สำหรับหนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบการถ่ายรูปโดยใช้กล้องอินแสตนท์ที่ใช้งานแสนสะดวก หยิบมาถ่ายเมื่อไหร่ก็ได้รูปที่ต้องการออกมาทันที แต่การถ่ายแบบไม่สามารถตั้งค่าต่าง ๆ ของกล้องให้เหมาะสมก็ทำให้บางโอกาสเราลั่นชัตเตอร์แล้วพลาดไป ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปหากคุณมีกล้องอย่าง MiNT InstrantKon RF70 อยู่ในมือ InstrantKon RF70 คือผลงานชิ้นล่าสุดของ MiNT บริษัทกล้องจากประเทศฮ่องกงที่เชี่ยวชาญการผลิต Instant Camera โดยเฉพาะ พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในวงการ แม้รูปแบบของกล้องชนิดดังกล่าวคนจะนิยมน้อยลง แต่ความพิเศษของกล้องแบบอินแสตนท์ตัวล่าสุดของพวกเขาคือการสร้างมาให้สามารถตั้งค่าการใช้งานในส่วนต่าง ๆ ได้ รวมถึงถ่ายทอดมันลงบนแผ่นฟิล์มที่มีขนาดแตกต่างจากกล้องทั่ว ๆ ไป MiNT InstrantKon RF70 เป็นกล้องทรง Rangefinder แบบสามารถพับเก็บได้ ตัวกล้องหุ้มด้วยหนังคุณภาพสีดำที่ออกแบบมาให้เข้ากันกับรูปทรงคลาสสิกได้เป็นอย่างดี โดยใช้เลนส์ขนาด 93 มิลลิเมตรที่ให้ภาพสุดคมชัด พร้อมจุดเด่นที่สามารถตั้งค่าความเร็วของสปีดชัตเตอร์รวมถึงรูรับแสงได้ ให้ผู้ใช้งานควบคุมรูปแบบภาพที่ต้องการถ่ายได้อย่างอิสระ ขนาดของรูรับแสงที่สามารถปรับได้ใน InstrantKon RF70 ไล่ตั้งแต่ f/5.6, f/6.7, f8, f11, f/16, f/22 โดยค่ารูรับแสงที่ f/5.6 จะเทียบเท่ารูรับแสง f/2.4 ในเลนส์ขนาด 35
วันที่ 12 เดือนมิถุนายน เป็นวันฤกษ์งามยามดีที่เหล่าผู้ชื่นชอบสายลับจักรวาล Men In Black จะได้พบกับภารกิจครั้งใหม่ล่าสุด ซึ่งนับเป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 4 แต่ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Men In Black: International ซึ่งแม้คราวนี้จะไม่มี 2 Agents ตัวหลักใน 3 ภาคแรกอย่าง Will Smith และ Tommy Lee Jones ออกมาปราบปรามวายร้ายจากต่างแดนที่แฝงร่างมาในโลกมนุษย์ แต่ก็ได้ดาราแม่เหล็กอย่าง Chris Hemsworth ซึ่งการันตีความคูลจากบทบาทของ Thor ใน The Avengers หลากหลายตอน รวมถึง Tessa Thompson หรือหลายคนอาจจะจำได้ในบทบาทของ Valkyrie นักรบคู่ใจจากดินแดน Asgard ดังนั้นจึงเป็นคู่ขาที่เล่นเข้าแข้งกันเป็นอย่างดีแน่นอน นอกจากนี้ยังได้ Liam Neeson สายบู๊จอมโหดมาร่วมงานอีกด้วย เนื้อเรื่องของ Men In Black: International เกี่ยวกับภารกิจที่ใหญ่โตยิ่งกว่าเก่า เพราะไม่ใช่แค่กำจัดเหล่า Aliens เหมือนที่ผ่านมา แต่คราวนี้ต้องตามหา “ไส้ศึก”
