ในหนัง Leon: The Professional หนังสุดคัลท์ของผู้กำกับ Luc Besson หลายคนอาจจะนึกถึงบุคลิกอันแสนแปลกแยกของนักฆ่าแปลกแยกผู้เงียบขรึมที่รับบทบาทโดย Jean Reno หรือบทบาทแรกของ Natalie Portman ในบทสาวน้อยที่อยู่ท่ามกลางดงกระสุนและควันปืน แต่ยังมีอีกบทบาทหนึ่งในหนัง ที่ผู้คนไม่เคยลืมเลือนเลย นั่นคือบทบาทของตำรวจสุดโฉด Norman Stansfield ที่รับบทบาทโดย Gary Oldman ที่หลายคนติดตาในความเลือดเย็นและโหดเหี้ยมถึงขีดสุดของเขา Villain with Love ครั้งนี้ จึงขอเสนอความโหดร้ายของตัวละครสุดโฉดคนนี้กัน หนังนักฆ่าที่แสวงหาความแตกต่าง หลังจากที่ Luc Besson ทำหนัง La Femme Nikita (1990) หนังนักฆ่าหญิงที่แปลกและแตกต่างจากขนบหนังแอ๊คชั่นทั่ว ๆ ไป กลิ่นเขม่าดินปินยังคงคุกรุ่นในความทรงจำของเขา จนผลักดันเป็นโปรเจกต์ของนักฆ่าคนใหม่ที่ว่า Leon ขึ้นมา ยังคงเป็นการตั้งคำถามถึงคุณธรรมท่ามกลางอาชีพนักฆ่าอยู่เช่นเดิม ผ่านตัวละครผู้เงียบขรึมและเปลี่ยวเหงา นักฆ่าที่ฝังตัวอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความมีระเบียบแบบแผน และมีคุณธรรมเหนือสิ่งอื่นใด แต่นอกจากการดีไซน์คาแรคเตอร์ตัวนำที่โดดเด่นและแตกต่างแล้ว ตัวร้ายก็ถือเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่ต่างกัน เมื่อ Luc ได้ออกแบบตัวละครที่อยู่คนละขั้วของกับตัว Leon อย่างสิ้นเชิง
หากจะพูดถึงวงการเอนเตอร์เทนเมนต์ในยุคปัจจุบัน คงปฎิเสธไม่ได้เลยว่าประเทศเกาหลีใต้คือผู้ครองอันดับ 1 บนทวีปเอเชีย สามารถขึ้นไปทัดเทียมระดับโลกได้แบบไร้ข้อกังขา แต่หากมองย้อนไปในช่วง 20 ปีก่อน เราคงต้องยกให้กับ “ฮ่องกง” โดยเฉพาะในพาร์ตของภาพยนตร์ที่สร้างความยิ่งใหญ่ไว้ได้อย่างสง่าผ่าเผย มีนักแสดงที่มีชื่อเสียงมากมายไม่ว่าจะเป็นโจว เหวินฟะ, หลิว เต๋อหัว, โจว ซิงฉือ เป็นต้น ส่วนแนวภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากฝั่งฮ่องกง เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงนึกถึงแนว “แกงค์มาเฟีย” อย่างแน่นอน ซึ่งภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมมากคงหนีไม่พ้น “กู๋หว่าไจ๋ (Young & Dangerous)” หรือชื่อไทย “มังกรฟัดโลก” ออกฉายเมื่อวันที่ 26 มกราคม 1996 เพิ่งจะครบรอบอายุ 26 ปีสด ๆ ร้อน ๆ [เนื้อหาไม่มีสปอยล์] กู๋หว่าไจ๋ เป็นภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือการ์ตูนเรื่อง Teddy Boy กำกับการแสดงโดย “หลิว เหว่ยเฉียง” นำแสดงโดย “เจิ้ง อี้เจี้ยน” รับบทเป็น “เฉิน เฮ่าหนาน” ตัวเอกของเรื่อง,
