มาร่วมแจมกันอีกครั้งสำหรับ ซิงเกิ้ลสุดเดือน Lit ( ลิธ ) ของฮิปฮอปตัวจี๊ด อย่างโค้ช Twopee Southside ( ทูพี เซาท์ไซด์ ) จากรายการ เดอะ แรปเปอร์ ที่หนนี้ ได้รุ่นพี่เจน 1 อย่าง KH ขันเงิน เนื้อนวล มาลงมือโปรดิวซ์ ให้อีกครั้ง และ ร่วมฟีเจอริ่งในเพลงนี้อีกด้วย นอกจากนั้น ยังได้รุ่นน้องสุดฮอต แรปเปอร์ชื่อดัง แห่งเมืองขอนแก่น เจ้าของตำแหน่ง ฮิปฮอปเจน 3 ระดับหัวแถว อย่าง Fiixd ( ฟิ๊กซ์ ) ที่ได้กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง รวมทั้ง แรปเปอร์ ในตำนานที่ เด็กใต้ ต่างรู้จักชื่อเสียงของเค้าเป็นอย่างดี อย่าง บังซี๊ด “Youngzees”( ยังซี๊ด ) หนึ่งในสมาชิก แกงค์ เซาท์ไซด์
แม้การเฉลิมฉลองอัลบั้มที่พลิกหน้าวงการดนตรีอย่าง Nevermind ของกลุ่มราชากรันจ์ร็อค Nirvana ที่เข็มนาฬืกาหมุนมาที่อายุครบ 30 ปีนี้ จะมีเหตุตะกุกตะกักไปบ้าง จากการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายของ Spencer Elden เจ้าหนูบนหน้าปกประวัติศาสตร์ ฐานถูกทำให้อับอายมาตลอด 30 ปี แต่อย่างไรก็ดี คดีความไม่อาจจะทำลายความยอดเยี่ยมของบทเพลงในอัลบั้มลงได้เลย และ NME สื่อทรงอิทธิพลแห่งเกาะอังกฤษ ก็ร่วมวาระแห่งการเฉลิมฉลองนี้ ด้วยการสอบถามศิลปินรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ ถึงบทเพลงทั้ง 13 เพลง ในอัลบั้มนี้ เพลงไหนที่สร้างอิทธิพลให้กับพวกเขาอย่างไรกันบ้าง ‘Smells Like Teen Spirit’ by Dave Grohl เริ่มต้นด้วยบทเพลงแห่งตำนาน จากปากคำของผู้ร่วมสร้างตำนาน Dave Grohl แห่ง Foo Fighters ที่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เขาคือมือกลองของคณะ Nirvana ที่มาเล่าเบื้องหลังของบทเพลงเปลี่ยนประวัติศาสตร์นี้ให้ฟัง “เฮียจำได้ว่าตอน Kurt เขียน ‘Teen Spirit’ ในห้องซ้อม เฮียขนลุกกับท่อนริฟฟ์อันหนักหน่วงที่ Kurt
เรียกได้ว่า ทำอะไรก็เกิดกระแสและข้อถกเถียงแทบทุกครั้ง สำหรับศิลปินสุดฮ๊อต Justin Bieber ที่ครั้งนี้เตรียมตัวสร้างแบรนด์ใหม่ แต่ไม่ใช่แบรนด์แฟชั่น หรือว่าอาหารใดๆ เพราะแบรนด์ที่พ่อหนุ่ม Bieber กำลังจะเปิดนั่นก็คือ แบรนด์กัญชานั่นเอง โดย Bieber เลือกเพลงที่ฮิตสุดแรงสุดของปีนี้อย่างเพลง “Peaches” เป็นชื่อแบรนด์ของเขา เรามาทำความรู้จักกับเพลงๆนี้ พร้อมทั้งสาเหตุสำคัญที่ Justin Bieber ทำไมถึงเลือกทำแบรนด์กัญชา…กัญได้เลย “Peaches” เพลงสุดฮิตติดหูที่มาจากความบังเอิญ ในประวัติศาสตร์ของเพลงฮิต หลายเพลงนั้นเกิดมาจากความบังเอิญที่ไม่ได้ตั้งใจใด ๆ เพลง “Peaches” ซิงเกิลสุดเจ๋งของอัลบั้มล่าสุด Justice นี้ก็เช่นกัน มันมีวันหนึ่ง ขณะที่ Bieber และ Shawn Mendes ไปแฮงก์เอาท์ที่บ้านของ Andrew Watt นั้น Bieber เห็นสตูดิโอห้องซ้อมในบ้านของ Watt เขาจึงเดินไปตีกลอง ลองเล่นเปียโน ช่วงที่เขาดีดเพลงมั่ว ๆ นั้นเอง เขาก็ฮัมท่อน ๆ หนึ่งมั่วซ้ำไปวนมาแล้วชวนเพื่อนมาร่วมแจมดนตรีในเพลงด้นสดเพลงนี้ “ทุกอย่างมันเกิดขึ้นภายในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น Bieber
