเจ้าฃองงานศิลปะระดับตำนานของอาร์ตคาร์ทั้ง 19 คันมาให้ชมกันอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนั้นบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยยังได้จัดโปรเจกต์ “BMW Unbound World of Art Series” ขึ้นเพื่อชวนคนไทยมาสัมผัสประสบการณ์งานศิลป์ของ
“อดีตอันหอมหวาน คือภาพจำที่ทำให้เราต่างถวิลหาอยู่เสมอ” ประโยคนี้ถูกยืนยันความจริงแท้ในตัวของมันเองได้จากกระแสย้อนยุคที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ซึ่งจะว่าไปแล้วเทรนด์การโหยหาอดีตนั้นแทบจะไม่ได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์แต่อย่างใด จะต่างไปก็เพียงแค่ยุคสมัยที่ถูกยกตำแหน่งให้เป็น ‘ยุคที่คิดถึง’ สำหรับคนในเจเนอเรชันนั้น ๆ อย่างในปัจจุบันคงต้องยอมรับว่าคนในเจเนอเรชันเรากำลังยกให้ยุค 80 – 90 เป็นยุคที่เราต่างก็คิดถึง ทำให้ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ วิถีชีวิต แฟชั่น ดนตรี อุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้จากยุคนั้น ๆ ล้วนถูกนำมาฉายซ้ำในรูปแบบของสินค้า กิจกรรม รวมถึงซับ-คัลเจอร์บางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าเราพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งแทนอดีตเหล่านั้นเข้ามาด้วยความเต็มใจ และสำหรับผู้ชายอย่างเรา ๆ สองล้อคันเก๋าระดับตำนาน คือหนึ่งในไอเทมตัวแทนอดีตที่ยากจะหมางเมิน แค่ได้เห็นยังใจเต้น ยิ่งถ้าได้ครอบครองเป็นเจ้าของเอาไว้ขับเล่นมันยิ่งเป็นอะไรที่เติมเต็มความฝันได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าจะให้พูดถึงตำนานมอเตอร์ไซค์จากยุคนั้น เชื่อได้เลยว่าชื่อของ Honda Monkey จะต้องปรากฎชัดเจนขึ้นมาจากกล่องความทรงจำของใครอีกหลายต่อหลายคนอย่างแน่นอน The First Monkey หากสืบไปถึงต้นตระกูลของเจ้าลิงน้อย Monkey คงต้องนับย้อนไปถึงปี 1961 กับจุดเริ่มต้นจากความซนของวิศวกร Honda ที่นึกสนุกเอาเครื่องยนต์ 100cc มาติดตั้งบนโครงรถขนาดจิ๋ว หวังใจให้เป็นมินิไบค์ขับเล่นสนุก ๆ ในโรงงาน และเนื่องจากหน้าตาท่าขับขี่ที่มีเอกลักษณ์เหมือนลิงขี่มอเตอร์ไซค์ ทำให้มันถูกขนานนามเล่น ๆ ว่า Monkey
ต้องยอมรับว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังเข้ามามีบทบาทกับชีวิตผู้ชายเรามากขึ้นทุกวัน ทำให้ในปัจจุบันหนุ่ม ๆ หลายคนต่างมองหายนตรกรรมสายพันธุ์ EV ที่เหมาะสมกับการใช้งานของตัวเอง ซึ่งโจทย์สำคัญสำหรับรถยนต์ที่หลายคนมองหานั่นก็คือ “รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานง่ายในชีวิตประจำวัน” รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานง่ายสำหรับหลายคนอาจหมายถึง รถยนต์ที่ตอบโจทย์ทั้งการขับขี่ระยะสั้นในเขตเมืองและการเดินทางระยะไกลออกนอกเมือง รวมถึงมีการดูแลรักษาที่ไม่จุกจิก มีราคาค่าซ่อมบำรุงไม่แพงจนเกินไป ซึ่งถ้าจะมีรถยนต์สักคันที่ตรงกับความต้องการทั้งหมดที่พูดมา เราคิดว่า “NEW MG ZS EV” คืออีกหนึ่งยนตรกรรมยุคใหม่ที่มาพร้อมคุณสมบัติซึ่งตอบสนองความต้องการทั้งหมดได้อย่างครบครัน NEW MG ZS EV เป็นรถยนต์ในเซกเมนต์ Sport Utility Vehicle (SUV) คันแรกของเอ็มจีที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ โดดเด่นด้วยงานดีไซน์ภายนอกมาในสีฟ้า “Copenhagen Blue” ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor และแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออนความจุ 44.5 kWh ที่ให้อัตราเร่ง 0-50 กิโลเมตรในเวลา 3.1 วินาที ไม่เพียงเท่านั้นรถคันนี้ยังมาพร้อมองค์ประกอบอื่น ๆ ที่จะทำให้การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ใช้งานทุกคน หลายคนเคยเข้าใจว่าขั้นตอนการชาร์จประจุไฟของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องยุ่งยากและสามารถทำได้ในสถานที่เฉพาะเท่านั้น แต่ NEW MG
หนุ่ม ๆ ที่แฟนของรถยนต์ Porsche โดยเฉพาะโมเดล 911 เตรียมพบบริการพิเศษของค่ายซึ่งจะใช้ลายนิ้วมือของผู้ครอบครองมาถ่ายทอดเป็นกราฟิกบนฝากระโปรงด้วย ถือเป็นลวดลายเฉพาะตัวที่มีแค่คันเดียวเท่านั้น ทุกคนรู้จัก Porsche ในฐานะค่ายรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานดีไซน์ รวมถึงสมรรถนะที่ไม่เป็นสองรองใคร และพวกเขาไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาและคิดค้นบริการซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการต่าง ๆ ของลูกค้าได้และก่อตั้งเป็นแผนกพิเศษที่ชื่อ Porsche Exclusive Manufaktur ขึ้นมา Porsche Exclusive Manufaktur เป็นแผนกปรับแต่งรถยนต์ตามความต้องการของลูกค้า เกิดขึ้นครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการในปี 1950 จากแนวคิดดั้งเดิมของ Ferdinand Porsche ที่เคยพูดเอาไว้ว่า “ในช่วงแรกเริ่ม ตัวผมมองไปรอบ ๆ และไม่เคยเห็นรถในฝันของตัวเองเลย ดังนั้นผมถึงตัดสินใจสร้างมันขึ้นมาเอง” ซึ่งโปรเจ็กต์อย่างไม่เป็นทางการชิ้นนี้ ส่งให้เกิด Porsche 356 ที่ตกแต่งด้วยขนเฟอร์รอบคันโผล่ขึ้นมาในหน้าประวัติศาสตร์ และถือเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นให้ Porsche เดินหน้าสร้างแผนก Exclusive Manufaktur อย่างจริงจังขึ้นมาในปี 1986 ผลงานของแผนกนี้ประกอบไปด้วย Exclusive Cars สวย ๆ หลายคันที่ถูกสั่งทำออกมาพิเศษโดยผู้สั่งซื้อกระเป๋าหนัก จนมาถึงในปี 2020 Porsche Exclusive
ในยุคที่การใช้พลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมันเชื้อเพลิงนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ หลากหลายแบรนด์รถจักรยานยนต์ก็เริ่มคิดหาวิธีใหม่ ๆ มาช่วยนำเสนอโมเดลรถของตนให้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น เข้ากับกระแสนิยม และสอดคล้องไปกับแนวคิดยั่งยืนที่เริ่มหยั่งรากลึกลงในไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ แม้แต่ Switch Motorcycle บริษัทผลิตรถจักรยานยนต์หน้าใหม่จากเซี่ยงไฮ้ ก็เพิ่งเปิดตัว ‘Switch eScrambler Motorcycle’ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสุดเท่ที่มาพร้อมถังทรงเหลี่ยมสีฟ้าเมทัลลิก แฝงความคลาสสิกและกลิ่นอายของความร่วมสมัยอย่างลงตัว Matthew Waddick