“เยาวชนคือความหวังของชาติ” วลีนี้ไม่ใช่การกล่าวเกินจริง แต่เป็นสิ่งที่หลายประเทศต่างให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อพวกเขาคืออนาคต NIHON STORIES จึงเปิดปีใหม่ด้วยความหวัง ชวนดูการจัดอันดับอาชีพในฝันของเด็กชาวญี่ปุ่นทั่วประเทศ ค้นหาว่าพวกเขาคิดอะไร วาดฝันตัวเองไว้แบบไหน และเส้นทางการเติมเต็มความฝันของพวกเขาจะเป็นไปได้หรือไม่บนเกาะแห่งนี้ เว็บไซต์ SoraNews24 เผย 5 อันดับ อาชีพที่เด็กญี่ปุ่นชั้นประถมให้ความสนใจ จากการสำรวจของสถาบันวิจัยการศึกษาแห่งชาติญี่ปุ่น ลงพื้นที่สอบถามเด็กประถมชายหญิงอย่างละ 600 คน รวม 1,200 คน เพื่อถามถึงอาชีพในฝันที่พวกเขาอยากเป็น และรวบรวมผลช่วงปลายปี 2020 ก่อนจะเผยแพร่สู่สาธารณชนในปี 2021 เพื่อให้ครัวเรือนทั่วประเทศเห็นภาพความฝันของเยาวชนที่กำลังจะเติบโตในปีนี้ อันดับ 5 (ร่วม) ครูอนุบาล ,แพทย์ หากคนที่โตขึ้นมาหน่อยตอบว่าอยากเป็นหมอ อาจมีเหตุผลเรื่องรายได้กับความมั่นคงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะประสบการณ์ชีวิตสอนให้เรารู้ว่าบางครั้งเงินก็จำเป็น ทว่าเด็กวัยประถมที่ยังไม่เข้าใจโลกทุนนิยมอย่างลึกซึ้ง พวกเขาส่วนมากอยากเป็นหมอเพราะมุ่งหวังจะช่วยเหลือผู้คนที่กำลังเจ็บปวด อยากรักษาเพื่อนร่วมโลก คนใกล้ตัว หรือคนที่พวกเขาแคร์ พ่วงมาด้วยความทรงจำดี ๆ ครั้งไปหาหมอเมื่อตอนไม่สบายแล้วได้ขนมลูกอมปลอบใจกลับมา ทั้งหมดก็มีส่วนส่งผลให้เด็กหลายคนอยากเป็นหมอในภายภาคหน้า อาชีพครูอนุบาลตามที่คนไทยส่วนใหญ่เคยเห็นในการ์ตูนเรื่องชินจัง หรือสื่อกระแสหลักอื่น ๆ จากญี่ปุ่น ส่งให้คนเข้าใจว่าครูอนุบาลคืออาชีพที่ดูจะมีความสุขไม่น้อย การได้เล่นกันเด็ก ๆ
เข้าปี 2021 มาไม่ถึงเดือน ก็มีเรื่องราวมันส์ ๆ เกิดขึ้นเยอะจนนับกันไม่ทัน และหนึ่งในนั้นก็คือการเปลี่ยนอันดับมนุษย์รวยที่สุดในโลก วันนี้ได้เป็นของ Elon Musk อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ด้วยมูลค่า Net Worth มหาศาลถึง $188.5 billion USD หรือเป็นเงินไทยราว 5 ล้านล้านบาท (ครับ ไม่ได้พิมพ์ผิดหรือพิมพ์เกิน) มากกว่า GDP ประเทศไทยหลักพันล้านไปไกลหลายเท่าตัว สาเหตุที่ทำให้ Elon Musk เจ้าของธุรกิจระดับโลกและนอกโลก สามารถแซง Jeff Bezos แห่งสำนัก Amazon ไปล่าสุดนี้ มาจากธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ที่มูลค่าหุ้นพุ่งกระฉูดขึ้นไป 4.8% ในวันพฤหัสที่ผ่านมา หลังจากปีที่แล้วหุ้น Tesla เติบโตทั้งปีถึง 743% ทำให้มูลค่าของ Tesla สูงกว่าของแบรนด์รถยนต์เก่าแก่อย่าง Toyota, Volkswagen, Hyundai, GM และ Ford รวมกัน