วัยเบญจเพสสำหรับใครต่อใคร อาจจะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ที่ย่างก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว ในโลกของดนตรีก็ไม่ต่างกัน เพราะช่วงปี 1996 หรือ 25 ปีที่ผ่านพ้นไปนั้น มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นในโลกของดนตรี ไม่ว่าจะเป็นช่วงอิ่มตัวของของดนตรี Britpop การทวงบัลลังก์ของดนตรีฟากฝั่งอเมริกา การหาแนวทางใหม่ของวงดนตรีรุ่นใหญ่ และการแจ้งเกิดของวงดนตรีรุ่นใหม่ รวมไปถึงการกลับมาของเทรนด์ Boy Band / Girl Group จึงทำให้ ปี 1996 เป็นอีก 1 ปีที่น่าจดจำสำหรับนักฟังเพลง ที่ต้องการฟังเพลงอันหลากหลาย และเป็นสิ่งที่น่าศึกษาไม่ใช่น้อย ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990s นี้ มีเสน่ห์อะไรที่ยังตราตรึงหูของนักฟังเพลง ที่ยังคงหยิบอัลบั้มในปีนี้มาฟังจวบจนทุกวันนี้ บทความนี้เราจะพาทุกคนย้อนเวลาไปสัมผัสช่วงปีที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของการฟังเพลงร่วมกัน Manic Street Preachers – Everything Must Go การหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1995 ของสมาชิกหลักของวงอย่าง Richey Edwards นำมาซึ่งความช็อคของแฟนเพลง และสมาชิกทั้ง 3 ที่เหลือ จน
ใครที่ชื่นชอบการดูหนังสยองขวัญได้เวลาเปิด Netflix แล้ว เพราะเดือนนี้ทาง Netflix ได้ต้อนรับเทศกาลฮัลโลวีนโดยการขนสารพัดหนังและซีรีส์ชวนขนลุกมาให้เราดูกันอย่างจุใจ ซึ่งเรามีหนังและซีรีส์ทั้งหมด 10 เรื่องที่อยากแนะนำให้ไปดูกัน สำหรับใครที่ใจกล้าก็ควรดูให้ครบทุกเรื่องไปเลย There’s Someone Inside Your House หนังเรืองนี้เป็นหนังแนวเชือดสับที่สร้างโดยโปรดิวเซอร์ซีรีส์และภาพยนตร์เขย่าขวัญชื่อดังอย่าง Stranger Things และ The Conjuring ซึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนมัธยมในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของรัฐเนแบรสกา เมื่อใกล้ถึงวันจบการศึกษาที่ทุกคนรอคอย ‘มาคานี่’ เด็กสาวชั้นม. 6 ก็พบกับเหตุการณ์ไม่คิดไม่ฝัน เมื่อเพื่อนร่วมชั้นของเธอถูกฆาตกรสุดโหดไล่ล่า ฆาตกรคนนี้จะใส่หน้ากากที่เป็นใบหน้าของเหยื่อทุกครั้งที่ออกล่า และเปิดโปงความลับดำมืดของเหยื่อให้ทุกคนรับรู้ มาคานี่และผองเพื่อนต้อหาตัวฆาตกรให้เจอก่อนจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป สามารถรับชมได้แล้วตั้งแต่วันนี้ No One Gets Out Alive