ผู้เชี่ยวชาญที่สร้างรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามาหลายปี จับมือกับ Michel Riis แชมป์แข่งมอเตอร์ไซค์รายการ Flat Track ชาวเดนิชและอดีตดีไซเนอร์ค่าย Yamaha ร่วมกันออกแบบ Switch eScrambler คันนี้ ตัวรถใช้เฟรม old-school เปลคู่ที่ไม่เหมือนใคร พร้อมเฟรมย่อยสไตล์ scrambler มีท่อเหล็กสองท่อนเชื่อมยึดกันจากแกนคอ และแยกออกมาเพื่อให้รับน้ำหนักเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ได้ แม้จะรักษารูปลักษณ์ดั้งเดิมของจักรยาน ICE โบราณเอาไว้ แต่รถคันนี้ก็ยังดูเท่ล้ำสมัยด้วยระบบขับเคลื่อนจากพลังงานโปรตอน พร้อมคอนโทรลเลอร์จากบริษัท Mopibus หนึ่งในเจ้าดีที่สุดของโลก ที่ดีไซน์คอนโทรลเลอร์พิเศษสำหรับ Switch eScrambler คันนี้โดยเฉพาะ บนหน้าปัดแสดงผลออกแบบให้เป็นดิจิทัล มีโหมดขับขี่ให้เลือกทั้งหมดสามแบบ ทั้งยังมีระบบ GPS ติดตามตัว
ในขณะที่อยู่บนท้องถนน คุณอาจจะเห็น Mercedes-Benz หรือ BMW ทุกรุ่นจนชินตา แต่ทุกครั้งที่เราเห็นรถยนต์ Audi บางรุ่น ที่แม้ราคาจะไม่ได้แพงระยับ มันกลับทำให้เราตื่นเต้นจนต้องถ่ายรูปเก็บเอาไว้ โดยเฉพาะรถในตระกูลทรง Avant ที่มีเสน่ห์และน่าสนใจกว่ารถ SUV หรือ Sedan ทั่วไป รวมถึงการตอบโจทย์การใช้งานได้ครอบคลุม ในลุคที่สุดจะดุดันของ Audi A6 Avant ไม่บ่อยนักที่เราจะฟันธงได้ตั้งแต่เริ่มรีวิว เพราะตลอดเวลาที่เราได้ขับมัน นี่คือรถอีกหนึ่งคันที่เรารู้สึกประทับใจจนอยากจะแนะนำให้ทุกคนไปลองขับดูให้ได้ เพราะเมื่อเทียบราคาในตลาดกับสิ่งที่ได้จาก Audi A6 (C8) Avant 45 TFSI S-Line Black Edition นั้น ค่าตัว 4.29 ล้านบาท ถือว่าไม่แพงเลย เหตุผลที่รถทรง Avant มีเสน่ห์ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะความแตกต่าง เนื่องจากจำนวนรถที่มีไม่มากบนท้องถนน จึงตกเป็นเป้าหมายของนักสะสมอยู่เสมอ ส่งผลให้ราคาของมันแข็งกว่าเมื่อเทียบกับรถ SUV หรือ Sedan 4 ประตู รวมถึงการใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ แถมแต่งยังไงก็หล่อ
ถ้ามีคำถามว่ารถยนต์จากภาพยนต์เรื่องไหนที่แฟนหนังอยากครอบครองมากที่สุด เชื่อว่าคำตอบจะต้องมี Ford Mustang ปี 1969 รถจากภาพยนตร์ John Wick ภาคแรกรวมอยู่ด้วยแน่นอน และความอยากนั้นจะไม่ใช่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ อีกต่อไป เพราะตอนนี้โอกาสที่คุณจะได้เป็นเจ้าของมาถึงแล้ว Classic Recreation อู่คัสตอมรถฝีมือดีจากเมือง Oklahoma เปิดโอกาสให้คนที่อยากครอบครองรถยนต์ของยอดมือสังหารจอห์น วิค อย่าง Ford Mustang Mach ฉายา Hitman ที่พวกเขาสร้างขึ้น โดยมีรายละเอียดภายนอกทุกอย่างถอดแบบออกมาเหมือนกับรถยนต์ของป๋าวิคที่โลดแล่นอยู่ในหนัง รวมถึงรายละเอียดพิเศษสำหรับแฟนหนังโดยเฉพาะ Hitman ถูกสร้างขึ้นจากตัวถังของ Ford Mustang Mach 1 รุ่นปี 1969-1979 ที่ฟื้นฟูให้กลับมาใหม่เอี่ยมอีกครั้งในสีเทา Wick พร้อมล้อแม็กแบบ American Racing ขนาด 18 นิ้วหุ้มด้วยยาง Michelin Pilot Sport 2 ขุมพลังใต้ฝากระโปรงของ Hitman เป็นเครื่องยนต์ Ford
