หนึ่งใน Iconic Supercar ในช่วง 1974 – 1990 ต้องมีชื่อ Lamborghini Countach อยู่ในนั้นแน่นอน ถ้าใครนึกภาพไม่ออก มันคือรถที่ Jordan Belfort (Leonardo DiCaprio) ใน Wolf of Wall Street ใช้ขับจนพังด้วยความเมานั่นเอง (รู้หรือไม่ว่า Martin Scorsese ผู้กำกับภาพยนตร์ลงทุนใช้ 25th Anniversary Lamborghini Countach ของจริง เอามาชนจนพังจริง เพื่อให้ได้อารมณ์ที่สุด แต่ก็แอบเสียดายรถแทนมากเลย) ความเท่ของรถคันนี้เริ่มจากชื่อ Countach ที่ไม่มีความหมายในภาษาอังกฤษ เพราะ Lamborghini เอามาจากภาษา Piedmontese ภาษาพื้นเมืองทางตอนเหนือของ Italy ที่มีคนพูดได้อยู่ราว 1 – 2 ล้านคน น้อยคนนักจะรู้ว่าชื่อนี้แปลว่าอะไร แต่เราหาข้อมูลมาแล้ว เราจะบอกให้ว่า คำว่า coon-tahshe—is แปลเป็นไทยง่าย ๆ ได้ว่า “เหยดดดดด”
เชื่อว่าผู้ชายหลายต่อหลายคน ต่างก็หลงใหลในเสน่ห์แห่งท้องทะเล กับความงดงามของผืนน้ำสีครามที่ส่องประกายระยิบระยับยามเกลียวคลื่นต้องกับแสงแดด รวมถึงผืนทรายขาวละเอียดทอดตัวยาวไกลสุดสายตา และแน่นอนว่าการได้มีโอกาสออกไปล่องเรือยอร์ช ปล่อยใจให้ว่าง เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศ สูดกลิ่นอายทะเล คือกิจกรรมในวันพักผ่อนที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ ยากที่จะปฏิเสธ ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกของการใช้ชีวิตอิสระ ท่องไปยังท้องทะเลกว้างใหญ่นั้น เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ถูกถ่ายทอดมาสู่อีกหนึ่งสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น Key Piece ชิ้นสำคัญคู่กายผู้ชายแทบทุกคน แทบทุกโอกาส นั่นก็คือนาฬิกา ที่ไม่ได้เป็นแค่เครื่องบอกเวลา แต่มันคือเรือนเวลาที่บ่งบอกตัวตนของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวแทนแห่งท้องทะเลที่เราพูดถึงนั่นก็คือ OMEGA Seamaster Aqua Terra 15 YEARS OF AQUA TERRA เรือนเวลา Aqua Terra เป็นสมาชิกใหม่ของตระกูล Seamaster ซึ่ง Seamaster นั้นถือเป็นอีกหนึ่งซีรีส์นาฬิกาของ OMEGA ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และมีเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า 69 ปี ส่วนน้องใหม่อย่าง Aqua Terra นั้นถูกเปิดตัวออกมาให้โลกได้ยลโฉมเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2002 หรือ 15 ปีมาแล้ว ชื่อของ Aqua
ถ้าจะหาร้านนั่งดื่มสังสรรค์กัน UNLOCKMEN เชื่อว่าคงมีให้เลือกกันมากมาย เพราะเดี๋ยวนี้ร้านเปิดใหม่เยอะดั่งดอกเห็ด ร้านดี ๆ ก็มีเยอะ แต่หลายร้านดูจะขาดจุดเด่น ไร้คาแรคเตอร์ประจำตัว วันนี้เราจะขอแนะนำร้านเก๋า ๆ กันสักร้าน เพราะเชื่อเถอะว่ามาตราฐานของเราไม่ได้วัดกันที่ความใหม่เก่า เหมือนของดีถ้ามันมีค่า ไม่ว่าจะเก่าแค่ไหน มันก็เชิดฉายบารมีดึงดูดคนให้แวะเวียนกันไปได้อยู่ตลอด เหมือนกับร้าน TUBA Design Furniture & Restaurant