หนังที่เล่าเรื่องราวชวนขนลุกของบ้านที่มีวิญญาณหลอน ผ่าน ‘แอมบาร์’ สาวเม็กซิโกที่ลักลอบเข้ามาในอเมริกา เพื่อตามหาความฝันแบบอเมริกันชน ด้วยเงินติดตัวเพียงเล็กน้อย เธอจึงจำใจเช่าห้องพักซอมซ่อแห่งหนึ่งในคลีฟแลนด์ ซึ่งที่บ้านหลังนั้นเอง พอถึงเวลากลางคืนเธอก็ต้องพบกับเหตุการณ์ชวนขนหัวลุก ไม่ว่าจะเป็น ได้ยินเสียงสะอื้นของผู้เช่าห้องคนอื่น ฝันร้ายสุดสะพรึง และเสียงประหลาดที่ดังจากห้องใต้ดิน ทำให้เธอนอนไม่หลับ
ในค่ำคืนดึกสงัด ขณะที่คนอื่นกำลังหลับไหล และบางคู่กำลังระเริงรักอันเร่าร้อนบนเตียงนอน เสียงแห่งความน่าสงสัยด้านนอกปลุกให้ทั้ง Derek และ Danny พี่น้องต้องหยุดภารกิจทุกอย่าง เพื่อออกมาพบแก๊งทรชนผิวดำที่กำลังจะขโมยรถของเขา Derek พี่ชายที่อยู่ในขุดกางเกงบ็อกเซอร์สีขาวเพียงตัวเดียว กับท่อนบนอันเปลือยเปล่าเผยให้เห็นรอยสักสัญลักษณ์สวัสดิกะตรงอกข้างซ้าย เขามาพร้อมปืนพกคู่ใจ จัดการยิงโจรผู้เคราะห์ร้ายจนหมดแม็ก และ 1 ใน 3 นอนหายใจรวยรินอยู่หน้าบ้าน Derek สั่งให้ชายผิวดำคนนั้นเอาปากแนบกับฟุตบาท ชายผู้นั้นยอมทำตามแต่โดยดี แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา Derek ได้จัดการกระทืบหน้าอย่างไม่ยั้ง ชายผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นตายคาที Derek ถูกตำรวจจับกุมทันที สีหน้าของเขาไม่ได้รู้สึกรู้สาถึงความผิดที่เขาได้ก่อเอาไว้ ตรงกันข้ามเขากลับสะใจที่ได้ส่งพวกไอ้มืดตายอย่างสาสมใจ นี่คือซีนหนึ่งในหนัง American History X ที่เล่าเรื่องเพียงไม่กี่นาที แต่กลับสร้างความช็อคให้กับผู้ชมที่ได้ชมหนังเรื่องนี้อย่างจัง ฉากๆนี้ได้รับการกล่าวถึงในวงกว้างในฐานะหนังที่เล่าเรื่องราวของ “นีโอ-นาซี” ได้อย่างทรงพลัง ขณะเดียวกันก็อธิบายความเกลียดชังของคนๆหนึ่งที่มีต่อการเหยียดสีผิวได้เป็นอย่างดี แต่ภายใต้ความรุนแรงนี้ มีหลายสิ่งที่พลิกผัน ที่นำไปสู่เรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของพี่น้องคู่นี้ไปตลอดกาล เรามาทำความรู้จักกับวายร้ายในคราบนีโอ-นาซี ที่ความรุนแรงได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาจากขาวเป็นดำ จนทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในวายร้ายที่ใช้ความเกลียดชังทำลายทุกอย่างให้พินาศในพริบตา…Derek Vinyard American History X รายงานหัวข้อเลือด 3 ปีต่อมา…Danny น้องชายของ Derek
