“เด็กรุ่นใหม่มัวแต่เสียเวลาคิดถึงสิ่งแปลกใหม่ที่มันไม่เคยมีอยู่บนโลก…เราถูกสอนให้มี Role Model คือ Mark Zuckerburg, Jack Ma, Steve Jobs แต่มันเป็นแค่ 1 % บนโลกเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องสร้างสิ่งใหม่เลย แค่หยิบของใกล้ตัวมาต่อยอด ก็สามารถประสบความสำเร็จได้แล้ว” นี่คือคำพูดของ CEO วัยเพิ่งผ่านเบญจเพสได้ไม่นาน แต่ชั่วโมงบินบนถนนสาย Event Organizer ของเขาเรียกได้ว่าไม่แพ้ใครในประเทศนี้อย่างแน่นอน สำหรับคุณบาส – เทพวรรณ คณินวรพันธุ์ ซีอีโอสุดหล่อจากบริษัท ZAAP Party หลังจากที่เราได้ติดตามผลงานของ ZAAP มาอย่างต่อเนื่อง จนทราบมาว่าในปัจจุบัน บริษัท ZAAP Party แทบจะกลายเป็น Event Organizer ที่มีงานรัดตัวชนิดเดือนชนเดือน หัวกระไดไม่เคยแห้ง โดยเฉพาะงานใหญ่ประจำปีอย่าง Single Festival คอนเสิร์ตรวมคนโสดแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ในประเทศไทย หรือจะเป็นมหกรรมคอนเสิร์ต EDM เปียกน้ำที่เป็นเอกลักษณ์ และไม่มีใครเหมือนอย่าง Waterzonic ล้วนเป็นผลงานของบาสแทบจะทั้งหมด
ชื่อของ Kenichi Yamamoto อาจจะไม่เป็นที่คุ้นหูของคนทั่วไป แต่สำหรับคนในวงการยานยนต์ตัวจริง น่าจะรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของชื่อนี้เป็นอย่างดี ผู้ชายคนนี้เป็นบิดาแห่งเครื่องยนต์ Rotary เอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ Mazda เป็นผู้สร้างสรรค์ให้เกิดรถยนต์สปอรต์ระดับโลกอย่าง RX-7 และ MX-5 จะเรียกว่าเป็นกุญแจดอกสำคัญที่นำพาให้รถยนต์ Mazda ประสบความสำเร็จถึงทุกวันนี้ก็ไม่ผิด เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ Kenichi Yamamoto เพิ่งจะเสียชีวิตไปเร็ว ๆ นี้ด้วยวัย 95 ปี และเราคิดว่าทุกคนน่าจะได้รู้จักเรื่องราวของชายผู้ยิ่งใหญ่คนนี้กันมากขึ้น จุดเริ่มต้นของ Kenichi นั้นไม่ง่ายเลย เกิดที่เมือง Hiroshima ในปี 1922 ก่อนจะเข้าไปเรียนจนจบมหาวิทยาลัย Tokyo Imperial University ในปี 1944 แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มต้นชีวิตหลังเรียนจบอย่างที่หวังไว้ หนึ่งปีผ่านไป ประเทศญี่ปุ่นก็เข้าสู่ช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 Hiroshima บ้านเกิดของ Kenichi ถูกระเบิด atomic bomb ‘Little Boy’ ทิ้งใส่จนไม่เหลือซาก ด้วยความหวาดกลัวว่าข่าวร้ายจะมาถึงตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนึงก็มีจดหมายจากแม่ของ Kenichi ส่งมาบอกว่า บ้านของเขาพังทลาย และที่น่าเศร้ากว่านั้นก็คือน้องสาวที่เพิ่งจะเรียนจบมัธยมเสียชีวิตลงไปจากเหตุการณ์นี้ด้วย