‘ญี่ปุ่น’ ถือเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องอัตราการฆ่าตัวตายสูงติดอันดับโลกเสมอ จนถูกนับเป็นเมืองที่มีความเครียดสูงที่สุดเมืองหนึ่งของโลกไปแล้ว ด้วยเหตุผลหลายอย่างทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ การแข่งขันทางธุรกิจ การทำงาน รวมถึงพื้นที่ที่จำกัด และค่านิยมหลายอย่างที่อาจส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เกิดความเครียด เมื่อเครียดจนไม่รู้จะทำอย่างไร คนบางส่วนจึงเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองเพื่อปิดกั้นการรับรู้ถึงปัญหาต่าง ๆ ไปตลอดกาล การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกก็แวะเวียนไปยังญี่ปุ่นเช่นกัน ในตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังเผชิญหน้ากับการระบาดระลอกสองที่ยากจะควบคุม แม้ตอนแรกจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศจะยังไม่สูง ซ้ำผลสำรวจของสื่อแทบทุกสำนักยังระบุตรงกันว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในญี่ปุ่นช่วงแรกที่รัฐบาลต้องสั่งล็อกดาวน์ สามารถลดความเครียดของชาวญี่ปุ่นได้อย่างน่าตกใจ แต่ตอนนี้ความเครียดที่หายไปได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นจนน่าใจหาย ช่วงต้นปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการฆ่าตัวตายของชาวญี่ปุ่นช่วงเดือนเมษายนว่าลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ๆ ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมษายนคือช่วงเวลาเดียวกับที่โควิด-19 ระบาดหนัก รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชนให้อยู่แต่ในบ้านและอย่าออกจากเคหสถานหากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ รวมถึงการปิดเทอมของเหล่านักเรียน ส่งผลให้ทุกคนได้อยู่บ้าน และมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ประชาชนญี่ปุ่นถูกสั่งให้อยู่แต่บ้าน เหล่ามนุษย์เงินเดือนที่เดิมทีต้องตื่นแต่เช้าแต่งตัวออกไปทำงาน ยืนเบียดเสียดบนรถไฟ แล้วค่อยเดินกลับบ้านแบบหมดเรี่ยวหมดแรง แปรเปลี่ยนเป็นนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน หักเวลาเดินทางไป-กลับ มาเป็นเวลาที่จะได้นอนมากขึ้นกว่าเดิมสักนิดหน่อย บางคนมีครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แม่บ้านได้นั่งคุยกับสามีและลูกที่อยู่ในช่วงปิดเทอม ส่วนเด็ก ๆ ก็ไม่ต้องออกไปเผชิญกับไวรัสที่กระจายอยู่ทั่ว สมาชิกในครอบครัวร่วมชายคาเดียวกันมีโอกาสพูดคุยมากขึ้น ทั้งหมดส่งผลให้มวลความเครียดของชาวญี่ปุ่นลดลง แต่ข่าวน่ายินดีนี้เป็นเพียงแค่ช่วงแรกของการระบาดเท่านั้น ภาพในระดับครอบครัวชนชั้นกลางจนถึงสูงทั้งในเมืองและต่างจังหวัดเป็นเพียงส่วนเล็กของสังคมใหญ่ ภาพรวมในระดับประเทศช่วงการระบาดของไวรัสไม่น่าดูเท่าไหร่นัก