จอห์น ซีน่า แท็กทีมเหล่าฮีโร่ต่อสู้กับเหล่าวายร้ายเพื่อพิทักษ์โลก ในซีรีส์เรื่องใหม่ล่าสุด Peacemaker พร้อมเข้าฉายสามตอนแรกในวันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคมนี้ และสามารถรับชมตอนใหม่ได้ทุกวันพฤหัสบดี เฉพาะทาง HBO GO เท่านั้น Peacemaker เล่าเรื่องราวเบื้องหลังต้นกำเนิดของ Peacemaker ชายผู้อวดดีที่เชื่อในสันติภาพจนยอมแลกและทำทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะต้องฆ่าคนสักกี่คนเพื่อให้ได้มันมา ตัวละครที่ปรากฏตัวครั้งแรกในภาพยนตร์ The Suicide Squad ของผู้กำกับเจมส์ กันน์ (James Gunn) รับบทโดย จอห์น ซีน่า (John Cena) พร้อมเสริมทัพด้วยเหล่านักแสดงมากความสามารถ อาทิ แดเนียล บรู๊คส์ (Danielle Brooks) รับบท Leota Adebayo, เฟรดดี้ สโตรมา (Freddie Stroma) รับบท Vigilante, เจนนิเฟอร์ ฮอลแลนด์ (Jennifer Holland) รับบท Emilia Harcourt, สตีฟ เอจี
การไล่ล่าของสองขั้วทางกฏหมาย / การห้ำหั่นของสองนักแสดงระดับตำนาน และการถ่ายทำอันสุดเดือด มีเหตุผลมากมายที่ทำให้หนังเรื่อง Heat หนังสุดเจ๋งแห่งปี 1995 กลายเป็นที่สุดของหนังอาชญากรรมสุดคลาสสิคที่ยากที่หนังเรื่องไหนจะโค่นตำแหน่งได้ลง Unlockmen จึงขอทำการย้อนไปหาต้นตอของความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ ว่าเพราะอะไรหนังเรื่องนี้ถึงได้ครองใจทั้งคนดูหนัง, นักวิจารณ์, นักทำหนัง หรือแม้กระทั่งอาชญากรตัวจริงก็ยกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังในดวงใจ เนื้อเรื่องสุดเข้มข้น แม้ความยาวของหนัง Heat จะทำให้เครียดสำหรับคนที่ชอบอะไรที่กระชับรวดเร็ว เพราะความยาวของหนังนั้นยาวถึง 170 นาที หรือ 2 ชั่วโมง 50 นาที แต่ไม่มีวินาทีไหนเลยที่ Heat จะชวนง่วงเหงาหาวนอน เพราะหนังไม่เพียงอัดแน่นไปด้วยการไล่ล่าของ 2 ขั้วทางกฏหมาย หนึ่งคือ Neil McCauley (รับบทโดย Robert De Niro) หัวหน้าแก๊งโจรผู้สุขุมและฉลาดเฉลียว อีกหนึ่งคือ Vincent Hanna (รับบทโดย Al Pacino) ตำรวจตงฉินผุ้พร้อมไล่ล่าท้าชนอาชญากรแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน จากเหตุการปล้นรถขนส่งไปรษณีย์อย่างอุกอาจเพื่อแย่งชิงพันธบัตร แต่แผนที่ผิดพลาด ก็นำไปสู่การตายของเจ้าหน้าที่ ก่อให้เกิดการชิงไหวชิงพริบของทั้ง 2 ท่ามกลางการลุ้นระทึกที่นอกจากจะลุ้นว่าการปะทะครั้งนี้จะจบลงที่ใครเป็นผู้คว้าชัย
ในขณะที่ปี 2022 โลกแห่งความเป็นจริงจะยังลุ้นระทึกว่าจะเป็นภาคต่อของสถานการณ์โรคระบาดหรือไม่ แต่ในโลกของภาพยนตร์นั้น เรียกได้ว่าอัดแน่นไปด้วยหนังเจ๋ง ๆ มากมาย ที่พร้อมจะพาคุณห่างไกลจากโลกแห่งความจริงแบบสุดลิ่มทิ่มประตู หลังจากที่ปีที่ผ่านมา กว่าจะคึกคักก็ผ่านไปปลายปีแล้ว ปี 2022 จึงเป็นปีที่พร้อมทบต้นทบดอกความสนุกสุดเหวี่ยงให้ได้ชมกันแบบจัดหนักจัดเต็มกันเลย โดยเฉพาะโลกแห่งซูเปอร์ฮีโร่ยังคงผงาดไม่มีแผ่ว พร้อมสร้างจักรวาลใหม่และสานต่อเรื่องราวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เรามาดูกันว่าปี 2022 หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องเจ๋ง ๆ เรื่องใดจะเข้าฉายในโรงบ้าง กาปฏิทินจองคิวกันตั้งแต่เนิ่นๆเอาไว้เลย Morbius กำหนดฉาย – *ล่าสุดถูกเลื่อนออกไปเป็นเดือนเมษายน เปิดปีกันด้วยซูเปอร์ฮีโร่ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างนักสู้ฝ่ายธรรมมะ และวายร้ายฝ่ายอธรรม กับ Morbius เรื่องราวของ Dr. Morbius นักวิทยาศาสตร์ผู้ป่วยระยะสุดท้าย ก่อนที่เขาจะได้รับพลังพิเศษจากค้างคาว นำพาให้เขากลางร่างเป็นแวมไพร์กระหายเลือด ที่ต้องต่อกรกับมหาวายร้ายนั้นคือ Vulture ที่ทะลุจากจักรวาล Spider-Man: Homecoming และต้องต่อสู้กับความชั่วร้ายของตนเองก่อนความมืดดำจะกัดกินตัวเขาให้กลายเป็นวายร้ายไป หลังจากที่ Spider Man: No Way Home สร้างสถิติใหม่ทั้งในฐานะหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำเงินระดับพันล้านเหรียญทั่วโลก และเป็นหนังขวัญใจนักดูหนังในช่วงปลายปี SONY ก็เหมือนจะเป็นสตูดิโอสาขา 2 ของ Marvel ที่พร้อมเสนอภาพซูเปอร์ฮีโร่ด้านมืดหลังจากประสบความสำเร็จจาก
หากปีที่แล้ว ดาบพิฆาตอสูร คือ Soft Power ชั้นดีที่ทำให้คนทั้งโลกติดอนิเมะกันอย่างงอมแงม ปีนี้คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Tokyo Revengers คือการรับไม้ต่อของความสำเร็จนั้น เพราะอะไรมังงะที่หน้าฉากเป็นเพียงเรื่องราวนักเรียนนักเลงนี้ ถึงกลายเป็นสิ่งที่สะกิดจิตใจ และคนพูดถึงกันอย่างแพร่หลายกันอย่างเกรียวกราว เรามาย้อนติดตามความสำเร็จครั้งนี้ไปพร้อมๆกัน พล็อตแปลก แหวกความจำเจ มังงะแนวนักเรียนนักเลงนั้น เป็นของคู่กันเสมอของนักอ่านมังงะ ตั้งแต่ “จอมเก Blues” มาจนถึง “เรียกเขาว่าอีกา!” “Clover เพื่อนรักขาลุย” หรือ “แสบกว่านี้มีอีกไหม” ที่เข้าขั้นคลาสสิคและเป็นมังงะที่ฮิตครองใจผู้อ่านทั้งชาวไทยและชาวอาทิตย์อุทัยมาอย่างยาวนาน ซึ่ง Tokyo Revengers นั้นก็เล่าเรื่องของแก๊งนักเรียนนักเลงที่วันๆไม่ทำอะไรมากไปกว่าการตีรันฟันแทงไม่ต่างกัน หากแต่ Ken Wakui ผู้เขียนมังงะเรื่องนี้ กลับเลือกที่จะฉีกแนวด้วยการเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนและแหวกขนบของมังงะ แนวนักเรียนนักเลง ด้วยการเสริมเรื่องราวเหนือธรรมชาติเข้าไปในมังงะเรื่องนี้ Tokyo Revengers เล่าเรื่องของหนุ่ม Loser วัยทำงานนาม “ทาเคมิจิ” ที่เคยมีชีวิตรุ่งโรจน์ในช่วงมัธยมต้นในฐานะนักเลงหัวทอง แต่แล้วชีวิตของเขาก็ลงเอยกับการเป็นพนักงานขี้แพ้คนหนึ่งเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่แล้วชะตาชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อ “ฮินาตะ” แฟนสาวของเขาถูก“โตเกียวมันจิไค” สมาพันธ์วายร้ายฆ่าตายอย่างเป็นปริศนา และอุบัติเหตุบนรถไฟฟ้าใต้ดิน ทำให้เขาได้รับโอกาสในการย้อนเวลาเพื่อไปแก้ไขอดีตในยุครุ่งเรือง ได้ทำความรู้จักกับ
โอกาสสำหรับนักสะสมรถยนต์ที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์น่าสนใจติดตัว เมื่อผู้กำกับ Michael Bay จับมือกับ Curated supercar dealership ใน Miami นำรถยนต์ 4 คัน ดาวดังจาก Transformers จากหลายภาค มามัดรวมชุดเพื่อให้นักสะสมได้ประมูลกันไปในราคาราว $2 million USD การจัดชุดประมูลรถยนต์เป็นล็อต ช่วยเพิ่มเสน่ห์และมูลค่าให้นักสะสมได้เป็นอย่างดี โดยใน collection นี้ประกอบไปด้วยคันแรก ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “Bumblebee” 2010 Chevrolet Camaro เวอร์ชั่นจากภาค Transformers 3: Dark Side of the Moon ซึ่งเป็นคันเดียวกับที่ใช้ในการถ่ายทำ มีทั้งกันชนหน้า ฝากระโปรง สปอยเลอร์หลัง และสติกเกอร์ตกแต่งที่ใครเห็นก็ต้องจำได้แน่นอน ตามมาด้วยคันท่ีสองจากภาคเดียวกัน เป็นรถยนต์ Mercedes-Benz SLS AMG ที่ขับโดย Rosie Huntington ซึ่งแม้จะไม่ได้มีการตกแต่งเป็นพิเศษอะไร แต่แค่ความเป็น SLS AMG
จากคอมมิคที่แปลกและแตกต่างของโลก Super Hero ในยุค 60s นับเป็นเวลาที่ยาวนานไม่ใช่น้อยสำหรับไอ้แมงมุม หรือ Spider-Man ที่โลดแล่นบนทั้งหน้ากระดาษ ทั้งจอทีวีในรูปแบบอนิเมชั่น มาจนถึงรูปแบบภาพยนตร์จอใหญ่ แต่ถึงกระนั้น Spider-Man ก็หาได้หยุดนิ่งไม่ สร้างความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นในจักรวาลของไอ้แมงมุมมาตลอด 60 ปี และเพื่อต้อนรับหนัง Spider-Man No Way Home ที่ฉายให้ชมกันในโรงภาพยนตร์ เรามาดูการเปลี่ยนแปลงและความแตกต่างของซูเปอร์ฮีโร่ ที่มีทั้งรูปแบบชะตากรรมสุดรันทดจนไปถึงเวอร์ชั่นเกรียนทะลุจอกัน มาดูกันว่าไอ้แมงมุมเวอร์ชั่นไหนที่ตรงใจคุณมากที่สุด จุดกำเนิดไอ้แมงมุม จากการ์ตูนสั้น ปั่นกระแสจนเป็นการ์ตูนคลาสสิค คาแรคเตอร์ไอ้แมงมุมนั้น ถือกำเนิดขึ้นมาแบบไม่ไม่ได้ตั้งใจนัก กล่าวคือ Stan Lee ผู้จุดกำเนิดไอเดีย และ Steve Ditko ศิลปินนักวาดการ์ตูนนั้นกำลังเฟ้นหาไอเดียใหม่ ๆ ของสุดยอดวีรบุรุษหลังจากพวกเขาแบกรับความสำเร็จจากการ์ตูน Fantastic Four ความกดดันถาโถมเขาอย่างหนัก จนกระทั่งวันหนึ่ง เขามองเห็นแมงมุมไต่อยู่ตรงผนัง Stan Lee ก็เกิดไอเดียขึ้นโดยฉับพลัน ถึงเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกแมงมุมกัดจนเกิดปฏิกิริยาส่งผลให้เขามีพลังเหนือมนุษย์ แต่ในช่วงนั้นเขาพบว่าซูเปอร์ฮีโร่ส่วนใหญ่จะเป็นวัยผู้ใหญ่มากกว่า เขาจึงลองออกแบบดีไซน์ซูเปอร์ฮีโร่วัยรุ่นดูบ้างเพื่อหาไอเดียที่แตกต่างและหลากหลาย แต่ในตอนต้น กองบก.ใน Marvel
วินาทีนี้ ไม่มีใครไม่รู้จักนักแสดงสุดเกรียน เจ้าของบทบาท Deadpool วีรบุรุษสุดแสบที่มาปั่นป่วนโลกของซูเปอร์ฮีโร่ แต่ใครจะรู้บ้างว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ Ryan Reynolds ต้องค้นหาตัวตนอย่างยากเย็นแค่ไหน เรามาดู 10 หนังสร้างชื่อ ที่ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจคนดูหนังทั่วโลกกันได้เลย National Lampoon’s Van Wilder (2002) เริ่มต้นการแสดงมาตั้งแต่เยาว์วัยในซีรีส์ท้องถิ่นของแคนาดามาตั้งแต่ปี 1991 ทำให้ Ryan Reynolds ไม่มีโอกาสที่จะได้รับบทเด่นสักที โชคดีที่ซีรีส์ Two Guys, a Girl (1998-2001) ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นนักแสดงมากความสามารถ ไม่ใช่แค่หน้าตาดีเพียงอย่างเดียว และจากซีรีส์นี้เอง ในที่สุดเขาก็ได้รับบทเด่นเป็นพระเอกเสียทีในหนังตลกสุดเกรียน National Lampoon’s Van Wilder (2002) Ryan รับบทตามชื่อเรื่อง หนุ่มมหาลัยที่ใฝ่แต่กิจกรรมและความเมามายจนเรียนไม่จบ และค้างเติ่งอยู่มหาลัยลอยชายไปวันๆ จนกระทั่งพ่อและแม่ต้องดัดนิสัยด้วยการตัดท่อน้ำเลี้ยงไม่ส่งเสียต่อ ทำให้เขาต้องหาทางหาเงินเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตมหาลัยอย่างนี้ไปนานๆ แม้บทเริ่มต้นของเขาจะไม่เป็นที่ปราบปลื้มของคนดูสักเท่าไหร่ เพราะตลกส่วนใหญ่ก็มุกห่ามๆที่คนส่วนใหญ่จะไม่ชอบ แต่กลับทำให้ Ryan รู้สึกว่าการมาสายเกรียนนั้นคือถนนสายหลักที่เขาควรจะเลือกทางเดินนี้ Blade: Trinity (2004) หลังจาก
หากจะให้เอ่ยรายชื่อการ์ตูนที่มีอิทธิพลต่อเด็ก ๆ ที่เติบโตในช่วงยุค 90’s มากที่สุด เชื่อว่าหลาย ๆ คนจะต้องมีชื่อของ Dragon Ball Z อยู่ในใจอย่างแน่นอน ผลงานสุดคลาสสิคของอาจารย์อากิระ โทริยามะ เป็นการ์ตูนที่โดดเด่นด้วยลายเส้น คาแรคเตอร์ของตัวละคร รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่บู๊ล้างผลาญสะใจแบบสุด ๆ เรื่องราวที่เข้มข้นขึ้นมากนับจากช่วงภาคเด็กของซุนโกคู มีการเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจมากกว่าเดิมและเก่งขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นฟรีซเซอร์, เซลล์ และจอมมารบู สำหรับคนที่ดูมาก่อนก็น่าจะพอจำเนื้อเรื่องได้ไม่มากก็น้อย แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการ์ตูนเรื่องนี้มี 5 ข้อมูลลับที่ไม่ลับที่คุณอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน ซ่อนไว้ให้เหล่าคนช่างสังเกตได้เก็บไว้เป็นข้อมูล ซึ่งทาง UNLOCKMEN ขอยกหัวข้อเด่น ๆ มาให้ทุกคนได้อ่านกันดังต่อไปนี้ *เนื้อหามีสปอยล์เนื้อเรื่อง 1. โกคูฆ่าคนอื่นตายไปเพียง 2 ครั้ง (ไม่นับใน The Movie) สมชื่อพระเอกจริง ๆ สำหรับโกคู ที่ถือได้ว่าเป็นนักสู้ที่มีคุณธรรม มีความเมตตา และจิตใจอ่อนโยน นอกจากฝีมือการต่อสู้จะร้ายกาจแล้ว โกคูยังพัฒนาการต่อสู้ของตัวเองได้ตลอดเวลา เขายังมีความสามารถในการเปลี่ยนจิตใจคนชั่วร้ายให้กลับกลายเป็นคนดีได้ ตัวอย่างชัด ๆ เลยคือ พิคโกโล่ อดีตราชาปีศาจสุดท้ายกลายเป็นพ่อทูลหัวของโกฮังลูกชายของโกคู
ในช่วงเวลานี้ วงการหนังคงไม่มีอะไรคึกคักเท่ากับหนังไทย “ร่างทรง” ที่สร้างความหลอนจนทำรายได้และสร้างกระแสทั้งในจอและนอกจอ แม้กระทั่งมีหนังที่หลุดในโลกออนไลน์ แต่ก็ไม่ได้ลดทอนกระแสของหนังเรื่องนี้ให้จืดจางลงได้เลย ซ้ำยังมีผู้ที่พร้อมไปพิสูจน์ความหลอนด้วยตาตัวเองในโรงอย่างแน่นขนัด แต่ท่ามกลางความสำเร็จระดับโลกนั้น ก็แลกด้วยข้อถกเถียงกันอย่างมากมาย โดยเฉพาะรูปแบบที่หนังพยายามนำเสนอในรูปแบบหนังสารคดี จนส่งผลให้ผลลัพธ์ออกมาเป็น “หนังเสียงแตก” อย่างชัดเจน คือถ้าชอบจะชอบมาก แต่ถ้าไม่ชอบก็พาลเกลียดไปเลย โดยเฉพาะการถ่ายทำในรูปแบบของสารคดีนั้น แม้จะไม่ใช่สิ่งใหม่ในโลกภาพยนตร์ แต่ก็นับได้ว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับหนังไทย เราจึงชวนคุณมาทำความรู้จักกับหนังแนวนี้ มาดูกันว่าทำไมนักสร้างหนังหลายคนถึงเลือกที่จะทำในแนวทาง Mockumentary และคำ ๆ นี้แปลว่าอะไรกันแน่ Mockumentary ความไม่จริง สะท้อนความจริงอย่างชัดแจ้ง หนังสารคดี หรือ Documentary นั้น มักถูกใช้สะท้อนภาพความจริง เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของเหตุการณ์หรือบุคคลนั้น ๆ เพื่อใช้โน้มน้าวหรือสร้างความน่าเชื่อถือ ผ่านหลักฐานไม่ว่าจะเป็นภาพเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกได้ หรือการบอกเล่าจากปากผู้ประสบเหตุนั้นมา