UNLOCKMEN กล้าพูดเลยว่ามีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่พอหอบงานไปทำที่ร้านกาแฟแล้วดันโฟกัสกับงานที่ตัวเองทำได้มากกว่าทำที่ออฟฟิศตัวเอง หรือผู้ชายสายฟรีแลนซ์ก็ไม่เว้นกับเขาด้วย พอจะทำงานที่บ้านก็เกิดอาการเตียงดูดให้นอนอยู่กับที่เสียอย่างนั้น แต่พอกระเด้งตัวไปร้านกาแฟแถวบ้านทีไรงานพุ่งเป็นไฟทุกที งานนี้เราไม่ได้คิดไปเองเพราะมันมีเหตุผลเบื้องหลังอยู่จริง ๆ งานนี้บอกเลยว่าความเข้าใจเรื่องเสียงของเรา ๆ ที่เคยถูกสอนสั่งมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวน้อย ๆ ว่าความเงียบทำให้เกิดสมาธิอาจจะต้องถูกพับเก็บเอาไว้ก่อน เพราะงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นออกมาบอกว่าเจ้าเสียงที่อยู่โดยรอบเราอย่าง Ambient Noise ที่เหมาะแก่การคิดงานอย่างสร้างสรรค์ให้พุ่งกระฉูดหรือการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพชนิดไฟพุ่งนั้นไม่ใช่เสียงเงียบ ๆ อย่างที่เราเคยเข้าใจ แล้วเสียงแบบไหนหรือระดับไหนกันแน่ที่เป็นมิตรแก่การทำงานของเรา? ก็เหมือนว่าเราจะรู้ดีทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อ่านงานวิจัยถึงได้เลือกร้านกาแฟเป็นที่สิงสถิตย์เพราะร้านกาแฟมีเสียงรบกวนในระดับปานกลางประมาณ 70 เดซิเบล (ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของเราได้ดีกว่าเสียงที่เงียบกว่านี้เมื่อเปรียบเทียบกับเสียงประมาณ 50 เดซิเบล) ดังนั้นในร้านกาแฟที่มีเสียงรบกวนหน่อย ๆ แต่ไม่มากเกินพอดีจึงส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพการทำงานของเราได้มากกว่าการทำงานในออฟฟิศหรือห้องสมุดที่ทุกคนต่างพากันเงียบสนิท จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทุกวันนี้มีเว็บไซต์จำนวนมากที่ทำเสียง Ambient Noise เลียนแบบเสียงร้านกาแฟออกมาเพื่อให้เรากดเปิดฟังได้แม้อยู่ในที่ทำงานหรือที่บ้านเพื่อสร้างบรรยากาศหลอกร่างกายของเราว่า เฮ้ย นี่ฉันกำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟในเสียงที่เหมาะสมจริง ๆ เพราะฉะนั้นตั้งใจทำงานและสร้างสรรค์อะไรดี ๆ ออกมาได้แล้ว ถ้าชาว UNLOCKMEN อยากลองว่ามันได้ผลเท่ากับการไปนั่งร้านกาแฟจริงไหมก็ลองกดเปิดฟังไป ทำงานไปดู (ฟัง Ambient Noise) อย่างไรก็ตามเรื่องเสียงก็ไม่ใช่แค่เรื่องเดียวที่ทำให้เราตั้งใจหรือโฟกัสกับงานได้มากกว่าปกติที่ร้านกาแฟ แต่การได้ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ก็เป็นอีกผลหนึ่งที่ท้าทายให้เราอยากแสดงศักยภาพออกมาให้คนอื่นได้เห็น (แม้จริง ๆ
ยุคนี้ใครๆก็อยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจเองกันทั้งนั้น คนรุ่นใหม่ที่มีไอเดียกระฉูดหลายคนจึงแห่กันตั้งบริษัทสตาร์ตอัพ (Startup) ขึ้นมา เพื่อนำเสนอไอเดียตัวเองและหวังจะให้ธุรกิจของตัวเองประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว หลายธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าสตาร์ตอัพทุกบริษัทจะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างที่ตั้งใจด้วยเหตุหลายปัจจัย