เมื่อเอ่ยถึง ‘ญี่ปุ่น’ สิ่งที่เรานึกถึงอันดับแรก ๆ คืออะไร ? หากเป็นสุภาพบุรุษสายซิ่งอาจนึกถึงรถยนต์ตระกูล Skyline GT-R ของนิสสัน หากเป็นหนุ่มสายประวัติศาสตร์เท่ ๆ อาจนึกถึงซามูไรผู้ห้าวหาญ หรือเป็นผู้ชายสายมังงะอาจจะนึกถึงการ์ตูนเรื่องโปรดของตัวเอง แต่ถ้าเป็นบุรุษรักสัตว์พวกเขาจะนึกถึง ‘ชิบะ อินุ’ เป็นอย่างแรก UNLOCKMEN จะพาหนุ่ม ๆ ทุกสายทุกสไตล์ไปทำความรู้จักกับ ชิบะ อินุ (Shiba Inu) หรือ หมาชิบะ อันโด่งดังของญี่ปุ่น กับเรื่องราวความเป็นมาที่ต้องฝ่าฟันจากยุคมหาสงครามเอเชียบูรพา การผลักดันให้สุนัขสี่ขาตัวกำลังดีเป็นที่รู้จักในฐานะสัตว์ประจำประเทศของญี่ปุ่น ว่าพวกเขาต่างก็มีเรื่องราวการเดินทางที่เต็มไปด้วยสีสันไม่แพ้ใคร ชิบะ อินุ ที่มีนิสัยรักสะอาด รักอิสระ แถมยังดูแลง่ายกว่าที่หลายคนคิด ถือเป็นสุนัขสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เกาะที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะแห่งนี้ไม่ได้มีสุนัขแค่ชิบะเท่านั้น แต่ยังมีอีก 5 สายพันธุ์ที่ถูกนับว่าเป็นสัตว์ท้องถิ่น ทั้ง อากิตะ อินุ (Akita Inu) ชิโกกุ (Shikoku) ฮอกไกโด (Hokkaido) คิชชู เคน
Lionel Messi นักเตะระดับตำนานผู้เป็นสัญลักษณ์ของสโมสร Barcelona ล่าสุดได้ทำลายสถิติใหม่ด้วยจำนวนการถลุงตาข่ายมากถึง 644 ลูก แซงอดีตตำนานรุ่นเก๋าของ Edson Arantes do Nascimento หรือ ‘Pele’ ไข่มุกดำแห่งบราซิลที่เคยทำได้ 643 ลูกให้กับสโมสร Santos ด้วยสถิติที่น่าเฉลิมฉลองของ Messi และ Barcelona ล่าสุด Messi ได้จับมือกับเบียร์ Budweiser ออกเบียร์ Collection สุดพิเศษที่ชื่อ “Messi 644 Goals 1 Club” ไม่ได้วางขาย แต่ส่งตรงให้กับผู้รักษาประตูทั้ง 160 คน ที่โดน Messi ยิงประตูเป็นส่วนหนึ่งของสถิติโลกครั้งนี้อย่างแสบ ๆ คัน ๆ “เป็นเวลากว่า 20 ปี ที่ผมเริ่มเดินบนเส้นทางนักเตะ ด้วยความตั้งใจว่าจะต้องขึ้นเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลกให้ได้ มันเป็นเเป้าหมายท่ีต้องใช้ความพยายามมหาศาล การฝึกฝนที่แสนจะหนักหน่วง ทุกอย่างก็เพื่อการทำประตูทั้ง 644
สมัยนี้รถแรงทุกคนต้องมีการพ่นไฟทางท่อไอเสีย หรือที่ภาษาเทคนิคเรียกว่า Antilag system สำหรับรถเทอร์โบสมรรถนะสูง แต่ในอดีตมีการพ่นไฟที่ใหญ่โตกว่า Antilag ในปัจจุบัน อันที่จริงควรจะเรียกว่าเครื่องพ่นไฟติดในรถยนต์เลยจะดีกว่า เพราะหน้าที่ของมันมีไว้ยิงไฟใส่หัวขโมยที่ชุกยิ่งกว่ายุง ในปี 1998 เป็นช่วงเวลาที่โจรขโมยรถยนต์ระบาดหนักใน South Africa เรียกว่าจอดไว้เป็นหาเรียบ ที่จริงไม่ใช่แค่โจรขโมยรถที่ชุกชุม เรียกว่าอาชญากรทุกรูปแบบเลยดีกว่า ในยุคนั้นศาลใน South Africa ถึงกับอนุญาตให้ป้องกันตัวด้วยการฆ่าคู่กรณีได้ถ้าจำเป็นต้องป้องกันตัว และเฉพาะในปี 1997 ก็มีตัวเลขรถถูกขโมยไปมากถึง 13,000 คัน ทั้งปล้นต่อหน้าหรือขณะจอดไว้ก็ตาม เมื่อเจอปัญหานี้มาก ๆ เข้า ก็มีนักธุรกิจหัวใส “Mr. Charl Fourie” หาทางออกที่สะใจเจ้าของรถมาให้ ด้วยการเพิ่มชุดออพชั่นเสริมกันขโมย ไม่ใช่สัญญาณ แต่เป็นเครื่องพ่นไฟ “Blaster” ติดตั้งไว้บริเวณใต้ต้องรถทั้งสองด้าน มีหัวต่อท่อจากถังแก๊สที่เก็บไว้บริเวณท้ายรถ ยิงเปลวไฟสูงความสูงระดับหัวมนุษย์ได้พร้อมกันทั้งด้ายซ้ายและขวา ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกระดับความแรงและทิศทางของเปลวไฟได้ตามสภาพแวดล้อมที่ต้องการ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะกลายเป็นฆาตกรเสียเองจากเปลวไฟที่รุนแรงขนาดนี้ เพราะเจ้าของเค้าการันตีว่าความแรงของเปลวไฟไม่ทำให้ถึงตาย เพราะมันทำให้โจรตาบอดได้เท่านั้น และคงไม่มีโจรหน้าไหนยืนแช่เปลวไฟโดยไม่รีบวิ่งหนีออกมาแน่นอน The Blaster ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากในยุคนั้น ถ้าเทียบกับปัจจุบันก็ระดับ Start-Up ของ Seo
หลังงานเสกสมรส เจ้าหญิงมาโกะจะเป็นเพียง ‘มาโกะ’ สามัญชนที่ไม่มีฐานันดรศักดิ์ หรือจะมีฐานันดรศักดิ์ใหม่ที่จะทำให้พระองค์ยังคงแน่นแฟ้นกับสมาชิกราชวงศ์ต่อไป? หลายปีมานี้ เราได้เห็นข่าวคราวการคบหาดูใจระหว่างเจ้าหญิงมาโกะแห่งอากิชิโนะ พระราชนัดดาพระองค์โตในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะแห่งญี่ปุ่น กับ เคอิ โคมุโระ (Kei Komuro) เพื่อนร่วมชั้นครั้งยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยนานาชาติคริสเตียน ทางสำนักพระราชวังอิมพีเรียลเคยประกาศในวันที่ 3 กันยายน 2017 ว่าทั้งสองจะมีการหมั้นหมายกันในวันที่ 4 มีนาคม 2018 และจะมีพิธีเสกสมรสในเดือนพฤศจิกายน แต่ภายหลังทางสำนักพระราชวังได้ประกาศอีกครั้งว่างานทั้งหมดต้องถูกเลื่อนออกไปจนกว่าจะถึงปี 2020 โดยให้เหตุผลว่าทั้งคู่ยังไม่พร้อมสำหรับการเสกสมรส เจ้าหญิงมาโกะแห่งอากิชิโนะ (眞子内親王) เป็นพระธิดาพระองค์โตในมกุฎราชกุมารฟุมิฮิโตะแห่งอากิชิโนะ กับ เจ้าหญิงคิโกะ พระชายาฯ และเป็นพระราชนัดดาพระองค์โตในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะแห่งญี่ปุ่น ทรงสำเร็จการศึกษาระดับประถมและมัธยมจากกาคุชูอิน โรงเรียนหลวงญี่ปุ่น ต่อมาเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาปริญญาตรี สาขามรดกด้านศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยนานาชาติคริสเตียน และทรงเข้าศึกษาสาขาพิพิธภัณฑ์ศึกษา มหาวิทยาลัยเลสเตอร์ สหราชอาณาจักร ปัจจุบันทรงงานเป็นนักวิจัยในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยโตเกียว การเลื่อนพิธีเสกสมรสไปถึง 2 ปี ทำให้เจ้าหญิงมาโกะต้องออกแถลงการณ์ขออภัยชาวญี่ปุ่นทุกคน กรณีสร้างความวุ่นวายและสร้างภาระแก่ผู้ที่คอยช่วยเหลือและตระเตรียมงาน โดยเหตุผลที่เจ้าหญิงมาโกะกล่าวต่อประชาชนคือ พระองค์อยากรอให้พิธีสละราชบัลลังก์ของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโกะ เปลี่ยนรัชสมัยจากเฮเซเป็นเรวะให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ก่อนหน้านี้ทางสื่อหลายสำนักกับชาวเน็ตญี่ปุ่นไม่ปักใจเชื่อว่าการรอเปลี่ยนผ่านยุคสมัยจะเป็นเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้พิธีเสกสมรสถูกเลื่อนออกไป จนเกิดการตั้งกระทู้ขุดประวัติของ เคอิ โคมุโระ ว่าเป็นใครมาจากไหน
ศิลปะญี่ปุ่นถือเป็นศาสตร์และศิลป์ที่โดดเด่นหาใครเปรียบ แม้ศิลปินญี่ปุ่นจะมีลวดลายเส้นสีที่ต่างออกไป แต่พวกเขามักนำแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานมาจากเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน อาทิ ซาเอกิ โทชิโอะ ชายผู้ถูกขนานนามว่าเจ้าพ่อแห่งวงการอีโรติกอาร์ตญี่ปุ่น (Godfather of Japanese Erotica) ก็มีมุมมองทางเพศที่สื่อออกมาเป็นศิลปะด้วยกลิ่นอายคล้ายงดงามชวนขนลุก หรือแม้กระทั่งนักวาดการ์ตูนสยองขวัญสั่นประสาทลายเส้นสุดหลอนอย่าง อิโต้ จุนจิ กับ ทากาชิ มุราคามิ ต่างก็หยิบความเจ็บช้ำและบาดแผลของชาวญี่ปุ่นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงบุคลิกซ่อนเร้นเก็บกดของชาวญี่ปุ่นมาเล่าในงานภาพในมุมมองที่ไม่ซ้ำกัน ดังนั้น เมื่อเอ่ยถึงศิลปะญี่ปุ่น ผู้คนส่วนใหญ่อาจตอบชื่อศิลปินญี่ปุ่นที่นึกถึงเป็นชื่อแรกไม่ตรงกัน แต่ถ้าถามลึกลงไปอีกสักหน่อยว่า ‘อีโรติกอาร์ต’ ชื่อศิลปินที่ถูกพูดถึงก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ และถ้าเจาะลึกยิ่งกว่าลงไปอีกด้วยคำคีย์เวิร์ดที่ว่า ‘ภาพพิมพ์’ ‘เซ็กซ์’ ‘หญิงสาว’ และ ‘หมึก’ ภาพที่ทั้งชายและหญิงจะนึกออกก็คงหนีไม่พ้นภาพที่มีชื่อว่า ‘The Dream of the Fisherman’s Wife’ หรือในชื่อภาษาไทยว่า ‘ความฝันของเมียชาวประมง’ ของศิลปินระดับตำนานอย่าง คัตสึชิกะ โฮกุไซ กันอย่างแน่นอน คัตสึชิกะ โฮกุไซ (Katsushika Hokusai) เป็นศิลปินระดับตำนานของยุคเอโดะ ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ทางเรื่องเพศของญี่ปุ่น ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ยอดเยี่ยม บ้านเมืองสงบสุขติดกันหลายปี
