Sriracha Sauce อีกหนึ่งบทเรียนของคนไทยในเรื่องการจดสิทธิบัตร
นาทีนี้คงไม่มีผู้ชายไทยคนไหนเนื้อหอมไปกว่า เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยอีกแล้ว เนื่องจากจำนวน ส.ส. ประมาณ 50 ที่นั่ง (อย่างไม่เป็นทางการ) ที่พรรคภูมิใจไทยมีอยู่ในมือถือเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะตัดสินอนาคตประเทศไทยว่าจะไปในทิศทางไหน แต่ไม่ว่าเสี่ยหนูจะเลือกฝ่ายไหน ก็ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าเขาและพรรคภูมิใจไทยจะได้จัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นนโยบาย ‘กัญชาเสรี ปลูกได้บ้านละ 6 ต้น’ ที่ทุกคนรอคอยก็ใกล้ความจริงเข้าไปอีกขั้นแล้ว ว่าแต่กัญชามันปลูกยังไงล่ะ? เนื่องจากที่ผ่านมาในประเทศไทยกัญชาจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 มาโดยตลอด ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรชนิดนี้จึงไม่แพร่หลายนัก แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่หนุ่ม ๆ สายเขียวจะกลายเป็นเกษตรกรไปด้วยกัน เลือกเมล็ดพันธุ์ สำหรับนักปลูกหน้าใหม่ชาวไทย การเลือกเมล็ดพันธุ์คือสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากสภาพอากาศบ้านเราแตกต่างจากประเทศฝั่งตะวันตกที่ปลูกกัญชากันอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเราเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ไม่เข้ากับสภาพอากาศมา ความพยายามในขั้นตอนต่อไปก็อาจจะสูญเปล่า สิ่งต่อมาที่ต้องพิจารณาคือความเหมาะสมของเมล็ดพันธุ์กับสถานที่ปลูก เพราะบางสายพันธุ์เติบโตได้ดีในที่ปิด บางสายพันธุ์เติบโตได้ดีในที่โล่ง นอกจากนั้นก็แล้วแต่รสนิยมของคุณแล้วว่าชอบการออกฤทธิ์ของสายพันธุ์ไหนและสายพันธุ์ไหนเข้ากับคุณที่สุด สภาพแวดล้อมพื้นฐาน น้ำ: เช่นเดียวกับพืชชนิดอื่น กัญชาต้องการน้ำเพื่อการเจริญเติบโต ในกรณีที่ปลูกกลางแจ้ง ถ้าพื้นที่ที่คุณปลูกมีปริมาณน้ำฝนเพียงพอ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องน้ำ แต่ถ้าปลูกในปริมาณมาก คุณก็จำเป็นต้องหาน้ำจากแหล่งอื่นมาเสริม น้ำคือสื่อที่นำพาสารอาหารล่อเลี้ยงต้นกัญชา นอกจากนั้นยังถูกใช้เพื่อล้างระบบไฮโดรโพนิก ค่า pH ของน้ำมีความสำคัญมาก เครื่องวัดค่า pH จึงเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ปลูกกัญชา อุณหภูมิ: กัญชาเป็นพืชที่แข็งแรงมาก
มาดูชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ลาออกจากมัธยมด้วยเหตุผลที่ว่า “ผมจะไปไล่ล่าความฝัน”
ว่ากันว่า ‘สีสัน’ คือสิ่งที่บ่งบอกตัวตน / ความหลงใหล / สไตล์ / รวมไปถึงบุคลิกของแต่ละคน และสกู้ตเตอร์ที่เปี่ยมไปด้วยสีสันอย่าง VESPA ก็พร้อมที่จะสะท้อนตัวตนและเรื่องราวในทุกแง่มุมของผู้เป็นเจ้าของเช่นกัน ซึ่งในวันนี้ UNLOCKMEN x VESPA จะพาทุกคนไปพบกับ ‘เต้ – ศรัณย์ ทับทิม’ ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา และผู้ก่อตั้ง Vespa Jersey Club ที่รวมเอารูปทรง สไตล์ สีสันอันเป็นเอกลักษณ์ของเสื้อบอล มาผสานกับความคลาสสิกของ VESPA แล้วสะท้อนออกมาผ่านกลุ่มเพื่อนที่ใส่เสื้อบอลขี่ VESPA ไปไหนไปกันได้อย่างสนุกสนานน่าติดตาม