สารคดีส่วนใหญ่จึงทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนที่มุ่งหวังหรือตั้งคำถามต่อสิ่ง ๆ นั้นโดยใช้ “ความจริง” เพื่อเป็นสิ่งประจักษ์แก่ผู้รับสาสน์ ในขณะเดียวกัน ยาขมของ Documentary ก็ทำให้คนบางคนรู้สึกเบื่อ เมื่อภาพจริงในบางครั้งก็ไม่อาจนำพาอารมณ์ให้ตื่นเต้นจนคนคล้อยตามได้ หนังสารคดีบางส่วนจึงจำต้องสร้างฉากบางฉาก ซีนบางซีน เพื่อสอดรับกับสิ่งที่นำเสนอ เช่นการสัมภาษณ์ของผู้ให้สัมภาษณ์อาจจะน่าเบื่อจนเกินไป หรือบางเหตุการณ์ที่กล้องจับภาพไม่ทัน การใส่สีสันไม่ว่าจะเป็นภาพที่ถ่ายใหม่เพื่อจำลองเหตุการณ์จริงที่กล้องไม่ทันได้ถ่าย เพื่อทำให้เหตุการณ์นั้น ๆ
ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา อาจมีนักแสดงหลายคนที่ได้ฝากผลงานการแสดงภาพยนตร์อันโดดเด่น จนกลายเป็นรอยประทับในหัวใจผู้ชมจำนวนไม่น้อย แต่ถ้าพูดถึงนักแสดงฮ่องกงทรงเสน่ห์ระดับตำนานที่ยืนหนึ่งเรื่องการแสดงที่ลุ่มลึกและหลากหลาย จนข้ามฟ้ามาครองหัวใจคนไทยได้อยู่หมัด ‘เหลียงเฉาเหว่ย’ หรือ ‘โทนี่ เหลียง’ คงเป็นชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของใครหลายคน ผู้ชมถูกเขาตรึงไว้กับสารพัดบทบาท ทั้งตำรวจในคราบโจรที่หักเหลี่ยมเฉือนมุมดุเดือดแต่ก็ดำดิ่ง บทบาทร้าวลึกของชายผู้มีความสัมพันธ์ลับท่ามกลางควันบุหรี่ฟุ้งหม่น ไปจนถึงบทบาทชายรักชายในดินแดนข้ามขอบฟ้าห่างไกล ฯลฯ โดยเฉพาะในปี 2021 ที่เขาตัดสินใจก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับฮอลลีวูดเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปีของชีวิตนักแสดง โดยเหลียงเฉาเหว่ยรับบทบาท ‘แมนดาริน’ วายร้ายตัวฉกาจใน Marvel Studios’ Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings (ชาง-ชี กับตำนานลับเท็นริงส์) นอกจากเป็นครั้งแรกของการร่วมงานกับฮอลลีวูด นี่ยังเป็นการแสดงฝีมือครั้งสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่านับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าสู่วงการแสดงในปี 1981 นี่คือ 4 ทศวรรษที่เขาพร้อมเปิดรับและเรียนรู้ทุกความท้าทายที่เข้ามา จุดเริ่มต้นที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ สู่แถวหน้าแห่งวงการบันเทิงฮ่องกง สำหรับนักแสดงคนอื่น ๆ การแสดงอาจหมายถึงอะไรก็ได้ แต่กับเหลียงเฉาเหว่ย เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ครังหนึ่งว่าการแสดงเปรียบเสมือนความฝันที่เขาจะสามารถหลบหนีจากโลกความเป็นจริง กลายเป็นคนอื่น รับบทคนอื่นโดยลืมการเป็นตัวเองเป็นชั่วขณะได้ แม้ฟังเผิน ๆ