วันนี้เราจะพาดูตัวอย่างของสตาร์ตอัพ ที่เจ๋ง และสตาร์ตอัพที่เจ๊ง ในปี 2017 ที่ผ่านมากัน Discord เกมเมอร์ตัวยงน้อยคนจะไม่รู้จักโปรแกรมนี้ Discord คือโปรแกรมแชตข้อความและเสียงสำหรับนักเล่นเกมโดยเฉพาะ จุดเด่นของมันคือการที่มันทำงานร่วมกับเกมที่เราเล่นได้เลย โดยที่ไม่ต้องสลับหน้าต่างไปมา ซึ่งแตกต่างจาก Skype หรือโปรแกรมอื่นๆ Discord เปิดตัวเมื่อต้นปี 2017 และปัจจุบันมีผู้ใช้ทั่วโลกกว่า 45 ล้านคน เจ๋ง! Beepi Beepi เป็นเว็บไซต์ตลาดซื้อขายรถมือสองที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2013 โดยมีทุนเริ่มถึง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเคยมีการคำนวณมูลค่าของบริษัทสูงสุดถึง 560 ล้านดอลลาร์ จุดเด่นของ Beepi คือมีการบริการลูกค้า โดยบริษัทจะนำรถที่ตกลงการซื้อขายได้แล้วส่งให้กับผู้ซื้อเองถึงบ้าน บริษัทปิดตัวลงในเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากเงินทุนหมด เจ๊ง! Segment Segment คือบริษัทที่เก็บและประมวลผลข้อมูลของลูกค้า เพื่อนำมาสร้างเครื่องมือในการบริหารจัดการการตลาดออนไลน์ให้กับบริษัทที่ต้องการสร้างฐานการตลาดดิจิทัล โดยจุดเด่นคือการรวบรวมข้อดีของแอพลิเคชั่นที่ช่วยเหลือเรื่องการเก็บและประมวลผลข้อมูลต่างๆเข้าไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ช่วยลดความยุ่งยากลงไปได้มาก บริษัทเปิดตัวตั้งแต่ปี
จะสิ้นปีกันแล้ว การทำงานที่ผ่านมาอย่างยาวนาน สำหรับหลายคนก็อาจจะคิดว่า ‘เนี่ย ปีนี้เป็นปีที่ดีแล้ว ปีหน้าเราเอาแค่ประมาณนี้ก็ OK ละ’ จริง ๆ มันก็ไม่ผิดนะที่จะรักษาฟอร์มเก่าเอาไว้ เพราะแค่นั้นก็เจ๋งแล้ว แต่ที่เจ๋งกว่าชัวร์ก็คือการพยายามทำให้ดีขึ้นมากกว่าครั้งก่อนสิ จริง ๆ เราเองก็อยู่ฝั่งเดียวกับคนที่อยากรักษาฟอร์มด้วยล่ะ (ฮา) แต่จะขี้เกียจไปเรื่อย ๆ มันคงไม่ไปไหน ถ้าคุณรู้สึกว่ามันไกลตัวมาก ๆ เราขอหยิบยกเอาหนังสือการ์ตูนที่ใครหลายคนก็คุ้นเคย มาบอกเล่าให้ฟังกันงงว่า มีการ์ตูนจำนวนหนึ่งที่เป็นเรื่องที่ดังระดับโค-ตะ-ระ ถึงขั้นที่คนเขียนอาจจะนอนกลิ้งอยู่บ้านรับเงินปันผลไปวัน ๆ ก็พอแล้ว ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังพยายามก้าวขึ้นไปอีกขั้นจนได้งานที่มีความเจ๋งกว่าเดิมในมุมต่าง ๆ ที่เราเชื่อว่าหนุ่มสาวทุกคนที่อ่านการ์ตูนเหล่านี้จะมีแรงใจให้ทำให้ปีหน้าให้เจ๋งขึ้นไปอีกระดับ อาจารย์ Toriyama Akira จาก ‘ดร. สลัมป์’ ไปเขียน ‘ดราก้อนบอล’ เรื่องแรกที่เราจะพูดถึงก็คือ ดร.สลัมป์ หรือ หนูน้อยอาราเล่ ของอาจารย์ Toriyama Akira ซึ่งจริง ๆ ตัว ดร.สลัมป์ ที่เป็นการ์ตูนตลกเอามันส์นี่ก็ฮิตอยู่ไม่เบา แค่ทำยอดขายได้มากถึง 35 ล้านเล่มในญี่ปุ่น