“กูอยากแต่งตัวแต่งบ้านแบบมินิมัลว่ะ แล้วไม่ใช่มินิมัลแบบธรรมดาด้วยนะ กูจะแต่งมินิมัลแบบญี่ปุ่น” วลีนี้คือสิ่งที่พวกเราชาว UNLOCKMEN เคยได้ยินมากกว่าหนึ่งครั้ง เวลาพูดถึงแฟชั่นแบบมินิมัล (Minimal) ไปจนถึงการแต่งบ้านสไตล์มินิมัล ชาติแรกที่คนส่วนใหญ่จะต้องนึกถึงความมินิมัลมักเป็นประเทศญี่ปุ่นเสมอ จนพานให้พวกเราสงสัยว่า ไอ้หนุ่มที่บอกว่าอยากแต่งตัวแต่งบ้านมินิมัลสไตล์ญี่ปุ่น มันเป็นมินิมัลแบบเดียวกับที่คนอื่น ๆ เข้าใจหรือไม่ แล้วที่มาของการทำให้คนญี่ปุ่นกลายเป็นต้นแบบของความเรียบโก้ มันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ มินิมัล หรือ มินิมัลลิสม์ (Minimalism) ในแง่ของศิลปะคือสุนทรียศาสตร์ที่ว่าด้วยความเรียบง่าย เกิดขึ้นโดยบางกลุ่มบางคนในช่วงยุค 50-60s ที่เบื่อกับศิลปะสไตล์ Abstract แบบสุด ๆ รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านกับความยุ่งเหยิงฉูดฉาดเต็มไปด้วยสีสันจนไม่รู้จะโฟกัสตรงไหนก่อน (บางคนคิดแบบนี้จริง ๆ) จนทำให้พวกเขาต้องผลิตผลงานหรือบางสิ่งที่สบายตามากกว่าออกมาเสพกันเอง บางคนนำความเรียบง่ายมาจากจิตรกรรมนามธรรมแบบเรขาคณิต มุ่งหน้าเข้าหาความเรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติมากขึ้น และตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปเสีย แต่หากพูดถึงมินิมัลในแง่ของแฟชั่น ดีไซน์ หรือการตกแต่งบ้าน สิ่งที่คนไทยจะคุ้นเคยคือมินิมัลแบบญี่ปุ่น อาจเป็นเพราะประเทศไทยอยู่ในทวีปเดียวกับญี่ปุ่น มีความใกล้ชิดรู้จักกับมินิมัลญี่ปุ่นมากกว่ามินิมัลแบบอื่น ๆ และนอกจากญี่ปุ่นที่คนไทยส่วนใหญ่นึกถึง อีกที่ที่หนีไม่พ้นคือความเรียบง่ายแบบสแกนดิเนเวีย ชาวมินิมัลทุกโลกต่างให้ความสำคัญกับวัตถุดิบไม่น้อยไปกว่าสไตล์ พวกเขาจะพยายามเลือกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ข้าวของเครื่องใช้ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติที่สะอาดตา มีกรรมวิธีสร้างที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ปราศจากการปรุงต่างมากจนเกินไป ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่พุทธศาสนานิกาย ‘เซน’ ได้รับความนิยมนับถือโดยชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก ใจความสำคัญของนิกายเซนคือการปลูกฝังให้ผู้คนเห็นความสำคัญถึงความเรียบง่าย สามารถนำตัวเองอยู่ร่วมกับธรรมชาติมากกว่าวัตถุ