แห่งนี้ที่เราภูมิใจนำเสนอ ชื่อ TUBA อาจทำให้หลายคนคุ้นหูกันดี โดยเฉพาะคนวัยเก๋ารุ่นใหญ่ วัยรุ่นสายอาร์ต หรือนักดื่มย่านสุขุมวิท ไปจนถึงนักสะสม Furniture สาย Vintage น่าจะรู้จักกันเกือบหมด เพราะถ้านับอายุตั้งแต่เปิดจนถึงตอนนี้ ก็ขึ้นปีที่ 12 เข้าไปแล้ว ถ้าเปรียบเป็นคน TUBA คงเป็นผู้ชายรุ่นใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอย่างดี คนที่รู้จักต่างนับหน้าถือตา โดยไม่เคยอวดอ้างสรรพคุณของตัวเอง ประมาณนั้นเลย ต่างจากร้านสมัยใหม่ที่มาเร็วไปเร็ว ชื่อเสียงของ TUBA ไม่ได้มาจากการโหมโฆษณาหรือโปรโมท แต่อาศัยเสียงบอกต่อจากความประทับใจที่แต่ละคนได้รับแบบปากต่อปาก ถ้าคุณเป็นอีกคนที่พอจะคุ้นชื่อร้าน แต่ไม่เคยแวะเข้ามา เราเชื่อเหลือเกินว่าถ้าคุณได้มาครั้งหนึ่งแล้ว คุณจะต้องติดใจกลายเป็นขาประจำเช่นเดียวกับหลายๆ คนอย่างแน่นอน มาดูกันดีกว่าว่าทำไมถึงต้องลองไป “TUBA”
หลายคนที่คงจะพอคุ้นชื่อกับเทพเจ้าแห่งการออกแบบเชื้อสายอียิปต์อย่าง Karim Rashid กันมาบ้างแล้ว ส่วนใครที่ยังไม่รู้จัก เราขอแนะนำกันสั้น ๆ กันตรงนี้ซะหน่อย ก่อนที่จะไปรู้จักกับผลงานสุดเจ๋งของเขา สำหรับนักออกแบบชื่อดังคนนี้มีรางวัลการันตีในความสำเร็จระดับโลกมาแล้วไม่ต่ำกว่า 300 รางวัล และมีผลงานการออกแบบตั้งแต่สิ่งของเล็ก ไปจนถึงสถาปัตยกรรมใหญ่ ๆ อย่างโรงแรม ซึ่งรวมทั้งสิ้นแล้วกว่า 4,000 ชิ้น ผลงานกระจายอยู่มากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก และภายใต้ความเชื่อส่วนตัวที่ว่า งานออกแบบของเขานั้นทำออกมาเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึง ใช้ได้จริง และยังเต็มไปด้วยไอเดีย ความสวยงาม นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ Karim Rashid จะกลายเป็น Designer ที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนนึงในยุคสมัยนี้ ทำให้แบรนด์ระดับโลกมากมายมักร่วมงานกับเขาเพื่อที่จะสร้างผลิตภัณฑ์เจ๋ง ๆ ออกมา ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อทุกครั้งที่มีผลงานใหม่ ๆ ของ Karim เกิดขึ้นก็สามารถเรียกเสียงฮือฮา และความนิยมได้อย่างมาก เห็นได้จากการที่มูลค่าของสินค้าต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้นทันทีเพียงแค่มีชื่อ Karim Rashid เป็นผู้ออกแบบ ไม่เว้นแม้แต่ดารา หรือ Celebrity ระดับโลกที่เป็นแฟนตัวยงก็มักจะซื้อ หรือสวมใส่ Collection ที่เป็นผลงานการออกแบบของ
สำหรับเหล่าสาวกผู้คลั่งไคล้สีครามของกางเกงยีนส์ดิบ ๆ ทุกคน มักจะเจ็บปวดราวกับว่าโลกทั้งใบของพวกเขาแตกสลายลงไปเรียบร้อยแล้ว หรือบางคนอาจจะโกรธจัดถึงขั้นผิดใจกับใครสักคนได้ง่าย ๆ ถ้าหากว่ามีใครก็ตามที่อยู่ดี ๆ มาหยิบเอากางเกงยีนส์ที่กำลังปลุกปั้นกำลังได้ที่ ไปโยนลงไว้ในเครื่องซักผ้า พร้อมทั้งจัดการเทแฟ้บอย่างเอาใจใส่ ผสมน้ำยาปรับผ้านุ่มไปให้อีกด้วย ไอ้ความหวังดีเหล่านี้แหละ ที่ทำให้นักปั้นยีนส์ทั้งหลาย อยากจะคว้ากางเกงยีนส์มารัดคอคนทำซะให้ตายรู้แล้วรู้รอดกันไปเลยทีเดียว ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ มีความเชื่อต่อ ๆ กันมาว่า กางเกงยีนส์ที่เขากำลังปั้นอยู่นั้น ห้ามซักอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ผลลัพธ์ที่ออกมาตอนสุดท้าย จะกลับกลายจากกางเกงยีนส์ที่มีริ้วรอยดึงดูสายตา ให้ไร้ค่ากลายเป็นกางเกงยีนส์ซีด ๆ แห้ง ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง โดยเฉพาะนักปั้นยีนส์ตัวจริงทั้งหลาย ที่เน้นปันแต่สายยีนส์ดิบ หรือ Raw Jeans ด้วยแล้ว การซักกางเกงยีนส์ถือว่าเป็นอะไรที่อัปมงคลกับชีวิต และกางเกงของพวกเขาเป็นอย่างมาก เพราะในกระบวนการซักนั้น มันมีหลายกลไกที่ทำให้สีของยีนส์หลุดลอกออกไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ทำให้การ Fade ของยีนส์ตัวนั้น ๆ ไม่ขึ้นริ้วขึ้นรอยที่สวยงาม แถมยังมีสีที่ซีด และเนื้อผ้าที่เหี่ยวปวกเปียกสวมใส่แล้วรู้สึกว่า ไม่ได้ทรงอีกด้วย แต่ก็มีคนจำนวนมากเช่นกัน ที่เดิมทีตั้งใจที่จะใส่ยีนส์ไปนาน ๆ จนได้ที่ แล้วจึงค่อยนำไปซักตามตำรา แต่ด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรืออาจจะด้วยกลิ่นที่ทำให้ต้องกลั้นหายใจทุกครั้งที่ใส่ เริ่มเบียดเบียนชีวิตมากเกินไปจนเสียความตั้งใจในตอนแรก
นอกเหนือจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย นาฬิกาก็ถือเป็นอีกไอเทมที่สามารถบ่งบอกสไตล์ของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี และสำหรับผู้ชายสายครีเอทีฟทั้งหลาย ที่ดำรงอาชีพเป็นนักคิด นักเขียน ช่างภาพ กราฟิก สถาปนิก ผู้กำกับ นักออกแบบ ฯลฯ เราเชื่อว่ามีอยู่จำนวนไม่น้อย ที่นิยมชมชอบในวิถีมินิมัลและแสดงออกมาผ่านเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ ที่มีดีไซน์เรียบง่าย สีสันไม่ฉูดฉาด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความง่ายในการหยิบจับมาสวมใส่ ดูดีได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เป็นการเซฟพลังสมองเอาไว้ใช้คิดงาน สร้างสรรค์ไอเดีย แทนที่จะต้องมาเหนื่อยวุ่นวายมิกซ์ แอนด์ แมทช์ เสื้อผ้าสำหรับการแต่งตัวในแต่ละวัน ซึ่งในวันนี้เราก็มีไอเทมแนะนำ สำหรับประดับลงบนข้อมือของผู้ชายสายมินิมัล กับ ISSEY MIYAKE GLASS WATCH นาฬิกาดีไซน์เรียบ แต่ไม่ง่าย ด้วยขั้นตอนการผลิตออกแบบที่ซับซ้อน จากวัสดุโปร่งแสง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Glass Blog อีกทั้งยังเป็นการร่วมงานครั้งล่าสุดระหว่างแบรนด์ ISSEY และ Tokujin Yoshioka ดีไซน์เนอร์ชื่อดัง ที่ฝากฝีไม้ลายมืองานออกแบบกับแบรนด์ระดับโลกมาแล้วมากมาย และมีผลงานร่วมกับ ISSEY มายาวนานกว่า 20 ปี โดยจุดเด่นในการสร้างงานของเขา คือการที่เขามักจะเลือกนำเอาสิ่งต่าง ๆ ใกล้ตัว มาเพิ่มความน่าสนใจโดยมุ่งเน้นไปที่ความรู้สึกของมนุษย์เป็นหลัก