บ่อยครั้งที่ผู้ชายอย่างเราหวังว่าโชคจะเข้าข้างเราบ้าง หรือตัดพ้อน้อยใจว่าทำไมฟ้าถึงไม่มีตาเห็นเรา แล้วมอบสิ่งดี ๆ ให้ แต่ UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าเลิกขอจากโชคชะตาฟ้าลิขิตเถอะ! เพราะความสำเร็จไม่ใช่เรื่องโชคชะตา แต่คือเรื่องสองมือสองขาของเราเอง และ UNLOCKMEN เชื่อว่า 5 นิสัยต่อไปนี้จะทำให้คุณได้ไปต่อในหนทางแห่งความสำเร็จแน่นอน 1.เป้าหมายต้องชัด อย่าให้อะไรพัดความฝันเราได้ นิสัยอย่างแรกที่จะทำให้เราเข้าใกล้ความสำเร็จในชีวิตคือการมีเป้าหมายที่ชัดเจน อย่าปล่อยให้ความคลุมเครือไม่ชัดเจนพัดพาคุณออกจากหนทางแห่งความสำเร็จไปไหนไกล ดังนั้นจะทำอะไรอย่าลืมแปะป้ายในสมองตัวโต ๆ ว่าเราต้องการอะไรที่สุด? และพุ่งชนมันให้สุดชีวิต 2.ลำดับความชัดเจนของชีวิต เอาให้เครื่องติดสุดพลัง บ่อยครั้งที่เป้าหมายเราไม่ได้มีเป้าหมายเดียว โดยเฉพาะการเป็นผู้ชายที่ Work Hard Play Hard ด้วยแล้ว ความสนใจเรามีล้นมือเต็มไปหมด แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะไปด้วยกันไม่ได้ ลองลิสต์ดูว่าในความสนใจ 10 อย่าง อะไรคือ 3 อย่างที่เราชอบที่สุดและมันไปในทิศทางเดียวกันอย่างไรได้บ้าง แล้วก็มุ่งทำมันควบคู่กันไปในทิศทางเดียวกันให้ได้ดี 3.ความล้มเหลวคือบทเรียน เราอาจจะกลัวความล้มเหลวจนไม่ได้ทำอะไรเลยก็เป็นได้ จริงไหม? ดังนั้นอย่ากลัวที่จะทดลองทำอะไรใหม่ ๆ แค่เพราะกลัวความล้มเหลว อย่าลืมว่าความล้มเหลวคือบทเรียนหนึ่งที่จะสอนให้เรารู้ว่าจะไม่เดินกลับไปผิดพลาดในทางเดิม ๆ อีก ดังนั้นรู้ไว้เลยว่าอย่าไปกลัวมัน สิ่งสำคัญคือการได้เรียนรู้ต่างหาก 4.ทักษะต้องรอบด้าน เพื่อผลงานที่เราหวัง แม้ความฝันจะมีเพียงหนึ่ง
เห็นประเด็นชวนแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ เฮ้ย น่าสนใจดี เข้าไป COMMENT แสดงความคิดเห็นบ้างดีกว่า ผ่านไปห้านาที มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นต่าง ก็ยังดูดีอยู่ เราก็ COMMENT เหตุผลอธิบายกันไปตามปกติ ผ่านไปสามนาที มีคนอื่นเข้ามาด่าสวนความคิดเห็นของเราเพิ่ม แต่คราวนี้อ่านแล้วรู้สึกเหมือนโดนแซะ อารมณ์เริ่มเดือด แซะมาก็แซะกลับ คราวนี้มีพวกที่เห็นด้วยมาช่วยกันแซะ ทีนี้เรื่องบานปลาย ต่างฝ่ายต่างเรียกพวกมาด่ากันจนออกทะเลไปไกลจากประเด็นที่น่าสนใจ และควรจะมีประโยชน์ กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า DRAMA ท้าต่อย ท้าตีกันไป รวมถึงการพูดคุยเรื่องงาน ที่สมัยนี้มักจะ COMMENT งานกันผ่านทาง LINE และหลายครั้งที่การสั่งงานผิดพลาด เพราะพิมพ์อธิบายไม่ดี คนอ่านตีความพลาด หรือเข้าใจอารมณ์ผิดไป กลายเป็นผิดใจกัน ขิงกันไป ขิงกันมา ทั้ง ๆ ที่ไม่มีประเด็นอะไรเลย นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะ DRAMA ชาวไทย แต่ทุก SOCIAL MEDIA ทั่วโลกก็เป็นเหมือนกันหมด นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า มนุษย์มีการตอบสนองต่างกันระหว่างการฟัง และการอ่าน แม้จะเป็นข้อความเดียวกัน ซึ่งการตอบสนองจากการอ่านความคิดเห็น มักจะให้ผลเป็นลบมากกว่ามาก เพราะเราไม่รู้อารมณ์เบื้องหลังคำพูดนั้น เช่น