การใช้ชีวิตก็คงแทบไม่ต่างอะไรจากการเดินทางผจญภัย อาจมีบางครั้งที่เราขับเคลื่อนชีวิตราบรื่นไปบนถนนราบเรียบที่ถนัด แต่บางทีก็ต้องเผชิญถนนขรุขระที่ท้าทายและไม่ชอบใจ แต่ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้ชายอย่างเราคงรู้สึกจำเจไม่น้อยเลย ถ้าไม่กล้าขับออกจากถนนเส้นเดิม ๆ เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจหรือประสบการณ์แปลกใหม่ที่รอคุณอยู่ในอีกเส้นทางหนึ่ง แล้วจะดีแค่ไหนถ้ามีทริปเจ๋ง ๆ ที่พาคุณออกเดินทางไปท่องเที่ยวต่างแดน มอบประสบการณ์ขับขี่ระดับโคตรมันส์ และตื่นเต้นเร้าใจจนทำคุณเกือบลืมหายใจไปชั่วขณะ อัยเยโพล่ก (Arjeplog) จุดหมายปลายทางของนักล่าแสงเหนือ สวีเดนไม่ได้โด่งดังแค่ชนเผ่านักเดินเรือไวกิงระดับตำนาน แต่ประเทศกลุ่มนอร์ดิกบนคาบสมุทรสแกนดิเนเวียแห่งนี้ยังเป็นจุดหมายปลายทางของนักล่าแสงเหนือทั่วโลก โดยเฉพาะ อัยเยโพล่ก (Arjeplog) เมืองทางตอนเหนือของสวีเดนที่มีแสงเหนือให้เห็นมากถึง 200 วัน/ปี นอกจากที่นี่จะเป็นจุดชมแสงเหนือยอดนิยม อัยเยโพล่กยังได้ชื่อว่าเป็นสนามทดสอบรถยนต์ฤดูหนาวที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย รวมปรากฏการณ์น่าอัศจรรย์ของธรรมชาติและกิจกรรมโลดโผนที่ผู้ชายเราหลงใหลเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว JOY GO ///M ON ICE 2020 – Arjeplog ทริปในฝันและประสบการณ์ขับขี่ที่ลืมไม่ลง ท่ามกลางมวลหิมะที่ปกคลุมและอุณหภูมิเย็นยะเยือกของอัยเยโพล่ก บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย จัดทริป ‘JOY GO ///M ON ICE 2020 – Arjeplog’ เมื่อวันที่ 28 มกราคมถึง 4 กุมภาพันธ์ 2020 ที่ผ่านมาชวนสาวก
Czinger ค่ายผลิตซูเปอร์คาร์จากแคลิฟอร์เนียเปิดตัวไฮเปอร์คาร์คันล่าสุดของค่ายในชื่อ 21C โดยผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่าง Kevin Czinger ได้นำเทคโนโลยี 3D-Printing มาร่วมใช้งานเพื่อให้ได้โครงสร้างรถที่มีน้ำหนักเบาที่สุด งาน 3D-Printed เข้ามีส่วนช่วยในขั้นตอนการสร้างชิ้นส่วน Czinger 21C เกือบทั้งหมดตั้งแต่โครงยึดช่วงล่าง โครงสร้างกระจกด้านหน้า ไปจนถึงแผงหน้าปัดภายในตัวรถ ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์และอลูมิเนียมที่แข็งแกร่งทนทานแต่มีน้ำหนักเบา ดีไซน์ของ 21C ถูกออกแบบมาให้มีลักษณะห้องโดยสารที่โค้งมนเป็นวงรี ด้านหน้ามีช่องดูดอากาศที่เชื่อมต่อกับซุ้มล้อขนาดใหญ่ หลังล้อหน้ามีช่องอากาศซึ่งจะปล่อยลมต่อไปยังช่องอากาศขนาดใหญ่ตรงซุ้มล้อหลังต่อไป ด้านหลังเป็นตะแกรงขนาดใหญ่และใช้ท้ายเป็นเล็กที่โฉบเฉี่ยว ห้องโดยสารของ CZinger 21C เป็นที่นั่งแบบ 1+1 คล้ายกับการนั่งซูเปอร์ไบค์ เพราะเน้นให้ประสบการณ์ตรงกับตัวผู้ขับขี่มากที่สุด ด้านขุมพลัง Czinger 21C เป็นไฮบริด ไฮเปอร์คาร์ที่มาพร้อมเครื่องไฮบริดที่มีพลัง 1250 แรงม้าและชุดเกียร์ 7-speed Transaxle เมื่อยกมาวางในรถรุ่นไลต์เวท Czinger เคลมว่าขุมพลังนี้ทำให้ 21C มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรได้ในเวลาเพียง 1.9 วินาที วิ่งควอเตอร์ไมล์ในเวลาเพียง 8.1 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 460 กิโลเมตร/ชั่วโมง