นับเป็นความโชคดีของเหล่าหนุ่ม ๆ ขาช้อปในปัจจุบันที่ศูนย์กลางแฟชั่นของโลกได้ขยับเข้ามาอยู่ใกล้ตัวเรามากยิ่งขึ้น ประเทศ เกาหลี และญี่ปุ่น แทบจะกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญสำหรับผู้ที่หลงใหลในแฟชั่นต่างพาเหรดกันมาจับจ่ายใช้สอยอย่างเมามันส์ ด้วยสินค้าที่หลากหลาย และความเป็นปัจเจคแตกต่างกันด้วยเอกลักษณ์อันชัดเจน จึงไม่น่าแปลกใจหาก โซล และโตเกียว จะเป็นเป้าหมายสำหรับผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นต้องการเดินทางไปช้อปปิ้งสักครั้งให้จงได้ การเดินทางไปยังสองประเทศนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับชาวไทยอีกต่อ แต่หลายคนมักจะมีคำถามว่าหากเราตั้งเป้าจะเดินไปช้อปปิ้งซื้อเสื้อผ้ารองเท้าเพียงอย่างเดียวระหว่างไป เกาหลี และญี่ปุ่น แบบไหนถึงจะคุ้มค่า และเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของเรามากกว่ากัน? ซึ่งเราเองก็ไม่สามารถฟันธงได้ว่าแบบไหนที่ดีกว่า เพราะทั้งคู่ต่างมีจุดเด่น จุดด้อยที่ต่างกันออกไป ดังนั้นในวันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN จึงขอมาอธิบายลักษณะความแตกต่างของแฟชั่น และย่านช้อปปิ้งระหว่างทั้งสองประเทศมหาอำนาจทางแฟชั่นของเอเชียว่าแบบไหนถึงจะเหมาะ แบบไหนถึงจะโดนใจคุณมากกว่ากัน Seoul เราขอเริ่มต้นที่ประเทศเกาหลีใต้ก่อน จากช่วงหลายขวบปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าพวกเขาเจริญก้าวหน้าทางศิลปะ แขนงต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงแฟชั่นสไตล์การแต่งตัวของหนุ่ม ๆ บ้านเขา จนเราเองไม่สามารถล้อเลียนเหมือนที่ผ่านมาได้อีกแล้ว แฟชั่นของผู้ชายเกาหลีนับว่ามีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น หนุ่ม ๆ เริ่มมีการพลิกแพลงเพิ่มลูกเล่นการแต่งตัว อีกทั้งดีไซน์เนอร์ชื่อดังของพวกเขาเริ่มมีการนำ sub-culture ต่าง ๆ เข้ามาประยุกต์ แม้ส่วนใหญ่จะติดกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นมาพอสมควร แต่ภาพรวมของผู้ชายประเทศเขาจัดอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากจนควรเอาเยี่ยงอย่าง สำหรับจุดเด่นของการไปช้อปปิ้งที่โซลจากประสบการณ์ที่เราได้สัมผัสมาคือ สินค้าที่นั้นจะมีราคาค่อนข้างถูก แทบจะไม่ต่างกับราคาเสื้อผ้าในไทยเลย แถมที่สำคัญดีไซน์ยังมีความสวยงามทันสมัย แต่จะค่อนข้างอิงกับกระแสโลก อีกทั้งมีแบรนด์จำนวนไม่น้อยที่มีไลน์สินค้าเฉพาะในประเทศเกาหลี ดังนั้นเราจะพบกับไอเทมที่มีความ