เป็นนักเขียนมันโตยาก Career Path ของนักเขียนมันสั้น เป็นนักเขียนแล้วไม่ได้โชว์ความสามารถเต็มที่ เป็นนักเขียนรายได้ไม่ค่อยดี ลืมภาพอารมณ์นักเขียนแบบที่ว่ามาให้หมดไป เพราะถ้าคุณกำลังอ่านถึงตรงนี้ แปลว่าคุณต้องเข้าใจสไตล์ความมันส์ของ UNLOCKMEN มาพอสมควรแล้ว และยังแปลว่าคุณต้องมีความสนใจในเรื่องราวที่ UNLOCKMEN นำเสนอเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่อย่างที่เห็นว่า ยังมีอีกหลายเรื่องที่เรายังไม่ได้พูด หรือพูดไปแล้วยังไม่ดีพอ และเรากำลังหวังว่า คุณนักเขียนที่กำลังอ่านอยู่ตอนนี้ จะสามารถช่วยเราได้ โดยการเข้ามาเป็นทีมกองบรรณาธิการกับเรา และแน่นอนว่า เรามั่นใจในข้อดีของ UNLOCKMEN ที่อยากจะชวนให้คุณลองเอาไปพิจารณาดู ถ้าคิดว่าสไตล์เราเข้ากันได้ ก็อย่ารอช้า ส่ง Resume และ Portfolio มาหาเราได้ที่ [email protected] WE HAVE COOL OFFICE อย่างที่เห็นในคลิปวีดีโอ Open House Party เปิดตัวออฟฟิศใหม่ของเรา ที่ออกแบบให้มีอารมณ์ Industrial เต็มขั้น มีบาร์สุดเท่ในออฟฟิศสำหรับพักผ่อน พร้อม Playstation 4 ให้เล่นเพื่อให้หัวโล่ง อยู่ในตึก 208 Wireless Road ถนนวิทยุ
เมื่อปัญหาพุ่งดิ่งมาอยู่ตรงหน้าเราแล้ว นอกเหนือจากการคิดวิเคราะห์แยกแยะเสาะหาหนทางแก้ปัญหาให้ได้อย่างรวดเร็วแล้ว การรับมืออย่างฉับพลันและง่ายที่สุดที่ผู้ชายอย่างเราต้องเผชิญหน้าก็คือการรับมือด้วยปากของเรานั่นเอง UNLOCKMEN ไม่ได้บอกให้คุณยื่นปากไปรับปัญหา แต่เรากำลังหมายถึงคำพูดที่เราสามารถพูดออกไปเพื่อรับมือก่อนได้ แต่ถ้ากลัวคำพูดที่เราพูดออกไปจะไม่แกร่งพอ วันนี้ UNLOCKMEN รวบรวมวลีเด็ดจากนายกรัฐมนตรีไทยที่เป็นวลีสุดดังที่ใคร ๆ ก็พูดถึง หรือวลีติดปากที่อดีตนายกฯ พูดเป็นประจำ คำพูดไหนเห็นว่าดีเราก็เลือกไปใช้ คำไหนที่เราอ่านแล้วต้องส่ายหัวก็ปัดทิ้งไป จะได้รู้ว่านักการเมืองสไตล์เขาแก้ปัญหาด้วยคำพูดกันแบบไหน และแบบไหนที่เวิร์คแบบไหนที่แหวะกันแน่? พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ: “โน พลอมแพลม (No Problem)” พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ของประเทศ ที่ได้ฉายาขณะดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีว่า “น้าชาติมาดนักซิ่ง” เพราะขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันใหญ่โตไม่เข้ากับการเป็นนายกรัฐมนตรีเอาเสียเลย แต่ UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าความเท่ไม่เข้าใครออกใครเสียหน่อย เป็นนายกขี่มอเตอรไซค์คันใหญ่ สำหรับเรานี่โคตรเท่สมกับฉายามาดนักซิ่งสุด ๆ วลีที่พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ใช้ตอบกับนักข่าว เมื่อถูกถามถึงสิ่งต่าง ๆ ก็เท่ ๆ สบาย ๆ สไตล์นักซิ่ง เพราะเป็นคำว่า No Problem ไม่มีปัญหา!
