ช่วงทศวรรษที่ 60s – 80s ประชาชนชาวอังกฤษในยุคนั้นไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ Jimmy Savile ชายหนุ่มใจดีที่เปรียบเสมือน “สมบัติของชาติ” ในทุกรายการที่เขาจัด ในทุกกิจกรรมที่เขาไป ล้วนสร้างแรงบันดาลใจ และแรงกระเพื่อมยิ่งใหญ่ให้กับผู้คนในยุคนั้นอย่างที่ไม่เคยมีใครคนไหนทำได้มาก่อน หากแต่เมื่อเขาตายไป จากสมบัติของชาติที่ทุกคนหลงใหล กลับกลายเป็นซาตานที่น่าขยะแขยง เมื่อมีคนรื้อฟื้นคดีสุดฉาวที่เขาได้ลงมือข่มขืน กระทำชำเรา และพรากผู้เยาว์โดยมีผู้เสียหายรวมกันร่วม 500 ราย และเรื่องราวของเขาถูกนำมาตีแผ่ในสารคดีสุดเข้มข้นที่ฉายใน Netflix ในชื่อ Jimmy Savile: A British Horror Story ผู้ชายที่มีด้านสว่างและด้านมืดแตกต่างอย่างสุดขั้ว Jimmy Savile ไต่เต้าจากดีเจคลื่นวิทยุท้องถิ่นในแถบลักเซมเบิร์กตั้งแต่ปี 1958 ถึง 1968 จนในปี 1968 เขาได้ถูกเชิญมาจัดรายการที่ช่อง Radio 1 สถานีวิทยุชื่อดังของสหราชอาณาจักร ในรายการ Savile’s Travels เขาได้เดินทางไปพบปะผู้คนทั่วทั้งสหราชอาณาจักร ด้วยสไตล์การจัดรายการที่จัดจ้านและแตกต่างกับดีเจท่านอื่นๆ ทำให้ Jimmy โด่งดังในเวลาอันรวดเร็ว และการเดินสายไปพูดคุยในที่ต่างๆ ทำให้เขาสะสมฐานแฟนคลับได้อย่างรวดเร็ว จากรายการวิทยุ Jimmy
ปัญหาที่ Netflix กำลังเจออยู่ตอนนี้ เรียกได้ว่ามาจากความสำเร็จอย่างสูงที่ตัวเองสร้างขึ้นมา การทำให้วัฒนธรรมดูหนัง Streaming กลายเป็นวัฒนธรรมหลักไปทั่วโลก เพียงแต่จากที่ Netflix เคยเป็น Streaming platform เจ้าใหญ่ที่เกือบจะกินรวบตลาด วันนี้กลับมีคู่แข่งที่น่ากลัวเกิดขึ้นมากมาย มีจุดเด่นด้าน Content ไม่แพ้ Netflix ในราคาที่ถูกกว่า หลายคนน่าจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับช่วงเวลาที่แสนท้าทายของ Netflix ในรอบ 10 ปี หุ้นก็ร่วง รายได้ก็ลด ลูกค้าก็ค่อย ๆ หายไป จนต้องเตรียมแผนจะจัดการกับระบบ password sharing ซึ่งตัว Netflix เคยเป็นคนบอกเองว่าดี แต่เรากลับมองว่าวิธีแก้ปัญหารายได้ด้วยการห้ามแชร์ password จะทำให้ผู้คนอยากจ่ายเงิน subscribe ให้ Netflix จริงหรือ? น่ากลัวว่าจะยิ่งยกเลิกแล้วไปสมัครเจ้าอื่นที่มี Original Content ดี ๆ ระดับคุณภาพ 4K อย่าง HBO Go, Disney+ ค่ายเจ้าของลิขสิทธิ์อย่าง Paramount,