แบรนด์เครื่องหนังหรูระดับโลกจากประเทศสเปน อย่าง LOEWE (โลเอเว่) ที่โดดเด่นในเรื่องความพิถีพิถันของช่างฝีมือชั้นสูง สำหรับคอลเลกชั่นผู้ชายก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ในคอลเลกชั่น SPRING/SUMMER 2018 ได้จัดแสดงขึ้น ณ คฤหาสน์ของซัลวาดอร์ ดาลี ศิลปินชาวสเปน ที่เมืองกาดาเกส แคว้นกาตาลุญญา สมุดภาพสำหรับคอลเลคชั่นนี้ได้ถ่ายทำที่นี่เช่นกันซึ่งถือเป็นแรงบันดาลใจสำหรับแนวคิดของการจัดตกแต่งห้องจัดแสดงคอลเลคชั่นประจำฤดูกาลนี้ ณ โชว์รูมโลเอเว่ในซานซุลพิส กรุงปารีส ในคอลเลคชั่นนี้ โลเอเว่หยิบเอาเรื่องราวจากคอลเลคชั่นก่อนมาเล่าอย่างมีชีวิต ด้วยหลากไอเดียผสมผสาน เสน่ห์แห่งชีวิตริมทะเลและตัวละครแห่งจินตนาการในวัยเด็ก ถอดความหมายเป็นผลงานการสร้างสรรค์เสื้อผ้าหลากประเภท ดีไซน์ของกางเกง ขาสั้น เสื้อและกางเกงขายาวนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความหลงใหลในเพศและอารมณ์ผ่อนคลาย ในส่วนของเสื้อผ้าชิ้นคลาสสิกก็ถูกตีความใหม่โดยเน้นการแสดงอารมณ์ที่ลื่นไหล เพราะฤดูนี้ ผู้ชายสไตล์โลเอเว่นั้นพอใจจะโชว์เนื้อหนังมากกว่าเก่า พวกเขาคือเจ้าของหัวใจที่รักการเดินทางโดยแท้ สะสมความทรงจำและที่ระลึกหลากหลายระหว่างทางแล้วนำเอาความงามเหล่านั้นมาสอดแทรกลงบนผืนผ้าจนเกิดเป็นสัมผัสใหม่ที่ทรงพลัง ความเป็นเลิศแห่งงานฝีมือของโลเอเว่นั้นพบได้ตลอดคอลเลกชั่น เสื้อผ้าสปอร์ตแวร์ที่เราคุ้นเคยถูกยกระดับด้วยนวัตกรรมใหม่และเทคนิคงานฝีมืออันละเอียดอ่อน เช่นการประดับซิปที่มีทั้งฟังก์ชั่นและลวดลายทาง การปะผ้าด้วยเทคนิคอัพพลิเก้สุดประณีต และงานปักลายด้วยมือหลากสีสันสดใสบนรองเท้าสลิปเปอร์ เสื้อและกระเป๋า ในส่วนของการคัดสรรเนื้อผ้า ทางแบรนด์เน้นไปที่เนื้อผ้าที่มีฟังก์ชั่นใช้งานได้จริงอย่างผ้าลินิน ผ้าป๊อบลิน และผ้าแคนวาสฟอก ซึ่งถูกประดับด้วยงานปะและการพิมพ์ลายที่ให้อารมณ์สนุกสนาน รวมถึงลวดลายใบไม้ของวิลเลียม มอร์ริส ที่รังสรรค์ขึ้นด้วยเทคนิคการทอแจ็กการ์ดอย่างประณีต ในขณะเดียวกัน ลายเอโธกราฟิกสไตล์ชนเผ่าก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่พบได้มากในคอลเลกชั่นนี้ซึ่งโลเอเว่นำมาทำเป็นแถบลายทางบนเสื้อผ้าและเครื่องประดับ นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งรูปหัวกระโหลกที่เป็นตัวสรุปใจความแห่งทัศนคติแบบไร้เดียงสาอันเป็นหัวใจสำคัญของคอลเลกชั่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ชุดว่ายน้ำที่เป็นคีย์ลุคของคอลเลคชั่นนี้ทำจากหนังกลับแบบยืด อันเกิดจากเทคนิคการทำหนังให้นุ่มและยืดหยุ่นแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน พร้อมมอบโทนสีทองโอโร่ อันเป็นเอกลักษณ์ของโลเอเว่ได้อย่างงดงามและซับซ้อน อีกหนึ่งผลงานที่ต้องกล่าวถึงคือการสร้างสรรค์ชุดสูทที่โลเอเว่นำเสนอเป็นครั้งแรกในคอลเลกชั่นนี้ ทำจากผ้าโมแฮร์ที่ละเอียดและเบา