โดยจุดเริ่มต้นของการจับเอาเสื้อบอลมาใส่ขี่ VESPA นั้นมาจากสไตล์ส่วนตัวของผู้ชายคนนี้ ที่สนุกสนานไปกับการแต่งตัวที่มีสีสัน โดยไม่สนเซฟโซนว่าจะต้องคุมโทนด้วยสีขาว-ดำเสมอไป เพราะลึก ๆ รู้สึกว่าสีสันมันสามารถสะท้อนตัวตนที่แตกต่างของแต่ละคนได้ อีกทั้งยังเพลิดเพลินกับการนำเอาสไตล์วินเทจ / สตรีท และ สปอร์ต มา MIX & MATCH กัน ด้วยความเชื่อที่ว่าทุกอย่างสามารถผสมผสานกันได้หมด รวมถึงการตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมสไตล์ที่ชอบไม่ได้ถูกนำเสนอออกไปจนกลายมาเป็นแรงผลักดันในการตัดสินใจรวมกลุ่มเพื่อนมาใส่เสื้อบอลวินเทจ พร้อมออกท่องเที่ยวไปกับ
ความท้าทายของความรักว่ากันว่าไม่ใช่แค่ตอนคบกันใหม่ ๆ แต่มันเป็นช่วงที่ผ่านพ้นช่วงเวลาโปรโมชั่นไปต่างหาก เพราะมันจะเป็นระยะที่เราจะได้รู้จักตัวตนของกันและกัน เราจะได้เห็นข้อดีและข้อเสียแบบที่ไม่ต้องมานั่งสร้างภาพกันอีกต่อไป ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่คอยชี้วัดได้เลยว่าชีวิตคู่ของเราจะมีความสุขหรือความทุกข์ ในเคสที่คุณแฮปปี้มันก็ดีไป แต่ถ้าเจอในเคสที่แย่ คุณก็มีหน้าที่ที่ต้องแก้ไขปัญหาเพื่อทำให้ความสัมพันธ์เดินต่อไปได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เหล่านี้ ทะเลาะต้องเคลียร์ การใช้ชีวิตคู่ย่อมต้องเจอเรื่องหงุดหงิดใจมากมายที่นำไปสู่การทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ และโดยมากมักจะคิดว่าสุดท้ายมันจะคลี่คลายผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จึงปล่อยปัญหาเอาไว้แบบนั้นโดยไม่จัดการอะไร แต่จริง ๆ แล้วในบางครั้งมันกลับกลายเป็นความเครียดที่สะสมแอบซ่อนอยู่ข้างหลังเพราะคุณไม่ได้จัดการเคลียร์ความรู้สึกดังกล่าวให้มันชัดเจน คุณต้องลองกลับมามองเจาะลึกเข้าไปว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นที่เป็นปมอยู่ในใจมันทำให้เรารู้สึกห่างไกลความสัมพันธ์กับคู่รักของเราหรือไม่? คุณทนมันได้จริง ๆ หรือเปล่า? มันได้ดึงเอาความรู้สึกดี ๆ ของคุณออกไปด้วยหรือไม่? หากคุณคบกันผ่านไปหลายปี แต่มักจะมีการขุดเอาปัญหาดังกล่าววนเวียนกลับมาทะเลาะกัน และต่างคนต่างไม่มีใครเปลี่ยนตัวเองซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้น ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ เราแนะนำให้คุณลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาคาราคาซังที่เคยเป็นปมทะเลาะกันบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนที่เพราะมันจะช่วยอะไรไม่ได้แน่นอน สังเกตจากคำพูด สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความสัมพันธ์ที่ไม่โอเค บางครั้งมันก็ออกมาจากคำพูดโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น “เธอแม่งทำตัวเรื่องมากจนชินแล้วล่ะ” “เดี๋ยวครั้งหน้าเธอก็คงมาสายเหมือนเดิมอีกนั่นแหละ” “คนอื่นคบกันคงไม่มีปัญหานี้เหมือนกับเราหรอกมั้ง” หากมีชุดความคิดนี้หลุดปากเราออกมาบ่อย ๆ มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าคุณไม่ได้มีความสุขกับชีวิตคู่ เพราะมันแฝงไปด้วยความรู้สึกด้านลบที่กดทับความสุขของเราเอาไว้จนต้องระบายออกมาในบทสนทนาโดยไม่รู้ตัว หากเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ควรรีบจัดการแก้ไขโดยทันทีก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลง อารมณ์ร้อนไม่ใช่เรื่องดี จริงอยู่ที่การทะเลาะกันของคู่รัก จากเรื่องเล็ก ๆ