ใครกำลังหาภาพยนตร์ทาง Netflix ดูเพลิน ๆ ในช่วงวันหยุด โดยเฉพาะหากคุณเป็นคนที่หลงใหลในบทเพลงร็อกและเมทัล เราขอแนะนำให้คุณรับชมเรื่อง Metal Lords ที่เพิ่งออนแอร์ไปสด ๆ ร้อน ๆ และกำลังเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกของโซเชียลมีเดียด้วยเช่นกัน Metal Lords เนื้อหาถูกเขียนขึ้นโดย D.B. Weiss ผู้ฝากผลงานไว้กับซีรีส์โคตรมหากาพย์อย่าง Game of Thrones นอกจากนั้นยังได้ Peter Sollett มารับหน้าที่ผู้กับกำกับ พร้อมทั้ง Tom Morello มือกีตาร์วง Rage Against The Machine มาทำหน้าที่ Executive Music Producer เพื่อเพิ่มความเข้มข้นและความถูกต้องของดนตรีเมทัลให้กับภาพยนตร์ ในส่วนของพาร์ตการแสดงได้ Adrian Greensmith รับบทเป็น “Hunter” เด็กหนุ่มผู้คลั่งไคล้เพลงเมทัลแบบเข้าเส้น, Jaeden Martell มารับบทเป็นเด็กเนิร์ดสุดติ๋มนามว่า “Kevin Schlieb” และ Isis Hainsworth รับบทเป็น
ตอนนี้แฟน ๆ UNLOCKMEN คงทราบข่าวช็อควงการของนักแสดงฉายา “คนอึด” Bruce Willis ที่ขณะนี้กำลังเผชิญหน้ากับอาการ Aphasia หรือ “สภาวะบกพร่องทางด้านการสื่อความ” จนไม่สามารถแสดงหนังได้อีกต่อไป และครอบครัวได้ประกาศการอำลาวงการไปแล้ว แน่นอนว่าได้สร้างความรู้สึกทั้งช็อค ทั้งเสียดาย และเสียใจ ในฐานะพระเอกที่สร้างผลงานมากมายมาตลอดกว่า 30 ปี บนจอ และเพื่อสดุดีผลงานยิ่งใหญ่ที่ Bruce Willis ได้ฝากผลงานที่ตราตรึงเอาไว้ UNLOCKMEN จึงขอรวบรวม 10 ผลงานยอดเยี่ยม ที่แฟน ๆ ต้องหาชม กับผลงานการแสดงที่ดีที่สุดของเขาเป็นการทิ้งทวนไปด้วยกัน Die Hard (1988) นี่คือหลักไมล์สำคัญ ที่เปลี่ยนสถานะของนักแสดงที่เริ่มต้นจากตัวประกอบ สู่นักแสดงตลกบนจอทีวี กระทั่งปี 1988 Bruce Willis ก็ได้รับโอกาสในหนังแอ๊คชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ Die Hard หลังจากที่พระเอกนักบู๊มากมายต่างปฏิเสธที่จะรับบทนี้ จนผู้กำกับ John McTiernan เลือก Bruce ที่ไม่มีคราบของพระเอกหนังแอ๊คชั่นสักนิดเดียว แต่กลับกลายเป็นการเลือกที่ชาญฉลาดเป็นอย่างมาก เพราะบทบาท John
Dangerous Minds คือภาพยนตร์แนวดราม่าที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในยุค 90’s ออกฉายครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 1995 นำแสดงโดย Michelle Pfeiffer มารับบทเป็นคุณครู LouAnne Johnson และกำกับการแสดงโดย John N. Smith ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือ “My Posse Don’t Do Homework” ที่เขียนโดย LouAnne Johnson ตัวจริง Dangerous Minds นำเสนอเรื่องราวของคุณครูคนหนึ่งที่ตกลงปลงใจเข้าสอนกลุ่มนักเรียนพิเศษในระดับไฮส์สคูล หรือจะให้บอกตรง ๆ ก็คือกลุ่มนักเรียนเกเรที่ไม่มีใครอยากสนใจ มีครูมากมายที่ต้องลาออกไปเพราะไม่สามารถที่จะรับมือกับความแสบของเด็ก