สำหรับปี 2017 จัดเป็นอีกหนึ่งปีที่วงการรองเท้า sneakers คึกคักเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากแต่ละแบรนด์จะงัดเอาสุดยอดนวัตกรรมล้ำยุคมาแข่งขันกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์ ยังไม่รวมการร่วมโปรเจ็คต์ Collaboration ที่ขยันออกมาเอาใจแฟน ๆ แบบเดือนชนเดือนไม่ให้เก็บเงินไปทำอย่างอื่นกันเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้ถือเป็นวาระครบรอบปี ทีมงาน UNLOCKMEN จึงได้จัดอันดับรวมรองเท้าสุดเจ๋งแต่ละประเภท จากการคัดสรรของพวกเรา ที่สุดแห่งนวัตกรรม : Nike HyperAdapt 1.0 อนาคตได้เกิดขึ้นจริงแล้ว เพราะหากย้อนกลับไปราว ๆ 30 กว่าปีก่อนเรามีรองเท้าจากภาพยนตร์เรื่อง Back to The Future ที่พระเอก Marty McFly สวมใส่รองเท้าผูกเชือกเองได้ ซึ่งทาง Nike เองก็พยายามพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถเกิดขึ้นจริงได้ตลอดมา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเสียที จนกระทั่งหลังจาก 30 ปีแห่งความพยายาม Nike ก็สามารถผลิตรองเท้ากีฬาต้นแบบสมัยใหม่ ซึ่งสามารถปรับเชือกรองเท้าได้แบบอัตโนมัติ รวมถึงมีเซนเซอร์ และแบตเตอรี่มอเตอร์ฝังอยู่ในรองเท้า ในชื่อรุ่นว่า Nike HyperAdapt 1 .0 แม้ว่ารองเท้ารุ่นนี้อาจจะยังไม่ได้มีฟีเจอร์ นอกเหนือจากการปรับเชือกอัตโนมัติ แต่นี้ถือเป็นสุดยอดนวัตกรรมแห่งปี 2017
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการแต่งกายด้วย Jersey กีฬาถือว่ากำลังได้รับความนิยมในวงกว้าง ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนการที่ใครจะบอกให้คุณใส่เสื้อ Jersey ทีมกีฬาออกจากบ้านคงดูเป็นเรื่องน่าตลกสิ้นดี แต่เนื่องจากในปัจจุบันการรวมตัวของวัฒนธรรมสตรีทแฟชั่น ที่แม้แต่แฟชั่นไฮ-สตรีทอย่าง Vetements หรือ Balenciaga ต่างนำเสื้อผ้าสปอร์ตมามิกซ์แอนด์แมทช์จนเกิดเป็นสไตล์ใหม่ ๆ ได้อย่างลงตัว ดังนั้นในวันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN จึงนำไอเดียการแต่งกายด้วยเสื้อกีฬาต่าง ๆ มาฝากกัน เผื่อใครจะนำไปพลิกแพลงจนได้ลุคสปอร์ตคูล ๆ ไปเที่ยวในปีใหม่นี้ Hockey Hockey Jersey แทบจะเป็นเสื้อกีฬาที่มีความเรียบร้อยที่สุดในบรรดากีฬาทุกประเภท เนื่องจากมีลักษณะเป็นแขนยาวทำให้สามารถนำมามิกซ์แอนด์แมทช์ได้อย่างลงตัว ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วชาวอเมริกันมักจะนำมาใส่กับกางเกงเดนิมผ้าฟอก เพื่อลดทอนความเป็นทางการลง สำหรับคนที่มีคำถามว่าควรนำเสื้อทีมใดมาใส่นั้น อันนี้สามารถเลือกสีตามใจชอบได้เลยถ้าหากคุณไม่ได้มีทีมเชียร์ทีมโปรด เพราะไม่ว่าจะเป็นสี แดง น้ำเงิน ส้ม ดำ การใส่ Hockey Jersey ไม่มีคำว่าผิดถูกอยู่แล้วในเรื่องของสไตล์ UNLOCKMEN jersey recommended : New York Ranger , Anaheim Duck Basketball เสื้อบาสเป็นอีกหนึ่ง Jersey กีฬาที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในประเทศไทย เนื่องจากลักษณะเป็นเสื้อแขนกุดเหมาะสำหรับอากาศร้อน