‘แม้ยากูซ่าคือกลุ่มคนที่มีจำนวนไม่น้อยในสังคมญี่ปุ่น แต่คนญี่ปุ่นที่มีอาการฮิคิโคโมริ มีมากกว่ายากูซ่าถึง 10 เท่า’ ฮิคิโคโมริ ซินโดรม (Hikikomori Syndrome) หมายถึง ชื่อที่นิยามถึงบุคคลผู้ปฏิเสธการเข้าสังคม เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปใช้ชีวิต ไม่ไปโรงเรียน ไม่ไปทำงาน บางคนจะไม่สุงสิงกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว บางคนหนักข้อถึงขั้นไม่คุยกับใครเลยแม้กระทั่งพ่อแม่พี่น้อง โดยระยะเวลาการตัดขาดที่จะทำให้ถูกนับว่าเป็นฮิคิโคโมริจะเริ่มต้นจาก 6 เดือน จนถึงตลอดชีวิต ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขคาดว่าทั่วประเทศญี่ปุ่น มีคนเป็นฮิริโคโมริมากถึง 1.15 ล้านคน ถือว่าเป็นจำนวนที่มากจนรัฐบาลต้องกลับมาถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่า ความผิดพลาดอะไรที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นนับล้านเลือกปิดกั้นตัวเองออกจากผู้คน ตัวเลข 1.15 ล้านคน คือจำนวนคร่าว ๆ ที่ทางกระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์ ทว่า จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องคิโคโมริ ซินโดรม มองว่า ตัวเลขดังกล่าวคือเสี้ยวเดียวของชาวญี่ปุ่นที่กำลังเผชิญกับอาการนี้ โดยเขาคิดว่าน่าจะมีคนญี่ปุ่นกว่า 2 ล้านคนที่ประสบอาการดังกล่าว และตัวเลขนี้จะพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี จนถึงหลักสิบล้านคน จุดเริ่มต้นของการเกิดอาการฮิคิโคโมริมีหลายสาเหตุด้วยกัน แต่ละคนก็มีเรื่องราวต่างกันออกไปโดยเฉพาะกับความผิดหวังขั้นรุนแรง เด็กบางคนตัดสินใจเลือกเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเพราะผลคะแนนสอบไม่เป็นอย่างหวัง บางคนผิดหวังเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือสะเทือนใจจากการถูกเพื่อนร่วมชั้นรังแก ผู้ใหญ่ที่ตกงานมาเป็นเวลานานบางคนอาจรู้สึกหมดกำลังใจจะใช้ชีวิตต่อ หมดกำลังใจ รู้สึกด้อยค่าในตัวเอง
ซามูไรคือกลุ่มนักรบที่ถูกยกย่องพูดถึงต่อชาวญี่ปุ่นเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเมื่อไหร่เรื่องราวของพวกเขาจะถูกหยิบมาเล่าหรือพูดถึงในวงสนทนาเสมอ แถม UNLOCKMEN ยังได้หยิบยกเรื่องราวของเหล่าซามูไรในหน้าประวัติศาสตร์มาเล่าอยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็น มิยาโมโตะ มูซาชิ , ซามูไรคนสุดท้ายผู้ยิ่งใหญ่ ไซโง ทากาโมริ , มังกรตาเดียว ดาเตะ มาซามูเนะ หรือเรื่องราวของ ซามูไรหญิง โทโมะเอะ โกเซ็น เราก็ได้เล่ามาหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้พูดถึง ซามูไรนักปฏิวัติผู้ล้มล้างอำนาจของโชกุนอย่าง ซากาโมโตะ เรียวมะ เลยสักครั้งจนกระทั่งวันนี้ ซากาโมโตะ เรียวมะ (Sakamoto Ryoma) คือชายที่ถูกคนญี่ปุ่นพูดถึงมากในปี 2010 เมื่อนิตยสาร Japan Time ทำผลสำรวจวัยรุ่นทั้งชายหญิงว่า ‘อยากมีผู้นำที่เหมือนกับบุคคลใดในประวัติศาสตร์’ ซึ่งวัยรุ่นส่วนใหญ่ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากจะมีผู้นำหรือนักการเมืองแบบเรียวมะ ซามูไรที่มีตัวตนจริงช่วงปลายยุคเอโดะ ผู้ใช้ชีวิตโลดโผนและมุ่งมั่นทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ เรียวมะเกิดในปี 1816 แถบจังหวัดโคจิในปัจจุบัน เป็นบุตรชายคนโตจากตระกูลค้าขายสาเกที่ได้ตกลงของซื้อศักดินาเป็นซามูไร การตกลงซื้อขายศักดินาทำให้ครอบครัวซากาโมโตะถือเป็นซามูไรชั้นปลายแถว ไม่มีบทบาทต่อสังคมและการเมืองในระดับใหญ่มากนัก วัยเด็กของเรียวมะค่อนข้างน่าอดสู เขาเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ขี้แย ที่มักถูกเพื่อน ๆ แถวบ้านรังแกอยู่บ่อยครั้ง พี่สาวของเขาจึงบอกกับที่บ้านให้ส่งเรียวมะไปฝึกฝนอยู่ในสำนักดาบแทน พอได้จับดาบ
คำว่ากระสุนยาง อาจจะฟังดูดี ให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มไม่รุนแรง แต่ที่จริงแล้วกระสุนยางนั้นมีอันตรายที่สามารถทำให้ผู้คนบาดเจ็บสาหัส สูญเสียอวัยวะ หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ ภาพที่น่ากลัวจากผลของกระสุนยางจากเหตุการณ์ประท้วงกรณี “George Floyd” ในอเมริกา เป็นหลักฐานพิสูจน์ความน่ากลัวของมันได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น Linda Tirado นักข่าวที่ต้องตาบอด วัยรุ่นที่กรามหัก หรือคนบริสุทธิ์ที่โดนลูกหลงจนกระดูกคิ้วแตกยุบเข้าไปอย่างน่าสะพรึงกลัว เมื่อดูจากสถานการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้นในบ้านเรา น่าจะมีวิธีการควบคุมอีกมากมายที่เหมาะสมกว่าการเตรียมใช้กระสุนยาง จนมีคำถามมากมายเหลือเกินว่า การเตรียมปืนพร้อมกระสุนยางไว้รับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น ดูจะเกิดความจำเป็นไปหน่อยหรือไม่ กระสุนยาง หรือ Rubber Bullet หรือ Baton Rounds เป็นหนึ่งในอาวุธที่มีเป้าหมายเพื่อควบคุมความรุนแรงในกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ หยุดยั้งพฤติกรรมที่อาจก่อความสูญเสียจากการจลาจลที่อันตราย แม้จะเรียกว่ากระสุนยาง แต่มันก็คือแกนเหล็กที่มียางห่อหุ้มด้านนอก หรือแม้จะเป็นกระสุนแบบอื่นในกลุ่ม Baton Rounds เช่น Plastic, Wax, Wood ก็มีเหล็กหรือตะกั่วเป็นส่วนประกอบอยู่ดี ซึ่งหากยิงผิดวิธีเช่นเล็งเข้าหาร่างกายโดยตรง หรือยิงโดนในระยะใกล้ ก็สามารถสร้างความรุนแรงได้ไม่แพ้กระสุนจริง ในประวัติศาสตร์มีการใช้กระสุนดัดแปลงมาอย่างยาวนาน หลักฐานที่เก่าแก่ของกระสุนปืนแบบ KE (kinetic impact projectiles or KIPs) ย้อนไปในประเทศสิงคโปร์ปี 1880s เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กระสุนไม้ยิงเพื่อควบคุมฝูงชน