ๆ กลุ่มนี้ได้ แต่ครู LouAnne Johnson กลับสามารถพิชิตใจนักเรียนกลุ่มนี้ได้ แม้กว่าจะทำสำเร็จก็ต้องผ่านเรื่องราวอะไรต่าง ๆ มากมาย ซึ่งพอมาเปรียบเทียบกับชีวิตของเราแล้ว มันมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมาะกับการนำไปปรับใช้เวลาทำงานด้วยเช่นกัน และเราสามารถแบ่งประเด็นที่น่าสนใจออกมาได้เป็นจำนวน 5 ข้อหลัก ๆ ดังนี้ แผนบางอย่างใช้ไมได้กับทุกสถานการณ์
จากหนังระทึกขวัญที่ผู้คนต่างมองข้าม กลับกลายเป็นหนังสุดฮิต แถมยังแจ้งเกิดนักแสดงให้กลายเป็น Sex Symbol แห่งยุค 90s และเพียงซีน ๆเดียว ทำให้ผู้ชายทั่วทั้งโลกต้องซื้อวีดีโอหนังเรื่องนี้เพื่อกด Pause ดูซีนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในวาระที่หนังพิศวาสเขย่าจิตเรื่องนี้มีอายุครบ 3 ทศวรรษในปี 2022 นี้ เรามาทำความรู้จักกับคาแรคเตอร์สุดรัญจวนใจ ที่ทำให้นักแสดงสาวโนเนมอย่าง Sharon Stone กลายเป็นซูเปอร์สตาร์เพียงชั่วข้ามคืน ในหนัง Basic Instinct ที่ชื่อภาษาไทยสุดเร่าร้อนว่า “เจ็บธรรมดา…ที่ไม่ธรรมดา” มาทำความรู้จักกับเธอ แล้วคุณจะรู้ว่าไม่เพียงแค่คนตายในจอ แต่นอกจอ ชายหนุ่มทั่วทั้งโลกต่างก็สู่ขิตตายคารีโมทกันมาแล้วทั้งนั้น พิศวาสฆาตกรรมปลุกสัญชาติญาณดิบของมนุษย์ Basic Instinct เล่าเรื่องราวของนักสืบ Nick Curran (Michael Douglas) ที่สืบคดีการตายอย่างเป็นปริศนาของชายหนุ่มถูกฆาตกรรมด้วยที่เจาะน้ำแข็งขณะมีเซ็กซ์ และผู้ต้องหาในเวลานั้นคือ Catherine Tramell (Sharon Stone) นักเขียนนิยายสาวสุดเซ็กซี่ ก่อนที่นักสืบจะตกอยู่ในห้วงเสน่หาจนมิอาจถอนตัวขึ้น แม้หนังจะแปะป้ายว่าเป็นแนว Thriller ระทึกขวัญ แต่ความรัญจวนวาบหวามวาบหวิวในหนัง รวมไปถึงฉากเซ็กซ์อันเร่าร้อนรุนแรงในหนัง ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นที่สุดแห่งความอื้อฉาวที่สามารถทำเงินทั่วโลกได้ถึง 352 ล้านเหรียญทั่วโลก
หากกล่าวถึง Jackass วัยรุ่นระดับฮาร์ดคอร์ ไม่มีใครไม่รู้จักแก๊งเกรียนที่ชอบเสนอเรื่องราวเจ็บเนื้อเจ็บตัว พร้อมป่วนประสาทผ่านรายการเรียลลิตี้สุดฮาของช่อง MTV ในยุค 2000 นำทีมโดย Johnny Knoxville จนสร้างแฟนเดนตายและกลายเป็น Pop Culture สำคัญแห่งยุค และเลื่อนขั้นจากจอแก้วสู่จอเงิน ในสเกลที่ใหญ่และห่ามขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเพื่อต้อนรับหนังใหญ่เรื่องที่ 4 “Jackass Forever” เราจึงขอรวบรวมความเกรียนเฮี้ยนแตกของซีนที่ได้รับการโหวตว่า “โคตรคลาสสิค” ให้ชมเป็นการอุ่นเครื่องกันก่อน