ความเป็นผู้ชายไม่ได้วัดจากแค่เพศสภาพและร่างกายกำยำล่ำสันเท่านั้น แต่อีกเอกลักษณ์ของผู้ชายอย่างเราคือความคล่องตัว หากจะแบกของก็ต้องไม่เยอะแยะพะรุงพะรัง แล้วถ้าจะเลือกสิ่งของพกพาสักชิ้น ก็ต้องตอบโจทย์ชีวิตมันส์ ๆ และไลฟ์สไตล์โลดโผนตามแบบฉบับผู้ชายได้เป็นอย่างดี หลังจากที่ได้ผลิต TACTICA TALON เครื่องมืออเนกประสงค์รุ่นดั้งเดิม คราวหนี้ TACTICA ก็ขโมยความเจ๋งของเครื่องมือรุ่นก่อนมาอัปเกรดให้แข็งแรงทนทานและใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น จนเกิดเป็น TACTICA M100 MULTI-TOOL เครื่องมือมัลติฟังก์ชันขนาดกะทัดรัดที่มาพร้อมกับความแข็งแกร่งของเหล็กกล้าไร้สนิม ที่ต้องเรียกว่าเครื่องมืออเนกประสงค์ เพราะมันสามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งเป็นไม้บรรทัด, ที่เปิดขวด, ที่เปิดบรรจุภัณฑ์, ชุดซ็อกเก็ต HEX สำหรับขันน็อต และชุดประแจ มาพร้อมกับชุดไขควงปากแบน ปากแฉก และไขควงหกเหลี่ยมที่สลับการใช้งานได้ตามต้องการ TACTICA M100 MULTI-TOOL ออกแบบโครงสร้างจากการผสมผสานวัสดุสแตนเลสและคอมโพสิตที่ทนทานต่อรอยขีดข่วนขั้นสุด แกนกลางใช้สแตนเลส 420 มาตรฐานอเมริกา ซึ่งมีส่วนผสมของคาร์บอนมากกว่าสแตนเลสชนิดอื่น ทำให้มีความแข็งแรงและเป็นสนิมได้ยากกว่า โดยรอบถูกห่อหุ้มอีกชั้นด้วยคอมโพสิตน้ำหนักเบา เมื่อกระทบกับหน้าจอสมาร์ตโฟนหรือสิ่งของอื่น ๆ ในกระเป๋าก็จะไม่เกิดความเสียหายใด ๆ เครื่องมืออเนกประสงค์ตัวนี้มีน้ำหนักเบากว่าเครื่องมือที่ทำจากวัสดุไทเทเนียมถึง 40% โดยมีหนักอยู่ที่ 45 กรัม หรือประมาณ 1.6 ออนซ์ และมีความยาวเพียง 3.15
Toyota GR Supra 2020 คือสปอร์ตมาแรงของแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นที่หลังจากเปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยสำนักแต่งรถคู่บุญของ Toyota อย่าง TRD ก็ไม่รอช้า ปล่อยชุดแต่งเพื่อเพิ่มความเท่แบบสปอร์ตยิ่งกว่าเดิม ยืนยันได้จากสีสันและดีเทลอันโฉบเฉี่ยวตรงหน้า เรารับรองว่าต้องถูกใจ เรียกความกระชุ่มกระชวนให้หนุ่มรักรถไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อต้นปีที่ผ่านมาทาง Toyota เปิดตัวสุดยอดรถสปอร์ตรุ่นตำนานอย่าง Toyota GR Supra 2020 รถยนต์สุดเท่ที่ห้องโดยสารได้แรงบันดาลใจจาก FT-1 concept และใช้เครื่องยนต์จาก BMW พร้อมเทอร์โบชาร์จหกสูบแถวเรียง ให้กำลังสูงสุด 335 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มีโหมดขับขี่สองแบบคือ Nomal และ Sport Toyota GR Supra 2020 เปิดตัวอย่างเป็นทางการทั้งหมด 3 รุ่นย่อยด้วยกันคือ Base 3.0 (ประมาณ 1.6 ล้านบาท) Premium 3.0 (1.7 ล้านบาท) และ Launch Edition (1.75 ล้านบาท)
สำหรับหนุ่ม ๆ ที่หลงใหลยานยนต์จากค่าย BMW โดยเฉพาะโมเดลสปอร์ตซีดานสุดแรงอย่าง M5 เตรียมพบกับข่าวดีกันได้เลย เพราะในปี 2020 ที่กำลังจะมาถึงรุ่นพิเศษที่ผลิตออกมาฉลองครบรอบ 35 ปีของรถยนต์ในสายการผลิตดังกล่าว เตรียมถูกเปิดตัวออกมาแล้วในชื่อ BMW M5 “Edition 35 Years” ย้อนกลับไปในปี 1985 เป็นช่วงเวลาที่ M5 รุ่นแรกถูกสร้างขึ้นมาในรหัสตัวถัง E28 โดยใช้เครื่องยนต์ที่ดัดแปลงมาจาก M1 จนกลายเป็นรถยนต์ประเภทซีดานที่เร็วที่สุดในตอนนั้นและกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของตระกูล M5 ซึ่งเป็นที่นิยมจากผู้ใช้รถทั่วโลกมาตลอดระยะเวลา 35 ปีโดยทาง BMW เลือกจะฉลองความสำเร็จที่ผ่านมาด้วย M5 ที่อัดแน่นความพิเศษไว้เต็มคัน BMW M5 “Edition 35 Years” มีพื้นฐานมาจาก M5 Competition ที่ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.4 ลิตร Twin-Turbo ให้พลัง 617 แรงม้าแรงบิดที่ 553 ปอนด์-ฟุต มีอัตราเร่งความเร็วตั้งแต่
New McLaren GT สุดยอดรถยนต์รุ่นล่าสุดผลผลิตจาก GT Racing แผนกปรับแต่งรถยนต์สมรรถนะสูงของ McLaren Automotive โดยการกลับมาครั้งนี้ไม่ได้มีดีเฉพาะความแรงที่มากกว่าเดิมเท่านั้น แต่โดดเด่นด้วยดีไซน์หรูหราและน้ำหนักเบากว่าทุกรุ่นในสายการผลิตที่ผ่านมาอีกด้วย McLaren เปิดตัวรถยนต์ประเภทแกรนด์ทัวเลอร์คันล่าสุดในตระกูล GT ที่คาดว่าจะเป็น 1 ใน 4 โมเดลสำหรับแผนสำคัญทางธุรกิจของแบรนด์รถยนต์จากประเทศอังกฤษในปี 2025 โดย GT คันใหม่ได้รับการส่งต่อแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจาก Speedtail เรือธงของค่าย ด้วยการใช้โครงสร้าง MonoCell II-T ซึ่งแข็งแรงและมีน้ำหนักเบาทำให้มีน้ำหนักตัวถังเพียง 1,530 กิโลกรัมซึ่งเบามากสำหรับรถสายพันธุ์ GT ด้านในห้องโดยสารของ New McLaren GT กว้างขวางและสะดวกสบาย เพราะถูกออกแบบมาให้เหมาะสำหรับการขับขี่ระยะไกลด้วยเบาะปรับอุณหภูมิที่รองรับแผ่นหลังและหัวไหล่ได้เป็นอย่างดี มีระบบไฟ “Ambient Lighting“ ให้เลือกปรับบรรยากาศได้ตามความต้องการ สร้างความเพลิดเพลินจากเสียงเพลงที่ถูกส่งออกมาจากชุดลำโพงจาก Bowers & Wilkins ทั้งหมด 12 ตัว พร้อมระบบลดเสียงรบกวนจากภายนอกที่จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม ด้านขุมกำลัง 2020 McLaren GT เลือกวางเครื่องยนต์
หนึ่งในหนังที่พลาดไม่ได้สำหรับหนุ่ม ๆ หลายคน คงจะหนีไม่พ้นบทแฟรนไชส์ภาพยนตร์แอ็คชันของคนรักหมาอย่าง John Wick ที่นอกจากฉากบู๊ที่ดุดัน ยังขาดไม่ได้กับรถสวย ๆ และฉากที่ตราตรึงใจใครต่อหลายคนในภาค 3 ที่ Keanu Reeves ควบม้าฆ่ารอบเมืองจนทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าพาหนะที่แท้จริงของพระเอกวัยเก๋าคนนี้จริง ๆ แล้วเขาใช้รถรุ่นอะไรคันไหนอยู่กันบ้าง ว่ากันว่า Keanu Reeves คือหนึ่งในชายที่หลงใหลโลกแห่งความเร็ว ทั้งในรูปแบบ 4 ล้อและ 2 ล้อ เห็นได้จากการปรากฏตัวของเขาพร้อมรถคันงาม รวมถึงเจ้าตัวยังชอบโดดไปร่วมงานทดสอบการขับขี่ของผู้ผลิตรถค่ายต่าง ๆ อยู่เสมอ อีกทั้งยังมีแบรนด์มอเตอร์ไซค์เป็นของตัวเองอีกด้วย วันนี้ UNLOCKMEN จึงได้รวบรวมพาหนะที่ตัวเขามีไว้ในครอบครอง แต่ละคันจะพิเศษและสวยงามยังไงบ้าง? มาดูไปพร้อมกันได้เลย Volvo 122 Dumpy คือชื่อของรถยนต์คันแรกชีวิตของ Keanu Reeves เป็นรถยนต์ Volvo 122 ที่ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี 1,956-1970 มาในโทนสี British Racing Green ทั่วทั้งคันเป็น Saloon 4 ที่นั่ง