เคยใช่ไหม? ที่ต้องมานั่งรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่ได้ยินหรือพบเห็นคำนินทา บางครั้งก็ทำให้เรามานั่งสงสัยว่าเราไปทำอะไรให้เจ็บแค้นเคืองโกรธขนาดนั้นเลยหรอ? บางครั้งมันก็ลุกลามทำให้เราเครียด จนสูญเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิต เพราะต้องมาคอยนั่งระแวดระวังว่าจะถูกใครด่าใครนินทาบ้าง เล่นเอาเสียความเป็นของตัวเองไปเลย หากคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น และยังหาทางออกไม่ได้ ลองมาดูวิธีรับมือพวกปากหอยปากปูเพื่อกู้ความสุขเราให้คืนกลับมาจากทาง Unlockmen กันดีกว่าครับ ช่างแม่ง หลักการแรกพูดง่าย ๆ แต่ทำยากคือการ “ปล่อยวาง” หรือจะให้พูดแบบภาษาเข้าใจง่ายกว่านั้นคือ “ช่างแม่ง” เพราะชีวิตเรามันเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะได้พบเจอคำนินทาต่าง ๆ นานา ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เหมือนกับชาวพุทธศาสนิกชนที่ชอบพูดกันว่า “แม้แต่พระพุทธเจ้า ยังโดนนินทา” ดังนั้นเราก็ไม่ควรไปให้ค่า ไม่ไปสนใจเสียงพวกนี้เลย คิดซะว่าเหมือนเสียงนกเสียงกาเสียงหมาเห่า พอเหนื่อยเดี๋ยวก็หยุดกันไปเอง หากเราสามารถใช้วิธีการปล่อยวางได้ จิตใจของเราก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น แถมมีภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเรื่องน่ารำคาญใจด้วยเช่นกัน ฟ้องร้อง เอาให้หนัก แม้เราจะสามารถปล่อยวางเป็น แต่เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรปล่อยผ่านเพราะถ้าหากคำนินทาหรือใส่ร้ายทำให้เราเสื่อมเสียเกียรติ ชื่อเสียง หรือมีผลกระทบกับองค์กรณ์ของเรา วิธีการฟ้องโดยใช้กฏหมายเล่นงานดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด หากเรามีหลักฐานชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโพสต์ต่าง ๆ บนโซเชียลเนตเวิร์ก, ข้อความตามแชทส่วนบุคคล หรืออะไรก็แล้วแต่ที่สามารถอ้างอิงเป็นข้อมูลยืนยันได้ เราก็ดำเนินการแจ้งความฟ้องหมิ่นประมาทกับทางสถานีตำรวจ ก่อนจะส่งต่อให้ทนายช่วยดูแลเคสและตามมาด้วยเข้าสู่กระบวนการของศาลในที่สุด แม้อาจจะเป็นวิธีที่เสียเวลา แต่นี่คือการฟาดกลับอย่างถูกต้อง สะใจ แถมอาจจะได้ค่าเสียหายกลับมาใช้เล่น ๆ อีกด้วย อย่าลืมให้พรบ.คอมให้คุ้มค่า
คุณเคยลองถามตัวเองไหมว่าทุกวันนี้เคยทำอะไรที่เป็นตัวเองได้เต็ม 100% แล้วหรือยัง? หรือเคยมีโอกาสได้ลองทำมันบ้างซักครั้งหรือยัง? เคยได้ออกจากกรอบที่คอยสกัดกั้นความกล้าบ้าบิ่นของเราแล้วหรือไม่? แน่นอนว่าคำตอบของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป แต่ไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้ที่มีนามว่า “นราวุธ อำนวย” หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันในชื่อ “แร็ปเอก” แร็ปเอกเคยสร้างกระแสไวรัลในโลกโซเชียลมีเดียเมื่อประมาณเกือบ 10 ปีที่แล้ว ด้วยการแร็ปพรีเซนต์ความเป็นตัวเองแบบได้แหวกแนวสุด ๆ สุดชนิดที่แบบไม่เหมือนใครและไม่มีใครกล้าเหมือน แถมยังมาพร้อมคำสร้อย “อัยย๊ะ ใช่ ๆ” ที่หลอนดูคนฟังมาจนทุกวันนี้ แต่กว่าที่เขาจะยืนหยัดมาได้ต้องสู้รบตบมือกับบรรดาคำวิจารณ์ด้านลบและการถูกบูลลี่ที่ทำให้เขาเคยท้อหนักมาแล้ว แต่เขารับมือกับมันอย่างไรให้ผ่านพ้นช่วงเวลาเลวร้ายเหล่านั้นมาได้ มาทำความรู้จักความเรียลอีกหนึ่งมุมของแร็ปเอกที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยเห็นไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ แร็ปเอกอดีตพนักงานพิสูจน์อักษรที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นศิลปินมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น แม้เขาจะสร้างชื่อด้วยการแร็ป แต่แท้จริงแล้วเขากลับชื่นชอบวงร็อกมากกว่าซะอีก จึงไม่แปลกใจที่ไอดอลของเขาจะมีทั้งวงหิน เหล็ก ไฟ, ดอนผีบิน, Silly Fools, Kiss รวมไปถึง Guns N’ Roses ด้วยเช่นกัน แต่ปัญหาของการทำวงนั่นคือการต้องหาสมาชิกให้ครบทุกตำแหน่ง ซึ่งมันกลายเป็นงานยากของแร็ปเอก ทำให้เขาตัดสินใจเบนเส้นทางจากร็อกเกอร์กลายมาเป็นแร็ปเปอร์แทน “เมื่อก่อนมีความฝันอยากมีวงเป็นของตัวเอง แต่หาไม่ได้เลยคิดว่าออกเดี่ยวไปเลยดีกว่า เพราะมันจะใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น ก็เลยตัดสินใจมาเป็นแร็ปเปอร์ครับ” ดูเหมือนว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่ทำให้อดีตหนุ่มพนักงานประจำได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าชีวิตนี้ต้องเป็นแร็ปเปอร์ เขาจึงลงมือเขียนเพลงที่พรีเซนต์ตัวตนออกมาโดยใช้ชื่อว่าเพลง “แร็ปเอก”
เคยใช่ไหมที่เรารู้สึกขุ่นเคืองใจทุกครั้งกับการประชุมในที่ทำงานเพราะความคิดเราโดนตีตก หรือเคยใช่ไหมที่ทะเลาะกับแฟนเพียงเพราะต้องการเอาชนะความคิดของเขาให้ได้ ปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นสามารถแก้ได้หากคุณสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนคือการอภิปรายเพื่อถกหาข้อเท็จจริง หรือสิ่งไหนถือการโต้เถียงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เราต้องการ สำหรับความแตกต่างของทั้ง 2 แบบคือ 1.การอภิปรายถือเป็นวิธีที่การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ความเคารพทางความคิดซึ่งกันและกัน 2.ข้อโต้เถียงคือการพยายามที่จะทำให้อีกฝั่งยอมรับความคิดของเราว่าถูกต้องหรืออยู่เหนือกว่า ความแตกต่างของการอภิปรายและการโต้เถียงมันยังบ่งบอกได้จากน้ำเสียง เช่นการโต้เถียงมักจะมาพร้อมกับน้ำเสียงที่พร้อมจะทำลายความมั่นใจของฝั่งตรงข้าม แต่การอภิปรายจะมีความนุ่มนวล ประณีประนอม มีพยายามทำความเข้าใจกับคนที่เห็นต่าง และช่วยขยายมุมมองของแต่ละฝ่ายให้กว้างออกไปมากยิ่งขึ้นได้จากข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รวบรวมมา นอกจากนั้นการโต้เถึยงยังนำพามาสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกัน เพราะมันทำให้คุณรู้สึกถึงการสูญเสียอำนาจหรือความสำคัญอะไรบางอย่างไปเพียงเพราะเรารู้สึกว่าความคิดเราไม่ได้รับการสนับสนุน