มาดูกันว่าตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมาพวกเขาได้สร้างความเฮี้ยนบนจอขนาดไหน และเราคงไม่จำเป็นต้องบอกว่า “การแสดงเหล่านี้เป็นความสามารถและความบ้าคลั่งเฉพาะตัว น้อง ๆ หนู ๆ ห้ามลอกเลียนแบบนจ๊ะ” Hi 5 ในตำนาน From: Jackass 3-D Hi 5 ในที่นี้ไม่ใช่โซเชี่ยลมีเดียยุคดึกดำบรรพ์ แต่เป็นการประสานมือทักทายเพื่อนฝูงตามแบบชาวตะวันตก สำหรับการ Hi 5 ของแก๊ง Jackass มีหรือจะธรรมดา ว่าแล้ว Knoxville ก็สร้างมือขนาดยักษ์ที่มีกลไกสามารถ High 5
จากนักแสดงขวัญใจวัยรุ่นที่ถูกนักวิจารณ์ปรามาสว่า “พอผ่านพ้นช่วงวัยรุ่น ต้องตกอับอย่างแน่นอน” แต่ Robert Pattinson กลับเลือกบทบาทที่แสนท้าทาย จนสามารถก้าวข้ามจากดาราขายหน้าตา เป็นนักแสดงขายฝีมือได้อย่างเหลือเชื่อ จากการรับเล่นหนังที่เน้นขายฝีมือและหนังอินดี้มามากมาย เขาได้แสดงฝีมือไปอีกขั้น กับบทบาทมนุษย์ค้างคาวเวอร์ชั่นใหม่ The Batman ที่ตีความมืดหม่นและสุดกรันจ์ เรามาดูพัฒนาการของผู้ชายคนนี้ แล้วคุณจะต้องทึ่งในบทบาทอันหลากแนวของเขา The Twilight Saga (2008-2012) แจ้งเกิดบทบาทเทพบุตรแวมไพร จากบทบาทเล็กๆที่ได้รับในหนังพ่อมด Harry Potter and the Goblet of Fire ในเวลาต่อมา Robert Pattinson ก็ได้รับโอกาสแบบก้าวกระโดดจากหนังที่สร้างจากนิยายขายดีของ Stephenie Meyer โดยได้รับคัดเลือกให้มารับบท Edward Cullen เทพบุตรแวมไพร์ที่มาหลงรักสาวน้อยปุถุชนคนธรรมดา จนเกิดเป็นสงครามระหว่างแวมไพร์กับแวร์วูล์ฟอีกหลายภาค แม้ว่าหนังจะทำรายได้รวมทั่วโลกทั้ง 5 ภาค สูงถึง 3.3 พันล้านเหรียญ จนกลายเป็นแฟรนไชส์ที่สร้างกำไรและเป็นหมุดหมายสำคัญแห่งยุคสมัยในช่วงกระแสหนังที่สร้างจากนิยาย Young Adult บูมก็ตาม แต่คุณภาพของหนังก็ค่อยๆถดถอยจนเป็นที่ชวนยี้ของเหล่านักวิจารณ์ ขนาด Robert
ในปี 2021 ที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Drive My Car หนังอาร์ตจากแดนอาทิตย์อุทัยที่มีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง คือปรากฏการณ์สำคัญที่สะเทือนวงการภาพยนตร์ ที่ไม่ใช่เพียงปลุกกระแสของหนังญี่ปุ่นให้เจิดจรัสบนเวทีโลกเท่านั้น แต่ยังพาตัวเองไปได้ไกลถึงเวทีใหญ่สุดอย่างออสการ์โดยเข้าชิงถึง 4 รางวัล โดยเฉพาะรางวัลใหญ่สุดอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เพราะอะไร ในยุคที่เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าแต่ความยาวของหนังเกือบ 3 ชั่วโมง ซ้ำยังไม่ใช่หนังที่หมู่คนดูแมสจะสนใจง่าย ๆ กลับกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ใครต่อใครต่างพูดถึง Drive My Car คือ 1 ในเรื่องสั้น Men without Women (แปลไทยในชื่อว่า ชายที่คนรักจากไป) ของนักเขียน Haruki Murakami ที่รวมความช้ำรักอันหลากหลายของชายหนุ่มที่ถูกพลัดพรากจากคนรัก ไม่จากเป็นก็จากตาย ซึ่งชื่อหนังสือ Men without Women นั้นได้มาจากหนังสือรวมเรื่องสั้นของ Ernest Hemingway อีกที ส่วน Drive My Car ตัว Murakami ก็อ้างอิงจากชื่อเพลงของ The
ภาพความโหดเหี้ยมของฆาตกรที่ใส่หน้ากากที่ทำมาจากหนังมนุษย์ เผยความเหี้ยมโหดผ่านอาวุธอย่างเลื่อยไฟฟ้า และโลดแล่นไล่ฆ่าบนจอมาแล้วถึง 48 ปีในหนัง The Texas Chainsaw Massacre หรือในชื่อภาษาไทยว่า “สิงหาสับ” นั่นเอง จากเวอร์ชั่นต้นฉบับในปี 1974 จนถึงเวอร์ชั่นล่าสุดปี 2022 ที่แม้จะย้ายความสยองจากจอใหญ่ลงมาสู่สตรีมมิ่งอย่าง Netflix แต่ดีกรีความสยองยังคงไม่ลดราวาศอกเช่นเดิม แต่ใครจะรู้ว่า ภายใต้หน้ากากอัปลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความวิปริตนี้ กลับสร้างขึ้นจากเรื่องจริงสุดสยอง ของฆาตกรต่อเนื่องที่ลือลั่นและสร้างความหวาดผวา เรามาทำความรู้จักตำนานที่แท้จริงของฆาตกรผู้เป็นต้นแบบของหนังสิงหาสับด้วยกัน ย้อนกลับไปในยุค 1950s โลกเพิ่งฟื้นคืนความสงบสุขจากสภาวะสงครามโลกที่ยืดเยื้อและยาวนาน อเมริกายังยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูจิตใจ โลกของอเมริกันดรีมยังเต็มไปด้วยความสวยงามและความหวัง แต่ใครจะรู้ว่า ภายใต้ความสวยงามนั้น มีคดีสะเทือนขวัญที่กลายเป็นฝันร้ายต่อเหยื่อผู้ตาย แม้กระทั่งวันนี้ คดีนี้ยังเป็นคดีที่โหดเหี้ยมทารุณที่สุดในประวัติศาสตร์อาชญากรรมจวบจนปัจจุบัน Edward Theodore Gein เกิดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 1906 ในเมืองลาครอส รัฐวิสคอนซิน เขาเกิดในครอบครัวที่เคร่งศาสนาที่พ่อแม่แยกทางกัน โดยมีแม่บงการชีวิตเขามาตั้งแต่เยาว์วัย Edward จึงเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวและเค้วงคว้าง จากความผิดเพียงเล็กน้อยก็ถูกลงโทษราวกับเขาไปฆ่าใคร ทำให้วัยเด็กของ Edward มักจะใช้ชีวิตด้วยการถูกขังอยู่ในโรงนาเน่าๆกับพี่ชาย และกลายเป็นคนที่ไม่สังคมกับใครเนื่องจากแม่ของเขามักจะหยิบพระคัมภีร์มาอ่านให้เขาฟัง และกรอกหูเขาโดยตลอดว่า “โลกใบนี้มีแต่คนชั่วช้า หญิงสาวส่วนใหญ่คืออีตัว และเหล้าสุราคือเครื่องมือของเหล่ามารที่จะชักจูงให้ผู้คนเสื่อมศีลธรรม”