การได้ขึ้นไปขับเฮลิคอปเตอร์บนฟ้าสักครั้งคงเป็นหนึ่งในความฝันของผู้ชายหลายคน สำหรับบางคนอาจทำความฝันให้เป็นจริงได้ แต่กับหนุ่ม ๆ บางคนก็ดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวไม่น้อยเลยละ จริงไหม? แล้วถ้ามีนวัตกรรมยานยนต์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ราวกับได้นั่งจับแฮนด์ของเฮลิคอปเตอร์จริง ๆ มันจะเจ๋งขนาดไหนกัน Citroën (ซีตรอง) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของฝรั่งเศสฉลองครบรอบ 100 ปี ด้วยการสร้าง “Citroën’s 19_19” รถยนต์ไฟฟ้าแนวคิดใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเฮลิคอปเตอร์ โครงสร้างรถถูกดีไซน์ด้วยกระจกหนาแทบทั้งคันเพื่อให้คล้ายกับลำตัวของเครื่องบิน พร้อมเปิดให้เห็นทัศนียภาพโปร่งใสทั่วคันรถเช่นเดียวกับเฮลิคอปเตอร์ ตัวล้อ Citroën ได้พัฒนาร่วมกับ Goodyear บริษัทผลิตยางรถยนต์สัญชาติอเมริกัน โดยประกอบล้อความกว้าง 30 นิ้ว พร้อมพื้นผิวเป็นรูพรุนเพื่อดูดซับแรงกระแทก ภายในแต่ละล้อถูกฝังเซ็นเซอร์อัจฉริยะที่ทำหน้าที่ตรวจสอบพื้นถนน รอบล้อรถหุ้มด้วยบังโคลน aero dynamic ช่วยลดการฉุดลากที่ก่อให้เกิดแรงเสียดทานในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง พร้อมระบบกันสะเทือน progressive hydraulic cushion ป้องกันการกระแทกอย่างไร้ที่ติและมอบประสบการณ์การนั่งรถราวกับอยู่บนพรมวิเศษ Citroën’s 19_19 มีขนาดใกล้เคียงกับรถยนต์ SUV ซึ่งมีความยาวอยู่ที่ 4,655 มิลลิเมตร กว้าง 2,240 และมีความสูง 1,600 มิลลิเมตร รถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าใช้ชุดแบตเตอรี่ขนาด 100kwh โดยการชาร์จหนึ่งครั้งจะใช้ได้สูงสุด 800 กิโลเมตร หรือประมาณ 497 ไมล์
ความเร็วสูงสุดของรถตุ๊กตุ๊กจะอยู่ที่กี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง ? ถือว่าเป็นคำถามที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจเกี่ยวกับความเร็วของรถประเภทนี้เท่าไหร่นัก สำหรับมุมมองนักท่องเที่ยวต่อตุ๊กตุ๊กไทยก็จะมองเรื่องความแปลกใหม่ ส่วนคนไทยก็มองว่าตุ๊กตุ๊กมีไว้ใช้บริการเวลาอยากขึ้นชมวิวรอบเมืองเก่าเช่นย่านพระนครเสียมากกว่า ผิดกับชายชาวอังกฤษคนหนึ่งทำเรื่องที่คนส่วนใหญ่มองข้าม สร้างสถิติโลกด้วยการนำมันมาซิ่งจนได้การรับรองจากหน่วยงานที่คอยจดบันทึกสถิติต่าง ๆ ทั่วโลกอย่าง Guinness World Records ไปครองเป็นที่เรียบร้อย เรื่องราวการสร้างตำนานรถตุ๊กตุ๊กหรือชื่อทางการอย่างรถสามล้อเครื่องที่เร็วที่สุดในโลกเริ่มมาจากชายคนหนึ่งชื่อ Matt