ควอน จี ยง หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในนาม G-Dragon ลีดเดอร์คนสำคัญจากวงบอยแบรนด์อันดับ 1 ของประเทศเกาหลีใต้อย่าง Big-Bang ที่สะสมประสบการณ์ทำงานในวงการเพลงมากกว่า 20 ปี และปัจจุบัน G-Dragon ไม่ได้โด่งดังเฉพาะผลงานเพลง เพราะในเรื่องของสไตล์แฟชั่นเขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลของโลกแฟชั่นคนหนึ่งจากการจัดอันดับของ Time , Forbes , Hypebeast G-Dragon เปรียบเสมือนแฟชั่นไอคอนของเอเชีย หลังจากที่โลดแล่นในอุตสาหกรรมดนตรีมากว่า 10 ปี ด้วยวัฒนธรรมโลกที่เปิดกว้างขึ้นเริ่มมีการ crossover ระหว่างวัฒนธรรมแฟชั่นตะวันตก และตะวันออก GD จึงได้มีโอกาสไปร่วมงาน Paris Fashion Week ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ ทำให้เขาได้ไปร่วมงานกับ Hedi Slimane , Jeremy Scott โดยทั้งคู่เล็งเห็นว่า G-Dragon มีความสามารถในการผลักดันแฟชั่นให้ก้าวไปยังทั่วโลกได้ ย้อนกลับไปยังความหลงใหลในด้านแฟชั่นของตัว GD เริ่มขึ้นตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบ เนื่องจากในสมัยก่อน ตอนที่เขายังคงเป็นศิลปินฝึกหัด G-Dragon ไม่ได้มีคนดูแลเสื้อผ้าเหมือนกับปัจจุบัน ทำให้คนที่รับหน้าที่ดูแลเครื่องแต่งกายนั่นคือแม่ของเขา ซึ่งเมื่อเขาย้อนกลับไปดูรูปภาพเหล่านั้น GD
ถ้าหากคุณเป็นคนที่สวมใส่เครื่องประดับอย่าง แหวน โดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่คุณสวมใส่แหวนเพียงเพราะว่า มันเป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกาย ที่ทำให้ดูมี Style และดูมีอะไรมากขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว คุณรู้หรือไม่ว่า เครื่องประดับอย่างแหวนนั้น มันมีความหมายอะไรอีกหลายอย่างที่ซ่อนไว้ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากนิ้วมือผู้สวมใส่อีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว หากใครที่เป็นคนชอบใส่แหวนอยู่เป็นประจำแล้วล่ะก็ คุณควรจะแคร์ และรู้ที่มาที่ไปที่แท้จริงกันหน่อยดีกว่า วันนี้เราจึงได้นำเอาเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชาย กับแหวนที่มีมาอย่างยาวนาน รวมไปถึงความหมายในการสวมแหวน รวมไปถึงแหวนในแบบต่าง ๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่ มาให้กับชาว UNLOCKMEN ทุกคนได้อ่านกัน รับรองว่า มันเป็นจะเป็นอีกหนึ่งความรู้ใหม่ ที่ใครหลาย ๆ คนอาจจะไม่รู้มาก่อนอย่างแน่นอน Ring & Finger Symbolism ในความเป็นจริงแล้ว แหวน นั้นเป็นที่รู้กันมาอย่างยาวนานหลายพันปีว่า มันไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องประดับธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่แหวนยังมีหน้าที่สื่อสาร หรือเล่าเรื่องราวอะไรบางอย่าง ให้กับคนรอบข้างที่ได้พบเห็นรับรู้ถึงความหมายอีกด้วย ดังนั้น การใส่แหวนแต่ละแบบ หรือแต่ละนิ้วของแต่ละคนนั้น จึงมีความหมายเฉพาะเจาะจงที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นในอดีต ผู้ชายอย่างเรานั้น สวมใส่แหวนเพื่อเป็นการแสดงสถานะความมั่งคั่ง ความทะเยอทะยาน และความสัมพันธ์ ให้คนอื่น