เวียนกลับมาอีกครั้ง สำหรับงานประกาศผลผู้เข้าชิงรางวัลอันยิ่งใหญ่ในโลกภาพยนตร์ Academy Awards หรือ Oscars ครั้งที่ 94 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยหนังเต็งจ๋าอย่าง The Power of the Dog หนังคาวบอยสะท้อนเพศสภาพอันแสนสับสนได้เข้าชิงมากที่สุด ตามด้วยหนังไซไฟสุดทะเยอทะยาน DUNE ที่ได้เข้าชิงรองลงมา รวมไปถึงหนังขวัญใจนักดูหนังทั่วโลกและคนดูหนังชาวไทยอย่าง Drive My Car ก็ได้ฝ่าเข้ารอบลึกชิงหนังยอดเยี่ยมเช่นกัน Unlockmen ได้รวบรวมหนังน่าสนใจ 10 เรื่อง ที่โดดเด่นแห่งปี 2021 ที่ผ่านมา ให้คุณได้ทำการบ้านก่อนประกาศผลในวันที่ 27 มีนาคมนี้ ให้ได้อ่านกัน มีเรื่องอะไรบ้าง อย่ารอช้า ไปอ่านกันได้เลย The Power of the Dog หนังคาวบอยที่เล่าเรื่องได้ละมุนละไม สะท้อนโศกนาฏกรรมความผูกพันต้องห้ามระหว่าง Benedict Cumberbatch และ Kodi Smit-McPhee ท่ามกลางความเวิ้งว้างของเมืองเถื่อน โดย
ใครกำลังมองหาซีรีส์รักโรแมนติกไว้ดูรับวาเลนไทน์ แน่นอนว่าคงพลาดซีรีส์เด็ดจากเกาหลีไปไม่ได้! เพราะพูดถึงซีรีส์เกาหลีทีไรก็ต้องนึกถึงบรรยากาศรักโรแมนติก และอารมณ์สุขเศร้าเคล้าน้ำตาที่มากับบทละครที่ตราตรึงใจ แต่จริง ๆ แล้ว ซีรีส์เกาหลียังมีอีกหลายอารมณ์ หลากรสชาติที่บางคนอาจยังไม่เคยได้ลิ้มลอง วันนี้เราขอต้อนรับเทศกาลแห่งความรักกันด้วยลิสต์ซีรีส์และภาพยนตร์เกาหลี ที่มัดรวมความรักหลากหลายรูปแบบมาไว้ด้วยกัน บรรจงคัดสรรมาจากทั้งซีรีส์คุณภาพที่ครองฟีดโซเชียลในปีที่ผ่านมา ไปจนถึงซีรีส์และภาพยนตร์ที่กำลังต่อคิวพรีเมียร์ให้ได้รับชมกันทาง Netflix ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ #รักรสหวานปานน้ำผึ้ง วัยใสๆ หัวใจสุดเปิ่น (So Not Worth It) ซีรีส์ซิตคอมที่เล่าถึงเรื่องราวหลากสีสันของก๊วนเพื่อนนักศึกษาในหอพักนานาชาติของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น ตัวละครน่ารักสดใส ความโรแมนติกหัวใจพองโต รวมถึงเรื่องราวของการก้าวผ่านความเจ็บปวดและเติบโตตามประสาวัยรุ่น กลมกล่อมด้วยรักหวานๆ และความสนุกสนานสไตล์ซิตคอม นำแสดงโดยบรรดานักแสดงดาวรุ่ง พร้อมนักแสดงรับเชิญสุดเซอร์ไพรส์! รับชมได้แล้ววันนี้ที่ Netflix ยี่สิบห้า ยี่สิบเอ็ด (Twenty Five, Twenty One) ยี่สิบห้า ยี่สิบเอ็ด (Twenty Five, Twenty One) รักโรแมนติกที่ก่อตัวขึ้นในกลุ่มเพื่อนวัยรุ่นยุค 90 ที่ครอบครัวได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 1998 ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียความฝันและเผชิญกับสถานการณ์ไร้ทางออก พวกเขาเรียกชื่อกันครั้งแรกเมื่ออายุ 22 และ 18 ปี