Everard กดสั่งซื้อรถตุ๊กตุ๊กรุ่นปี 1971 มาจากเว็บไซต์ eBay ด้วยราคา 3,000 ปอนด์ (ประมาณ 123,000 บาท) และเมื่อได้รถตุ๊กตุ๊กมาก็จ่ายเพิ่มอีก 10,000 ปอนด์ (406,000 บาท) เพื่อจัดการแต่งเติมเสริมพลังให้สามล้อเครื่องของเขาเร็วแรงดั่งใจ ซึ่งการแต่งรถของ Matt ในครั้งนี้ถือว่าแพงกว่าราคาที่ซื้อมาเสียอีก เขาตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องยนต์ของรถตุ๊กตุ๊กใหม่จากเดิมที่ใช้เครื่องยนต์ 350 ซีซี มาเป็นเครื่องยนต์รถ Daihatsu injection 1,300 ซีซี จัดการดัดแปลงตัวรถทั้งในและนอกใหม่ให้เรียบร้อย โดยไม่ลืมติดสติ๊กเกอร์ธงชาติไทยเพื่อให้ไม่ลืมว่ารถคันนี้มาจากไหน จากนั้นรถตุ๊กตุ๊กที่หน้าตาแตกต่างออกไปจากสามล้อทั่วไปก็พร้อมที่จะโลดแล่นบนถนนจริงแล้ว หลังจากทดลองขับตุ๊กตุ๊กคันดังกล่าวด้วยการเพิ่มระดับความเร็วไปเรื่อย ๆ Matt คิดว่ารถสามล้อเครื่องของเขาสามารถสร้างสถิติใหม่ได้อย่างแน่นอน เขาจึงไม่รอช้าติดต่อไปยัง Guinness World Records เพื่อบันทึกความเร็วของรถ
หนุ่ม ๆ ที่หลงรักการเดินทาง ชื่นชอบการผจญภัยและหลงใหลการบุกป่าฝ่าดงเข้าไปชมความงดงามของธรรมชาติ คงไม่พลาดที่จะเก็บภาพและวิดีโอสุดประทับใจกลับมา ด้วยกล้องแอ็กชันตัวจิ๋วที่ฮิตฮอตที่สุดในตอนนี้อย่าง GoPro Hero 7 Black แต่วันนี้ UNLOCKMEN ไม่ได้จะมาแนะนำ GoPro รุ่นเรือธงที่ทุกคนรู้จักดี หากมีของเล่นใหม่ที่เจ๋งไม่แพ้กัน คือ ‘Osmo Action’ กล้องแอ็กชันตัวแรกจาก DJI ที่มีสเปกและฟีเจอร์เทพ ๆ ไม่ต่างกัน แถมมีราคาถูกกว่า GoPro ซะอีก DJI Osmo Action DJI บริษัทผลิตโดรนรายใหญ่ของโลกได้เปิดตัว Osmo Action กล้องแอ็กชันตัวแรกที่ปล่อยออกมาเพื่อตีตลาด GoPro โดยเฉพาะ ด้วยขนาด 2.6 x 1.6 x 1.3 นิ้ว ใช้ระบบเซ็นเซอร์ CMOS คำนวณค่าของแสงที่ตกกระทบ พร้อมถ่ายภาพด้วยความละเอียดสูงสุด 12 ล้านพิกเซล และที่เฟี้ยวไปกว่านั้นคือมี 4K HDR Video ให้ถ่ายวิดีโอ
สิ่งของทุกอย่างล้วนมีแรงบันดาลใจและจุดกำเนิด รถยนต์เองก็เช่นเดียวกัน คุณจะให้ราคากับโมเดลรถยนต์ที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจของปีศาจความเร็วสมัยใหม่หลายต่อหลายคันในราคาแค่ไหน โดยเฉพาะถ้ามันคือคันสุดท้ายที่เหลือรอดจากการถูกผลิตออกมาเพียง 3 คันบนโลกและกำลังจะถูกนำออกมาประมูล บรรพบุรุษของเจ้าแห่งความเร็วที่เรากำลังพูดถึงคือ Porsche Type 64 ที่ถูกผลิตขึ้นมาในปี 1939 รถรุ่นนี้เดิมถูกผลิตขึ้นมาเป็น Prototype ก่อนเป็นจำนวน 3 คันเพื่อทดสอบและเข้าร่วมการแข่งขัน Berlin-Rome Endurance Race แต่ยังไม่ทันได้อวดประสิทธิภาพมันก็ถูกสงครามโลกครั้งที่สองมาขัดจังหวะเอาไว้ก่อน โปรเจกต์จึงพับเก็บไป อย่างไรก็ดีลักษณะตัวถังของมันถูกถ่ายทอดออกมาเป็น Porsche Gmund 356 ในเวลาต่อมา ขณะเดียวกันเมื่อเวลาผ่านไป