จนบางครั้งสมองได้ไปกระตุ้นอะดรีนาลีนทำให้รู้สึกอยากจะให้คู่โต้แย้งต้องยอมรับในความคิดเราให้ได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากบุคคลที่ไม่สามารถควบคุมอีโก้ของตัวเองได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นการโต้แย้งด้วยอารมณ์จะไม่มีทางได้ไอเดียหรือการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องกลับมาอย่างแน่นอน การโต้เถียงอย่างรุนแรงไม่ได้ส่งผลลบให้กับชีวิตการทำงานเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงชีวิตคู่ด้วย บ่อยครั้งการทะเลาะกันของคู่รักมักจะใช้คำพูดที่รุนแรงหรือภาษากายบางอย่างเพื่อลดทอนคุณค่าของอีกฝ่ายเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกมีอำนาจเหนือกว่า และต้องการจะเอาชนะในการโต้เถียงนี้ให้ได้ จุดนี้มันอาจจะส่งผลไปสู่ความสัมพันธ์ที่ถดถอยลงจนสุดท้ายต้องเลิกราหย่าร้างกันไป ดังนั้นเราจึงต้องยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ยอมรับความเห็นต่าง แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นด้วยทุกประการก็ตาม ก่อนจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องใช้การตัดสินใจที่รอบครอบ หรือมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในวงกว้าง เราก็ควรจะต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ ใช้สติให้มาก เปิดใจพร้อมรับฟังความคิดเห็นคนอื่น มันก็จะช่วยให้ชีวิตของคุณมีความสุขมากขึ้นจากที่เคยเป็นมาอย่างแน่นอนครับ Source : 1
ชีวิตของคนเราแน่นอนว่าต้องเจอทั้งวันที่ดี ๆ และวันที่ร้าย ๆ หมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนกันไป ในวันที่ดีย่อมสร้างกำลังใจในการใช้ชีวิตของเรา แต่ในวันที่แย่ก็มักจะมีเรื่องมาบั่นทอนความรู้สึกของเราได้เหมือนกัน จนในบางครั้งมันทำให้ความมีชีวิตชีวาของเราหายไปลุกลามถึงขั้นหมดกำลังใจได้เช่นกัน ในเมื่อหมดกำลังใจก็ต้องเติมกำลังใจไม่ว่าจะเป็นจากคนในครอบครัว, คนที่เรารัก, เพื่อนสนิท หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงาน แต่ถึงแม้จะมีคนรอบตัวมากมายก็อย่าเพิ่งคิดว่าจะได้รับสิ่งที่เราคาดหวังกลับมา เพราะมันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่มาตอกย้ำทำให้คุณยิ่งรู้สึกดิ่งลงไปอีก ดังนั้นแล้วเราจึงจำเป็นที่จะต้องมาเรียนรู้การให้กำลังใจกับตัวเองให้เป็น แม้คนจะตีตราว่าการพูดกับตัวเองไม่ต่างจากคนบ้า แต่การไม่รู้จักพูดอะไรกับตัวเองเลยจะทำให้เราเป็นบ้ามากกว่าเดิมซะอีก สิ่งเหล่านี้ยืนยันได้จากผลวิจัยของ American Psychological Association ที่บ่งบอกว่าการพูดคุยกับตัวเองในทางบวกนั้นดีต่อสุขภาพจิตใจของคุณอย่างมากเลยทีเดียว การพูดในเชิงบวกให้ตัวเองยังส่งผลให้มีส่วนช่วยในการปรับอารมณ์และสภาวะจิตใจ ซึ่งวิธีดังกล่าวบรรดานักกีฬาโอลิมปิกหรือนักกีฬามืออาชีพมักจะหยิบนำมาใช้เวลาซ้อมหรือก่อนลงทำการแข่งขันอยู่เสมอเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง รวมไปถึงบรรดานักดนตรีแนวร็อกที่มักจะมีคำพูดปลุกความฮึกเหิมให้กับตัวเองก่อนขึ้นเวที การพูดกับตัวเองในเชิงบวกเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเยียวยาจิตใจของตนเอง และมันยังสามารถใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่มีค่าใช้จ่ายซักบาท มันสามารถช่วยขจัดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าจากอารมณ์ของคุณออกไปได้ และเป็นวิธีการง่ายๆ ในการสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอการพูดกับตัวเองในเชิงบวกยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดให้ลดลงได้ ทาง Barton Goldsmith ปริญญาบัณฑิตสาขาจิตวิทยาได้เผยว่าตัวเขาได้เคยไปดูการทำงานของบรรดาสตั๊นท์แมนในกองถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งจะมีฉากที่ดูแล้วยังไงต้องได้รับอาการบาดเจ็บอย่างแน่นอน เช่น การตกบันได แต่สตั๊นท์เหล่านั้นดูเหมือนว่าแทบจะไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งพวกเขาได้เปิดเผยเคล็ดลับกับทาง Barton ว่า “คุณต้องทำจิตให้ว่างและคอยพูดคุยกับร่างกายของตนเอง” หลังจากนั้นทาง Barton ได้มีโอกาสทดลองด้วยตนเองเพราะเขาได้ลื่นตกจากบันไดในอพาร์ตเมนต์ และเขาได้พยายามพูดกับตัวเองว่า “ทุกอย่างจะโอเค ปล่อยใจให้สบาย” สุดท้ายเขาก็ได้ผลลัพธ์ตรงตามที่สตั๊นท์แมนเคยแนะนำ เพราะ Barton พบว่าเขาไม่ได้มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก
ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เราเชื่อว่าทุกคนคงเจอทั้งเรื่องราวดี ๆ ที่น่าจดจำ และเรื่องราวร้าย ๆ อันแสนเจ็บปวดกันมาอย่างโชกโชน แต่ชีวิตคนเรานั้น ไม่ได้มีอะไรที่คงอยู่ตลอดไป มีขึ้นก็ต้องมีลง มีชนะ มีพ่ายแพ้ นี่แหละคือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเป็นแบบทดสอบใจของคน สำหรับบางคน ปีที่ผ่านมาอาจจะเป็นปีชงที่โคตรจะเฮงซวย ทำอะไรก็ไม่เป็นอย่างที่หวังไปซะหมด แต่ถ้าหากคุณลองทบทวนดูดี ๆ อีกที เรื่องราวตลอดทั้งปีที่ผ่านมานี้ จะช่วยสอนให้คุณได้เรียนรู้ว่า อะไรที่คุณควรจะทำต่อไป และอะไรที่คุณควรจะทิ้งมันไว้เป็นอดีต และจำมันมาเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต ดังนั้น วันนี้เราจึงได้นำเอาวิธีการง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณนำไปใช้เริ่มต้นปีใหม่ เพื่อให้มีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาฝากกัน กับ 6 สิ่งในชีวิตที่บางครั้งคุณไม่จำเป็นต้องฝืน แต่ควรจะช่างแม่ง และปล่อยวาง รับรองได้เลยว่า คุณจะมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาอย่างแน่นอน 1. ช่างแม่งกับบุคคลมลพิษ มันอาจจะฟังดูน่าตลก แต่มันเป็นเรื่องจริงที่คนเรามักพยายามเอาชนะใจคนอื่น แม้แต่กับคนที่เรารู้อยู่เต็มอกว่า แม่งไม่ได้ทำดีอะไรกับเราเลย Toxic People หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ‘บุคคลมลพิษ’ กับเรานี้ อาจจะได้ทั้ง เพื่อน ญาติ คนในครอบครัว หรือใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาชีวิต แต่ที่รู้ก็คือว่า