อาจจะเป็นการดูถูกและด้อยค่าจนเกินไป หากคุณตัดสินตัวตนของ Kanye West ผ่านความแสบอันหลากหลายจากหน้าข่าวซุบซิบที่เขาสร้างเรื่องและความฉาวมาตลอดนับตั้งแต่อัลบั้มชุดแรกเป็นต้นมา เพราะสำหรับผู้ชายคนนี้ มีด้านมืดย่อมมีด้านสว่าง เราจึงของเสนอเรื่องราวทั้งด้านแสบ ด้านซึ้ง และด้านที่สุดทึ่งของผู้ชายคนนี้ ต้อนรับอัลบั้มชุดที่ 10 ของเขา Donda มาดูกันว่าชีวิตของเขานั้นโลดโผนโจนทะยานขนาดไหน พ่อของเขาคือ Black Panther อย่าเข้าใจผิดนะ Black Panther ในที่นี้ ไม่ใช่ฝ่าบาทซูเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวล แต่เป็นกองกำลังที่ต่อสู้ปกป้องศักดิ์ศรีของคนผิวสีที่ถูกกดขี่มาอย่างยาวนานในทศวรรษที่ 1960s-1970s (สามารถรับชมเรื่องราวของชาว Black Panther ได้ในหนัง Judas and the Black Messiah) โดย Kanye ได้เปิดเผยเรื่องราวของ Ray West เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “พ่อของผม เคยอยู่ในกลุ่มเสือดำ Black Panther มันเท่มากนะที่พ่อของผมเคยเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองอันเข้มข้น” โดย Kanye เคยเขียนเพลงถึงพ่อของเขาในเพลง Follow Gold อีกด้วย นอกจากนี้พ่อของเขายังเป็นช่างภาพผิวดำคนแรกของ The Atlanta Journal-Constitution
เพราะกีฬาบาสเก็ตบอล ไม่เพียงต้องใช้พละกำลัง หรือทีมเวิร์คในการช่วงชิงลูกบาสจากคู่แข่งเท่านั้น ท่วงลีลาในการเลี้ยงลูกหรือยัดห่วงก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะเป็นตัวชี้วัดความเป็นสตาร์ในสนามได้มากน้อยแค่ไหน จึงไม่แปลกที่วงการหนังจะคว้าเหล่าซุเปอร์สตาร์นักยัดห่วงเหล่านั้นมาโลดแล่นบนจอเงิน ซึ่งก็มีทั้งแจ้งเกิดในวงการ และแจ้งดับในวงการเช่นกัน UNLOCKMEN จึงรวบรวมเหล่านักกีฬายัดห่วงที่โลดแล่นบนจอเงิน เพื่อต้อนรับการมาของหนังภาคต่อในตำนาน Space Jam: A New Legacy มาดูกันว่าใครปังใครแป๊กในวงการหนังกันบ้าง Michael Jordan – Space Jam (1996) เริ่มต้นด้วยนักบาสระดับคลาสสิค ดาวเด่นแห่งทีม Chicago Bulls ที่โดดเด้งในยุค 80s-90s ที่นอกจากผลักดันให้กีฬาบาสเก็ตบอล กลายเป็นกีฬาสุดฮิปส์ที่ใครต่อใครอยากจะมีลีลาการยัดห่วงให้เท่เท่ากับ Jordan แล้ว ในด้านวงการบันเทิง Michael Jordan ก็คว้าทุกโอกาสที่พุ่งเข้ามาหา ตั้งแต่การเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ตั้งแต่รองเท้ากีฬา ไปยันน้ำอัดลมชื่อดัง จนมีรุ่นรองเท้าเป็นของตัวเอง ไปจนถึงการเป็นนักร้อง มีเหรอที่วงการหนังจะไม่คว้าเขามาแสดง แถมหนังยังพิเศษด้วยการจับเขาต้องเล่นร่วมกับตัวการ์ตูนอีกด้วย และ Space Jam คือบทบันทึกถึงความโด่งดังที่อยู่ในช่วงเวลาที่พีคสุดของ Jordan เรื่องราวของนักบาสมืออาชีพที่ทะลุมิติไปช่วยเพื่อนตัวการ์ตูนแข่งกีฬายัดห่วงกับมนุษย์ต่างดาวนี้ ฉายความเป็นสตาร์ของตัว Jordan ได้อย่างลงตัว แม้ว่าหนังจะคราคร่ำไปด้วยคาแรคเตอร์สุดวายป่วงจาก Looney
ตอนคุณอายุ 11 ปี คุณอาจจะนั่งอยู่หน้าจอคอมเพื่อเล่นเกมโปรด หรืออาจจะรอคอยตอนใหม่ของ One Piece อย่างใจจดใจจ่อ แต่ในอีกซีกโลก มีเด็กน้อยคนหนึ่งปรากฎตัวอยู่หลังกลองชุด โดยมีชาวร็อคกว่าหมื่นคนเป็นสักขีพยานในความสามารถอันโดดเด่นของเขา “พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับตำนานที่น่าทึ่ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วง The Beatles บ้าง Rolling Stones บ้าง Pink Floyd บ้าง แต่สำหรับคนนี้…แม่งไม่ใช่ว่ะ” Dave Grohl แห่งวง Foo Fighters ประกาศแนะนำแขกรับเชิญคนสำคัญในคอนเสิร์ตที่ The Forum เมือง แอล.เอ. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา “ขอเสียงเฮให้กับ “มือกลองที่โคตรเจ๋งที่สุดในโลก”…Nandi Bushell!!!” ต่อจากเสียงแนะนำของ Dave Grohl คือเสียงจากการหวดกลองสุดระห่ำในเพลง Everlong เพลงฮิตของ Foo Fighters หากคุณหลับตาจินตนาการถึงเจ้าของเสียงกลองนั้น คุณอาจจะคิดไปถึงมือกลองสุดเก๋าที่ผ่านการเล่นคอนเสิร์ตมาอย่างนับไม่ถ้วน แต่เมื่อคุณเปิดตาดู คุณจะแทบไม่เชื่อสายตา เพราะเจ้าของเสียงคำรามผ่านการรัวกลองคนนั้นกลับเป็นเด็กสาวอายุเพียง 11 ปี
ย้อนไปเมื่อช่วงเช้าวันอังคารที่ 11 กันยายน ปี 2001 ตามเวลาท้องถิ่น ในช่วงเวลาเร่งรีบของการทำงานตอนเช้าของมหานครนิวยอร์ค จู่ ๆ ก็มีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นต่อหน้าสายตาของผู้คนนับหมื่น เมื่อเครื่องบินพานิชย์ลำหนึ่งบินพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ฝั่งเหนือจนระเบิดคาตา ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง และเสียงตกใจจากผู้คนมากมายที่แทบไม่เชื่อสายตา และไม่ทันที่จะได้สรุปว่าเกิดเหตุอะไร เครื่องบินลำที่สองก็พุ่งเข้าชนตึกอีกฝั่งจนถล่มลงมา และในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา จบตำนานตึกที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งอเมริกันชนที่เป็นศูนย์กลางแห่งธุรกิจในชั่วพริบตา นอกจากนั้นอาคารแพนตาก้อนก็เสียหายจากการเหตุเครื่องบินพุ่งชนเช่นกัน ท่ามกลางความเศร้าสลดหดหู่ นำมาสู่บทสรุปแห่งโศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ จากน้ำมือของผู้ก่อการร้ายที่มุ่งหวังจะสร้างสถานการณ์ที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ จนนำไปสู่การสูญเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์จำนวน 2,977 ราย กลายเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายที่สุดในยุคปัจจุบัน และในปี 2021 นี้ เหตุการณ์โศกนาฎกรรม 9/11 มีอายุครบรอบ 20 ปี ตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา มีหนัง และสารคดีมากมาย ที่ตีแผ่เรื่องราวความเลวร้ายของเหตุวินาศกรรมนี้ เรามารำลึกช่วงเวลานี้ผ่านเรื่องราวสุดสะเทือนใจบนจอร่วมกันอีกครั้ง World Trade Center (2006) แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง ที่บันทึกวีรกรรมความกล้าหาญ ของ 2 ตำรวจผู้เสียสละเข้าไปช่วยชีวิตคนในตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ก่อนช่วงเวลาที่ตึกถล่ม จนพวกเขาต้องอยู่ในซากปรักหักพังที่สุดแสนอันตรายและสิ้นหวัง Oliver Stone ผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์จาก
นับเป็นการแจ้งเกิดในวงการเทนนิสที่สร้างความฮือฮามาก ๆ เมื่ออยู่ดี ๆ นักกีฬาเทนนิสหน้าใหม่ปรากฎตัวในการแข่งขันระดับโลกแค่ไม่กี่ครั้งคนหนึ่ง จะสามารถโค่นล้มนักกีฬามืออาชีพได้แบบขาดลอย และคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นหญิงเดียวมาครอบครองได้ในที่สุด สาวน้อยมหัศจรรย์คนนี้มีชื่อว่า Emma Raducanu นักเทนนิสสาววัย 18 ปี ที่มาพร้อมกับความสามารถอันโดดเด่น ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นดาวรุ่งในวงการเทนนิสอย่างรวดเร็ว UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับเธอให้มากขึ้นกัน พื้นเพและผลงานของ Emma Raducanu Emma Raducanu เกิดเมื่อปี 2002 ในบ้านเกิดที่เมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา ครอบครัวของเธอเป็นชาวต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ในต่างแดน พออายุได้ 2 ขวบ เธอก็ย้ายไปอยู่ที่กรุงลอนดอนพร้อมกับครอบครัว ทำให้เธอได้รับ 2 สัญชาติ (ได้แก่ แคนาดา และ บริติช) ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ในวัยเด็กเธอได้เล่นกีฬาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น กอล์ฟ แข่งรถคาร์ท สกี ขี่ม้า รวมถึง บัลเล่ต์ และ แท็ปแดนซ์ ส่วนเทนนิส เธอเริ่มเล่นมันตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จนกระทั่งในปีอีกสิบปีต่อมา หลังจากที่เธอฝึกฝนและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านเทนนิสมานมนาน
วันนี้แม้แต่ Wong Kar Wai ยังเตรียมเปิดตัวผลงาน NFT ชิ้นแรก Unseen Footage จากภาพยนตร์สุดเหงา “In The Mood For Love” ซึ่งยังไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน การประมูล Unseen Footage ของ “In The Mood For Love – Day One” ความยาวประมาณ 91 วินาที เนื้อหาทั้งหมดเป็นภาพเคลื่อนไหวที่ถูกบันทึกในวันแรกของการถ่ายทำภาพยนตร์ Classic Romantic Drama ที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในเทศกาล Cannes Film Festival ปี 2000 เป็นภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้ผู้กำกับสุดอาร์ทคนนี้มากที่สุดเรื่องนึง และถูกโหวตโดยคนดูว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดอันดับที่ 2 ของ Wong Kar Wai การประมูลครั้งนี้เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันระหว่าง Wong Kar Wai และ Sotheby’s ในการนำ