รถตัวต้นแบบอีกสองคันก็ได้รับความเสียหายตามกาลเวลา เหลือเพียงหมายเลข 3 ซึ่งอยู่ในสภาพดีและกำลังจะถูกนำออกประมูลโดย RM Sotheby’s Monterey ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 17 สิงหาคมนี้ ว่ากันว่ารถยนต์สุดคลาสสิกที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีคันนี้จะสามารถสร้างราคาที่เป็นสถิติใหม่ที่น่าสนใจขึ้นมา Porsche Type 64 คือร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ของประวัติศาสตร์ยานยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องยนต์ Flat-Four 32 แรงม้าสภาพสมบูรณ์ ที่มาพร้อมอุปกรณ์แต่งและชุดอะไหล่ครบครัน รวมถึงงานดีไซน์ที่รูปทรงของมันกลายมาเป็นต้นแบบให้รถสปอร์ตของ Porsche มาตลอดเจ็ดทศวรรษที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ที่ไม่ค่อยได้แสดงตัวตนที่ไหนบ่อยนักและนั่นจะทำให้เหล่าคนรักรถและนักสะสมมือหนักที่มาร่วมงาน แข่งกันเคาะราคาเพื่อให้ได้มันไปไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน SOURCE
ระหว่างที่ผู้ชายอย่างเรามุ่งมั่นใช้ชีวิตบนเส้นทางของตัวเองอย่างเต็มที่อยู่ทุกวัน ขณะเดียวกันเวลาทุกวินาทีที่เดินไปข้างหน้าเรื่องของเทคโนโลยีล้ำสมัยในโลกของยานยนต์ก็ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศแห่งนวัตกรรมอย่างจีนที่กำลังถูกจับตามองจากคนในแวดวงการรถยนต์ทั่วโลกแบบไม่คลาดสายตา SAIC Motor Corporation หนึ่งในบริษัทยานยนต์ระดับโลกจากประเทศจีนซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ เอ็มจี ประเทศไทยที่กำลังมุ่งเน้นพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกออกมา เพื่อให้หนุ่ม ๆ ทั่วโลกได้มีทางตัวเลือกในการซื้อรถยนต์เพิ่มมากขึ้นในอนาคต ด้วยการพัฒนาภายใต้ 4 แกนหลักคือรถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า (Electrification), ระบบการเชื่อมต่ออัจฉริยะ (Intelligence Connectivity) , การใช้รถยนต์ร่วมกัน (Car Sharing) และความเป็นสากล (Globalization) โดยพวกเขาใช้ประสบการณ์จากการทำธุรกิจในกว่า 60 ประเทศทั่วโลกและศูนย์วิจัยพัฒนาที่ตั้งอยู่ทั้งในประเทศจีน, อังกฤษและสหรัฐอเมริกา รวมถึงขยายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย, อินโดนีเซียและอินเดียเมื่อไม่นานมานี้ มาในปีนี้พวกเขาได้ทำการเปิดตัวรถยนต์หลากหลายรูปแบบทั้งชนิดขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง (Fuel Cell) , รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ (EV) รวมถึงรถต้นแบบที่สามารถเชื่อมต่อกับการสื่อสาร 5G ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกับ China Mobile, Huawei และ Shanghai International Auto City เพื่อสร้างอาณาจักรของรถยนต์แห่งอนาคต โดยทั้งหมดจัดแสดงในงาน Auto