“แต่งตัวแบบนี้คนอื่นหัวเราะเยาะแน่เลย” “เราต้องทำอะไรผิดพลาดไปแน่ๆ ทำไมคนอื่นดูไม่ค่อยพอใจเราเลย” รู้ไหมว่าบางครั้ง คุณอาจคิดไปเองว่าคนอื่นจะสนใจเรามากเกินความเป็นจริง เพราะมนุษย์มีธรรมชาติที่มักเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอ และมักมองเรื่องต่าง ๆ ผ่านความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเอง คิดว่าคนอื่นจะต้องทำหรือรู้สึกเหมือนที่ตัวเองรู้สึก ทางหลักจิตวิทยาเรียกปรากฎการณ์นี้เรียกว่า ‘Spotlight Effect’ วันนี้ UNLOCKMEN จะมาอธิบายให้ฟังว่า Spotlight Effect คืออะไร ทำงานยังไง และเราจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนเข้าใจคำว่า Spotlight Effect ตรงกัน ก่อนอื่นเราอยากให้ทุกคนลองจินตนาการว่า พวกเรากำลังอยู่ในโรงละครที่การแสดงละครเวทีกำลังดำเนินอยู่ บนเวที พระเอกและนางเองกำลังแลกเปลี่ยนบทสนากัน ภายใต้แสง spotlight ที่ส่องมายังทั้งคู่ เพื่อเป็นการบ่งบอกผู้ชมว่านี่คือตัวละครสำคัญในฉาก พร้อมดึงดูดความสนใจของสายตาทุกคู่ที่อยู่ในโรงละครให้จับจ้องไปที่นักแสดงใต้แสง spotlight นั้น Spotlight Effect จึงเป็นคำเรียก ปรากฎการณ์ที่คนคิดไปเองว่าตัวเองได้รับความสนใจจากคนอื่นตลอดเวลา เหมือนกับมีแสง spotlight ส่องมายังพวกเขาตลอดเวลา (ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่โรงละคร ไม่มีแสง spotlight และคนเราไม่ได้สนใจคนอื่นมากขนาดนั้น) ทำให้พวกเขารู้สึกต้องระแวดระวังตัวเองอยู่เสมอ เพราะกลัวคนอื่นจะสังเกตเห็นความผิดพลาดของตัวเองได้ ยกตัวอย่าง เวลาเล่นกีฬา คนจะรู้สึกว่าเพื่อนร่วมทีมสังเกตข้อบกพร่องของตัวเองมากกว่าความเป็นจริง งานวิจัยหลายชิ้นได้พยายามอธิบายการมีอยู่ของ
แม้ประเทศจะมีเส้นแบ่งกั้นพรมแดน แต่สำหรับโลกของดนตรี มันสามารถข้ามพ้นขีดจำกัดเหล่านั้นได้ มันสามารถแทรกซึมไปได้ทั่วทุกหย่อมหญ้าอย่างง่ายดาย กระจายตัวอย่างรวดเร็วราวกับไวรัสที่แพร่ระบาดเจาะเข้าไปสร้างอิทธิพลให้กับผู้ฟังถึงขนาดที่ทำให้ใครซักคนหนึ่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินระดับโลกได้เลยทีเดียว Vannda คือหนึ่งในนั้น แร็ปเปอร์หนุ่มวัย 25 ปี จากประเทศกัมพูชา ที่รับเอาวัฒนธรรมดนตรีฮิปฮอปเข้ามาแบบลงลึกถึงชั้น DNA เขาได้กลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย หลาย ๆ แทร็กมียอดเข้ารับชมถล่มทลายหลายสิบล้านวิว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้พูดคุยกับ Vannda และเราทำได้ วันนี้ UNLOCKMEN ขอพาทุกคนไปทำความรู้จักตัวตนและแนวคิดของ Vannda ให้มากกว่าเดิม ผ่านเรื่องราวที่ส่งออกมาจากบทเพลงของผู้ชายคนนี้กันครับ VannDa หรือ Mann VannDa เกิดมามีชีวิตที่ไม่แตกต่างจากเด็กธรรมดาทั่วไป ผู้ใหญ่ภายในบ้านต่างคาดหวังให้เขาเติบโตไปมีการมีงานที่ดี อยากให้เป็นนักธุรกิจ เป็นหมอ หรือเป็นทนายความ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ได้มาเจอกับดนตรีฮิปฮอป “ตอนผมอายุ 6 ขวบ ผมชอบฟังเพลงจากเครื่องเล่น MP3 มาก ๆ จนมีอยู่วันหนึ่ง วันดี พี่ชายของผมได้แนะนำให้รู้จักกับเพลงฮิปฮอป หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมก็เลยกลายเป็นคนที่ชื่นชอบฮิปฮอปไปเลย ผมชอบมันมากครับ” นี่คือจุดเริ่มต้นง่าย ๆ กับเส้นทางความฝันที่ย่ิงใหญ่ของ VannDa หลังจากที่ค้นหาตัวตนเจอ Vannda จึงมีความมุ่งมั่นที่ต้องการก้าวขึ้นมาเป็นแร็ปเปอร์ให้ได้