สำหรับคนที่เริ่มศึกษาเรื่องราวการลงทุน ค้นหาข้อมูลอัพเดตการลงทุนในอินเตอร์เน็ตในช่วงนี้ คงมีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเพจ “ลงทุนแมน” เพจการลงทุนที่เล่าเรื่องธุรกิจการลงทุน ข้อมูลบริษัท ตัวเลข งบการเงินมากมายให้สนุก และอ่านเข้าใจได้ง่ายมาก ๆ ซึ่งทีมงาน UNLOCKMEN เองก็เป็นหนึ่งในแฟนเพจที่ติดตามตั้งแต่ในเพจมีคนอยู่เพียงหลักพัน ซึ่งเวลาเพียงไม่นานจนถึงตอนนี้ เพจลงทุนแมนมีคนติดตามมากกว่าสามแสนคน อะไรเป็นจุดแข็งให้ผู้ติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แนวคิดการลงทุนให้ประสบความสำเร็จในสไตล์ของลงทุนแมนเป็นอย่างไร เรารู้ว่าคุณก็อยากรู้เหมือนเรา ลงทุนแมนเริ่มต้นได้อย่างไร อะไรเป็นแรงจูงใจในการทำเพจนี้ ต้องบอกก่อนว่า เราชอบเรื่องการลงทุนเป็นอย่างมาก เลยอยากลองแชร์เรื่องราวการลงทุนในภาษาที่เข้าใจง่าย จึงได้เริ่มลองทำเพจ “ลงทุนแมน” นี้ขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจการลงทุน ซึ่งตอนแรกที่เขียนก็แปลกใจว่าทำไมคนแชร์กันมาก ก็เลยลองเขียนดูอีก ปรากฏว่าคนแชร์กันมากอีก สุดท้ายจากการตอบรับของคนอ่านที่มีมากมายเกินที่คาดคิด จึงเป็นแรงจูงใจให้ตั้งใจทำเพจนี้เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้การลงทุนอย่างจริงจังขึ้นมา ทำเพจมาไม่นาน แต่มียอด Follower เยอะมาก คิดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนติดตามมากขนาดนี้ สาเหตุที่ยอด follower เยอะ คงไปตอบแทนคนที่ติดตามไม่ได้ แต่ถ้าจะให้เดาจากคนที่มาคอมเมนต์ คงเป็นเพราะการเล่าเรื่องที่อ่านและเข้าใจง่าย เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจใกล้ตัวเขา เป็นเรื่องที่เขาก็อยากรู้ แต่ไม่เคยมีใครมาหาข้อมูลให้ สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเขาได้ประโยชน์จากความรู้ที่เราหามาให้ เขาเลยเลือกที่จะติดตาม เพื่ออยากได้ความรู้แบบนี้อีก จุดเด่นของลงทุนแมน ที่ต่างจากเพจการลงทุนอื่น ๆ คืออะไร ลงทุนแมนไม่เหมือนเพจอื่นตรงที่ ไม่ได้โฟกัสแค่เรื่องหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้เชียร์หุ้น
ฟรีแลนซ์ อาชีพที่ฟังดูแล้วน่าจะสบาย ได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่มีเวลาเข้าออกงานตายตัว มีอิสระในการจัดการชีวิตส่วนตัวได้อย่างเต็มที่ ใครหลายคนจึงอยากจะผันตัวมาเป็นฟรีแลนซ์ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ฟรีแลนซ์ก็มีปัญหาในแบบของตัวเอง สิ่งที่คิดว่าอิสระก็ไม่จริงเสมอไป เพราะถ้างานด่วน งานเร่ง ลูกค้าก็ตามงานได้ตลอดเวลา ในช่วงที่งานเข้ามาพร้อมกันมากๆ จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะกลัวลูกค้าไม่ส่งงานมาให้อีก บางเดือนไม่มีงานเข้ามาเลย ก็ขาดรายได้กันไป แต่ถ้าช่วงไหนรับงานหนักเกินไปจนไม่มีเวลาพักผ่อน ก็กลายเป็นความเจ็บป่วย สวัสดิการรักษาพยาบาลก็ไม่มีเหมือนพนักงานออฟฟิศ ต้องควักเนื้อจ่ายเองเสียอีก เรียกได้ว่าถ้ารักจะเป็นฟรีแลนซ์ ต้องจัดการชีวิตตัวเองให้เข้มงวดกว่ามนุษย์เงินเดือนทั่วไปเสียอีก ถึงแม้ว่าสำหรับมนุษย์ฟรีแลนซ์ งาน เงิน และสุขภาพ ดูจะไม่ค่อยไปด้วยกันนัก แต่การสร้างสมดุลให้ชีวิตก็ไม่ได้ยากเกินไป ด้วยคำแนะนำจากงานสัมมนา “ยอดมนุษย์ฟรีแลนซ์ เหนื่อยนัก ก็พักได้” ที่จัดโดย K-Expert ที่ปรึกษาการเงิน ธนาคารกสิกรไทย พร้อมเทคนิคจากสุดยอดฟรีแลนซ์ตัวจริง เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับชื่อดัง และ ปอมชาน-ธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง นักวาดภาพประกอบระดับโลก จึงพอจะสรุปคีย์เวิร์ดสำคัญสำหรับฟรีแลนซ์ได้ 3 ข้อ คือ “งานตรึม เงินเต็ม เจ็บไม่จน” งานตรึม: งานคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฟรีแลนซ์
ต้องยอมรับว่ากลุ่มคนมิลเลนเนียล (Millenials) หรือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงยุค 1980s ไปจนถึงช่วงก่อนยุค 2000s ที่เรียกได้ว่ามีชีวิตเติบโตขึ้นมาในช่วงเปลี่ยนผ่านสหัสวรรษ คือกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญ เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสังคมเมืองในปัจจุบัน ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในภาพใหญ่ของประชาคมโลก นอกจากภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่มากความสามารถซึ่งค้นหาลู่ทางสร้างความสำเร็จได้ด้วยตัวเอง กลุ่มคนมิลเลนเนียลเหล่านี้ยังได้ทำให้นิยามของความสำเร็จเปลี่ยนไปจากอดีต จากที่คนยุคก่อนเคยให้ความสำคัญกับรายได้ รวมถึงตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นหลัก แต่กลุ่มคนมิลเลนเนียลที่แม้จะมีจุดเด่นในเรื่องของการเลือกทำอะไรด้วย Passion มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง และพร้อมจะทุ่มเทเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ แต่ก็ยังคงให้ความสำคัญกับการมี Work-Life Balance ที่ดี มากกว่าการมีชื่อเสียงและเงินทอง อ้างอิงได้จากผลการศึกษาแนวคิดอุปนิสัยใจคอของกลุ่มคนมิลเลนเนียล โดยสถาบัน INSEAD Emerging Markets Institute, HEAD Foundation ร่วมกับ Universum ที่ได้ทำแบบสอบถามประชากรกลุ่มเป้าหมายกว่า 16,000 คน จาก 43 ประเทศทั่วโลก จนได้ข้อสรุปที่ว่า 73% ของกลุ่มคนมิลเลนเนียล เลือกที่จะมีสมดุลระหว่างการทำงาน และการใช้ชีวิตที่ดีมากกว่าเลือกมีรายได้สูง ๆ (Source : http://bit.ly/2gtlg3j) ข้อมูลข้างต้นถือเป็นสิ่งสะท้อนมุมมองความสำเร็จที่เปลี่ยนไปของคนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะจริง ๆ แล้ว ความสำเร็จที่พวกเขาต้องการไขว่คว้านั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสำเร็จทางธุรกิจ แต่มันคือความสำเร็จในการได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข