“คุณเข้าโซเชียลมีเดียครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และใช้เวลากับมันนานแค่ไหน” ว่ากันตามตรง ประโยคคำถามข้างต้นมันเป็นคำถามที่ส่วนตัวแล้วเราเองก็ไม่ค่อยอยากจะเอามาพูดถึงบ่อย ๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่งานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันอยู่แล้วว่าถ้าใช้มากไปก็อาจมีผลเสียตามมา แต่พวกเราหนุ่มเมืองยังคงต้องใช้มันเป็นช่องทางสื่อสาร ส่งงาน แชร์ความรู้ หรือประชุมงาน ดังนั้น เวลามีเรื่องอัปเดตเกี่ยวกับข้อมูลพฤติกรรมการใช้โซเชียลที่น่าสนใจ มีผลกับเราโดยตรง เราจึงเห็นว่าตัองเอามาบอกกัน เพราะอย่างน้อยรู้ไปก็ดีกว่าไม่รู้ ส่วนจะจัดสรรเวลาให้ดีขึ้นได้ไหม เราเองก็คิดว่าต่อให้แน่นแค่ไหนก็คงยังพอมีทางออกให้ได้บ้าง IG, SNAPCHAT & FACEBOOK gonna killed US? ล่าสุดในวารสาร Journal of Social and Clinical Psychology ประจำเดือนธันวาคมตีพิมพ์ผลวิจัยที่ว่าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียกับความเหงาว่ามันติดกันมาเป็นแพ็คคู่ โดย Penn research เขาวิจัยกันจริงจังด้วยการทดลอง “ตัดขาด” คนจากโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ไม่ว่าจะ Facebook, Snapchat และ IG แล้วพบว่าสุขภาพมันดีขึ้นจริง ๆ การทดลองนี้ใช้คนเข้าร่วมวิจัยทั้งหมด 143 คน (ผู้หญิง 108 คนและผู้ชาย 35 คน) จากกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ University
สมัครยิมมันไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สุขภาพดี หนุ่มเมืองอย่างเรารู้ดี เพราะความเป็นจริงเราใช้เวลาแค่ไม่กี่สิบนาทีต่อวันภายในพื้นที่จำกัดก็สามารถออกกำลังกายอย่างมีประสิทธิภาพได้ถ้าทำได้อย่างถูกหลักการ เช่นเดียวกับหลายบทความที่ UNLOCKMEN นำเสนอให้ทุกคนได้ทดลองทำกัน อีกหนึ่งหลักฐานที่ออกมายืนยันข้อมูลเรื่องนี้คือข้อมูลจาก BLUE ZONE หรือสถานที่ที่คนอายุยืนที่สุดในโลกโดยนับช่วงอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไปและสามารถเฉลิมฉลองอายุครบ 100 ปี เขาอยู่กันและคนชราเหล่านั้นล้วนเป็นคนฟิต สุขภาพดี แข็งแกร่งและมีชีวิตชีวาด้วยปัจจัยต่าง ๆ ทั้ง 9 เรื่องนี้ ซึ่งไม่มีเรื่องไหนเป็นการโหมออกกำลังกายสักนิด แต่หลายข้อในนี้มันก็เป็นแนวเดียวกับที่เราชาว UNLOCKMEN ใช้ปลดล็อกเป็นไลฟ์สไตล์อยู่แล้ว Move Naturally : เคลื่อนไหวแบบธรรมชาติ ไม่ต้องวิ่งมาราธอน ไม่ต้องใช้เทรนเนอร์หรือเข้ายิม แค่ลุกไปทำโน่นทำนี่ด้วย 2 เท้ากันแบบดิบ ๆ ใช้แรงชายอย่างเราขยับกายไปทำโน่นทำนี่ก็พอ โดยเฉพาะกิจกรรมเข้าจังหวะถ้าเอาไปบวกในหัวข้อนี้ด้วย เราก็ว่าไม่ผิดความหมายอะไร Know your purpose: ตั้งเป้าหมายของทุกวันที่ลืมตา ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ผู้ชายเราเองถ้าอยากถึงเป้าหมายก็ต้องไปให้สุด Down Shift : คลายเครียดเพื่อสร้างสุขให้ตัวเองเป็นประจำ อะไรที่ตึงต้องผ่อนจะทำให้สุขภาพดีขึ้น แน่นอนว่าผู้ชายเราเองก็มีทางออกหลายทาง แต่คนที่อยู่ในบลูโซนอย่างชาวโอกินาวาเขาใช้วิธีระลึกถึงบรรพบุรุษของพวกเขา ชาว Ikarian ใช้การนอนกลางวัน หรือชาว
ในเวลานี้คงไม่มีประเด็นไหนจะร้อนแรงและน่าสนใจสำหรับชาวโลกมากไปกว่า ‘การเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐอเมริกา 2018’ เพราะถึงแม้จะเป็นเรื่องราวภายในประเทศ แต่ก็ต้องยอมรับว่าสหรัฐอเมริกาคือมหาอำนาจของโลก ทุกนโยบายที่ผ่านสภาคองเกรสออกมาย่อมส่งผลต่อคนทุกหย่อมหญ้าไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก ซึ่งตอนนี้ถึงแม้การนับคะแนนจะยังไม่สิ้นสุด แต่โฉมหน้าของผู้ชนะก็ปรากฏแล้ว อย่างไรก็ตามก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักการเลือกตั้งกลางเทอมกันก่อนดีกว่า What is U.S. Midterm Elections? ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจโดยง่ายการเลือกตั้งกลางเทอมคือการประเมินว่าพอใจกับการทำงานใน 2 ปีที่ผ่านมาของประธานาธิบดีหรือเปล่า ถ้าไม่พอใจก็จะมีสิทธิตัดสินใจอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามจะไม่มีการเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีในการเลือกตั้งกลางเทอม ในการเลือกตั้งกลางเทอมนี้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะลงคะแนนเลือกสมาชิกสภาคองเกรส ซึ่งในที่นี้ก็คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคน และ 1 ใน 3 ของสมาชิกวุฒิสภา สภาคองเกรสคือการรวมกันของสภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภา สมาชิกทั้งสองสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีทั้งหมด 435 คน โดยแต่ละคนคือตัวแทนจากเขต ๆ หนึ่ง มีวาระการปฏิบัติงานสองปี จำนวนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นอยู่กับประชากรของมลรัฐนั้น ๆ สำหรับจำนวนสมาชิกวุฒิสภานั้น ทุกรัฐจะมีสมาชิกวุฒิสภาสองคนเท่ากันหมด ดังนั้น สหรัฐอเมริกาจึงมีสมาชิกวุฒิสภาทั้งสิ้น 100 คน วาระการปฏิบัติงานของสมาชิกวุฒิสภาคือ 6 ปี ความสำคัญของการเลือกตั้งกลางเทอมคือเป็นการกำหนดว่าพรรคใดจะคุมอำนาจในสภาคองเกรสซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการปกครองประเทศของสหรัฐอเมริกาที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการบัญญัติกฎหมาย คำถามต่อมาคือเมื่อ 2 ปีที่แล้วพรรค Republican ของโดนัล ทรัมป์คว้าเสียงข้างมากไปครอง แต่ถ้าในครั้งนี้สถานการณ์เกิดพลิกผัน พรรค Democrats เกิดพลิกกลับมาเป็นเสียงข้างมาก ผลที่ตามมาคืออะไร
ถ้าพูดถึงประเทศสหรัฐอเมริกา เรามักได้ยินการนิยามว่าเป็น “ประเทศแห่งเสรี” ทำให้ครั้งหนึ่งคำว่า “American Dream” หรือการฝันอย่างอเมริกันจึงกลายเรื่องระดับโลก เป็นความฝันที่ใครก็ล้วนใฝ่หาและต้องการเดินทางไปตั้งรกราก เพราะมีทั้งความเจริญ ความเท่าเทียม และอิสระ เรียกได้ว่าเป็นดินแดนในฝันที่ใครก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเศรษฐีได้ จึงไม่แปลกที่ล่าสุดเมื่อผลสำรวจประชากรชาว Freelancer ในสหรัฐฯ ประจำปีนี้เผยตัวเลขว่ามีคนเลือกเป็นฟรีแลนซ์จำนวนถึง 56.7 ล้านคน เราจะรู้สึกไม่ประหลาดใจ แต่ไม่ใช่แค่ตัวเลขเท่านั้นที่น่าสนใจ UNLOCKMEN ยังมีเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจเกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้มาแบ่งปันกันด้วย American Dream: Past & Present ใครที่ดูหนังต่างประเทศบ่อย ๆ จะได้ยินคำว่า “American Dream” กันมาบ้าง ซึ่งส่วนมากเรื่องราวจะออกแนวการเดินทางจากต่างดินแดนเข้าไปในอเมริกาเพื่อตามหาความฝัน ซึ่งความฝันเหล่านั้นมักจะผลิตซ้ำเรื่องการเป็น “Somebody” ด้านอาชีพ เช่น อยากจะเป็นนักมวยอาชีพ นักดนตรีอาชีพ ก็จะฝึกมันครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าจะได้เป็น หรือ Underdog เองก็มีสิทธิผันตัวเองเป็นเศรษฐีใหม่ได้เสมอ หากขยันและร่ำรวย อาชีพ Freelance หรือการรับจ้างเป็นมือปืน จึงอาจเป็นเรื่องของการหารายได้เสริมเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ค่านิยมความฝันของคนเราก็เริ่มเปลี่ยน ความรู้สึกอยากเป็น “Somebody” มันเริ่มจางลง
นับตั้งแต่แคนาดาเป็นประเทศแรกในกลุ่ม G20 ที่มีการประกาศให้กัญชากลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายในการใช้เพื่อนันทนาการ ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา และถึงจะมีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีในการควบคุมและจัดระเบียบให้การซื้อ-ขายให้เป็นไปตามกฎหมาย กำหนดทุกอย่างเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาภายหลัง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมคิดถึงสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งกำลังต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ นั่นคือ ปริมาณกัญชามีไม่เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์สาย High ในประเทศนั่นเอง เกิดปัญหาที่หลายคนไม่เคยคาดคิดมาก่อนเมื่อร้านกัญชาถูกกฎหมายทั่วประเทศแคนาดาต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกัน คือปัญหาของขาด กัญชาภายในร้านมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนสายชีวจิต ซึ่งเกิดจากความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นสังเกตุได้จากยอดสั่งซื้อจำนวนมหาศาลหลังจากที่รัฐบาลเปิดให้สูบกันได้อย่างเสรี รวมไปถึงปัญหาการกระจายสินค้าในระบบโลจิสติกส์และไปรษณีย์ซึ่งยังไม่คุ้นเคยกับธุรกิจดี ที่สำคัญคือปริมาณการปลูกยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการถึงขนาดทำให้ร้านขายกัญชาในรัฐควิเบกต้องแก้ไขด้วยการเปิดเพียง 3 วัน/สัปดาห์ เพื่อคงปริมาณสต๊อกของในร้านให้เพียงพอ ก่อนสินค้าล็อตต่อไปจะส่งมาถึง เรียกว่าดูดกันจนแถบจะสูญพันธุ์ไปจากประเทศเลยทีเดียว นอกจากนี้ในรัฐออนตาริโอซึ่งไม่มี Physical Retailers ในพื้นที่เลยสักร้านเดียว โดยประชาชนในรัฐต้องสั่งซื้อกัญชาทางไปรษณีย์ซึ่งยุ่งยากและล่าช้ากว่าการซื้อที่ร้าน ว่ากันว่าภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังจากมีการประกาศในกัญชาถูกกฎหมาย มียอดสั่งซื้อทะลักมากกว่า 100,000 รายการ แต่ทางรัฐไม่สามารถจัดส่งได้อย่างทั่วถึง แถมทั้งยังสุ่มยกเลิกคำสั่งซื้อในกรณีที่มีคนซื้อเยอะเกินไปอีกด้วย และโชคร้ายก็ไปตกกับหนุ่มนักศึกษาคนหนึ่งที่สั่งซื้อไปแถมยังถูกหักเงินในบัตรเครดิต แต่กลับไม่มีของส่งมาให้ล่องลอยที่บ้านซะงั้น ใครจะไปคิดว่า เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากกัญชาถูกทำให้เสรีแคนาดาจะต้องเจอกับวิกฤตการณ์ “ของขาด” ถึงแม้รัฐบาลจะบอกว่ามีการเตรียมตัวมาอย่างดี แต่กระแสความต้องการของมันกลับพุ่งทะยานสูงขึ้นกว่าก่อนหน้า และว่ากันว่านี่เป็นการท้าทายครั้งสำคัญของรัฐบาลแคนาดาที่จะต่อสู้แย่งชิงส่วนแบ่งจากสิ่งที่เคยมีมูลค่าอยู่ในตลาดมืดสูงถึง 5.3 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ด้วยการเพิ่มจำนวนกัญชาในร้านถูกกฎหมายให้เพียงพอกับความต้องการของสายเขียวในประเทศ ก่อนที่คนเหล่านั้นจะเบือนหน้าหนีหันไปพึ่งคนขายตามหัวมุมถนนอีกครั้งเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะซื้อกับรัฐบาล ได้ของคุณภาพดี มีการตรวจสอบ แถมภาษียังถูกนำไปพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง เรียกว่าเมาช่วยชาติก็ไม่ผิดนัก ในไตรมาสต์ที่ 4 ของปี
หลังจากวุ่นวายอยู่กับการออกแบบรองเท้าประจำตัวร่วมกับ Adidas มาสักพักใหญ่ ๆ ล่าสุดศิลปินมากความสามารถ Pharrell Williams ก็เตรียมพักงานสตรีตเพื่อเตรียมตัวออกแบบคอลเลกชันใหม่ร่วมกันห้องเสื้อโอ กูตูร์สุดหรูหราอย่าง Chanel แถมยังแอบได้ยินมาว่าการร่วมงานระหว่างครั้งนี้มีแผนจะใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่เปิดตัวคอลเลกชันอีกด้วย หลายคนทราบกันดีว่าศิลปินและโปรดิวเซอร์ชื่อดังจากสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ที่ดีกับ Karl Lagerfeld ซึ่งเป็น Creative Director ของ Chanel มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยทำงานร่วมกันแบบจริงจังมาก่อนนอกจากรองเท้า Chanel x Pharrel Williams x Hu NMD เมื่อปี 2017 เท่านั้น แต่ข่าวลือเรื่องการคอลแลปส์ของทั้งสองก็เริ่มหนาหูขึ้นอีกครั้งหลังจากที่มีรูปถ่ายของ Pharrell Williams ในงานเปิดตัวคอลเลกชัน ChanelCruise ที่กรุงเทพมหานครในวันพุธที่ 30 ตุลาคมที่ผ่าน เขาปรากฏตัวในเสื้อฮู้ดสีเหลืองสดซึ่งคาดว่าเป็นหนึ่งในงานออกแบบของเขาเอง มีการใส่รายละเอียดของความเป็น Chanel ลงไปตัวเสื้อเช่น CC logo ตรงหน้าอกซ้ายหรือ Coco N.5 ที่ถูกวางไว้ตรงกลางเสื้อ นอกจากนี้ยังปรากฏวิดีโอใน Instagram ที่ของผู้ใช้ที่ชื่อว่า dutchesscathy ซึ่งถ่ายระหว่างที่ศิลปินหนุ่มกำลังขึ้นแสดงอยู่ โดยจะเสียงตะโกนจากลุ่มคนดูในเชิงว่าต้องการเสื้อตัวที่เขาใส่ ซึ่ง
ก่อนจะเริ่มอ่านคอนเทนต์นี้ เราอยากให้ทุกคนลองมองไปรอบ ๆ ตัวและลองนับจำนวนวัสดุอุปกรณ์ที่ทำมาจากพลาสติกดู คุณจะพบในทันทีว่าพลาสติกมีบทบาทกับชีวิตประจำวันของคนเรามากแค่ไหน โลกใบนี้เต็มไปด้วยพลาสติกจำนวนมหาศาล และอยู่ในทุกที่ทุกสิ่ง คิดภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพลาสติก โลกใบนี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วมันยังไงล่ะ? คุณอาจจะคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะพลาสติกเมื่อใช้เสร็จก็จะมีหน่วยงานเก็บไปรีไซเคิลกลับมาให้ใช้ได้ใหม่อีกครั้ง อาจจะคิดว่าการเพียงแค่แยกขยะให้ถูกต้องก็เพียงพอแล้ว โลกจะไม่โดนทำร้าย โดยไม่รู้ตัวเลยว่าชุดความคิดเหล่านี้กำลังทำร้ายโลกอย่างช้า ๆ จากผลกระทบเล็กน้อยเช่นการปนเปื้อนมลพิษในอากาศ นำไปสู่ภาวะโลกร้อนขั้นหายนะในท้ายที่สุด ถึงแม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลอังกฤษจะเพิ่งประกาศว่ากำลังพิจารณาวิธีรีไซเคิลพลาสติกรูปแบบใหม่ แต่นั่นก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยอะไรเลย เหตุผลสำคัญที่การรีไซเคิลค่อนข้างจะไร้ประโยชน์ เนื่องจาก 2 ใน 3 ของพลาสติกรอบตัวคุณนั้นเป็นพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ถ้าคุณสังเกตบนผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะมีข้อความว่า “Not currently recyclable” กำกับเอาไว้ ความเป็นจริงที่ทุกคนไม่อยากรับรู้คือพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้จะมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่การถูกฝังกลบในบ่อขยะ ดังนั้นสำหรับวัตถุอื่นการรีไซเคิลอาจเป็นแนวทางที่ได้ผล แต่นั่นตรงกันข้ามกับพลาสติกโดยสิ้นเชิง ถ้าจะพูดว่าสำหรับพลาสติกแล้วการรีไซเคิลแทบจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงก็ไม่ผิดนัก การรีไซเคิลไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลหรือองค์กรการกุศลทำเพราะความหวังดีห่วงใยสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด แต่มันคืออุตสาหกรรมที่มีมูลค่านับแสนล้านเหรียญทั่วโลก อย่างไรก็ตามการลดลงของราคาน้ำมันหรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศจีนส่งผลให้การรีไซเคิลพลาสติกมีกำไรลดลง ดังนั้นพลาสติกกว่า 70% ในยุโรปจะลงเอยด้วยการถูกฝังกลบในบ่อขยะ พลาสติกแตกต่างจากแก้วหรือโลหะที่สามารถรีไซเคิลได้อย่างไม่จำกัด และนอกจากจะยุ่งยากในการรีไซเคิลแล้ว การย่อยสลายก็ใช้เวลานานหลายศตวรรษ ขวดน้ำพลาสติกขวดหนึ่งสามารถอยู่บนโลกได้ถึง 450 ปีเลยทีเดียว และต่อให้การรีไซเคิลพลาสติกจะทำได้ง่ายเหมือนแก้วหรือโลหะก็ตาม แต่ขั้นตอนในการรีไซเคิลพลาสติกนั้นก็สร้างมลพิษมากมายทั้งกับสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ ดังนั้นจึงค่อนข้างชัดเจนว่าทางออกของปัญหาพลาสติกล้นโลกไม่ใช่การรีไซเคิล แต่คือการหยุดผลิตพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว พลาสติกแบบใช่ครั้งเดียวควรโดนแบนอย่างเด็ดขาดจากทั่วโลก หรืออย่างน้อยก็ตั้งกำแพงภาษีให้สูงสำหรับผู้ผลิต เช่นเดียวกับภาษีสุรา ยาสูบทั้งหลาย
เป็นที่ฮือฮาสั่นสะเทือนวงการ Gamer ทั่วโลกในงาน Blizzcon 2018 ที่ผ่านมาหมาด ๆ เมื่อ Blizzard ประกาศเปิดตัวความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ของเกม Action RPG ระดับ Iconic ชื่อดัง ‘Diablo’ ที่ได้ย้ายการผจญภัยสุดมันส์มาสู่ iOS และ Android Smartphone เรียบร้อยแล้วในชื่อ Diablo Immortal ตามกระแส Smartphone Gaming ที่กำลังมาแรงแซงทุกทางโค้ง Diablo ถือเป็นอภิมหาเกมที่อยู่คู่วัยรุ่นมาทุกยุคสมัย เรียกว่าติดมาตั้งแต่ยุค PC ยังไม่แพร่หลาย ตัวเกมเกี่ยวกับการเลือกตัวละครเข้าไปต่อสู้กับปีศาจสมุนของ Lord of Terror ในดินแดน Kingdom of Khanduras ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 31 ธันวาคม 1996 และมีภาค Extension pack อย่าง Hellfire ไปจนถึงการขยับจาก PC ไปสู่ Console อย่าง PlayStation รวมถึงภาคต่ออย่าง
ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องพูดกันอีกยาวสำหรับการใช้กัญญา ซึ่งปัจจุบันนอกจากทางการแพทย์ และใช้เพื่อผ่อนคลาย ยังมีการใช้ในระหว่างแข่งขันกีฬา โดยเฉพาะในกีฬาประเภทศิลปะป้องกันตัวอย่าง Brazilian Jiu Jitsu ซึ่งถูกปรับกติกาให้ทันยุคสมัยสายเขียวครองโลก ด้วยการจัด HIGH ROLLERZ ทัวร์นาเมนต์การแข่งขัน Brazilian Jiu Jitsu แบบพิเศษที่มีข้อกำหนดว่าผู้เข้าแข่งขันจะต้องจุดกัญชาดูดให้เต็มปอด high กันให้เรียบร้อย ก่อนลงทำการต่อสู้ และของรางวัลที่ได้สำหรับผู้ชนะก็คือ กัญชาคุณภาพดีห่อใหญ่ แหม่ อะไรจะชิวขนาดนั้น HIGH ROLLERZ ถูกจัดขึ้นโดย Lonn “Big Lonn” Howard และ Matt “Mighty Matt” สองคู่หูที่มีแนวคิดจะขับเคลื่อนให้การใช้กัญชาในกีฬาประเภทศิลปะป้องกันตัวเป็นที่ยอมรับ โดยร่วมมือกันกับกลุ่มคนที่ชื่นชอบในกีฬา UFC รวมถึงนักกีฬาที่สนใจในการต่อสู้จำนวนหนึ่ง ซึ่ง HIGH ROLLERZ จะรับสมัครผู้เข้าแข่งขันจำนวน 60 คนมาจับคู่กัน เพื่อหาผู้ชนะคนสุดท้ายที่จะครองรางวัลใหญ่ประจำทัวร์นาเมนต์เป็นกัญชาชั้นดีจำนวน 1 ปอนด์ (ครึ่งกิโลกรัม) เอากลับบ้านไปล่องลอยกันต่อฟรี ๆ ที่บ้านท่าน อีกเหตุผลหนึ่งที่พวกเขาจัดการแข่งขันครั้งนี้ขึ้นมา เพื่อสร้างความเข้าใจและแสดงให้เห็นว่าศิลปะป้องกันตัวแขนงนี้สามารถไปกันได้ดีกับกัญชา เพราะการเล่น Brazilian Jiu Jitsu ที่เป็นศิลปะป้องกันตัวสมัยใหม่
RM Sotheby’s บริษัทจัดประมูลรถชื่อดังเตรียมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในวงการประมูลรถอีกครั้ง หลังออกมาเปิดเผยว่าพวกเขาเตรียมนำรถแข่งโมเดลสุดคลาสสิกอย่าง FERRARI 290 MM รหัสเครื่อง 0628 1 ใน 4 คัน ออกประมูลในงาน The Petersen Automotive Museum Auction 2018 ในเดือนธันวาคมนี้ โดยคาดว่ามันจะกลายเป็นอีกไฮไลต์หนึ่งของการประมูลรถปีนี้ หลังจากเมื่อปี 2015 พี่น้องในรหัส 0626 เคยถูกนำออกประมูลจนราคากลายเป็นสถิติโลกมาแล้ว ความเป็นตำนานของ FERRARI 290 MM เริ่มต้นในปี 1956 ในโปรเจกต์พัฒนารถแข่งเพื่อเตรียมสำหรับการแข่งขัน World Sports Car Championship รวมถึงรายการ Mille Miglia จนเป็นที่มาของชื่อ MM ต่อท้าย ซึ่งในตอนนั้นพวกเขามี Mercedes-Benz หรือ Maserati เป็นคู่แข่งตัวฉกาจอยู่ในวงการ ในขณะที่ Enzo Ferrari เองก็ต้องการให้ความสำคัญกับการแข่งขันทุกประเภท ไม่ใช่เฉพาะการคว้าแชมป์โลกรถสูตร 1 เท่านั้น Ferrari จึงได้ผลิตรถ
ย้อนไปเมื่อปี 2010 หรือ 8 ปีที่แล้ว ถ้ามีคนเดินมาบอกว่าสโมสร Leicester City F.C. สโมสรที่คว้าอันดับ 5 ในลีคระดับ Championship ฤดูกาล 2009-2010 จะคว้าแชมป์ Premier League ในอีก 5 ปีต่อมา ผมคงด่าคน ๆ นั้นว่าบ้า เพ้อเจ้อ หรืออาจจะคิดว่าเขาเสพสารเสพติดมาเกินขนาด เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนก็แทบเป็นไปไม่ได้ อย่าว่าแต่แชมป์เลย แค่จะเลื่อนชั้นขึ้นสู่ Premier League ก็ยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขาแล้ว แต่แล้วชายชาวไทยคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมทุบทำลายกำแพงแห่งความเป็นไปไม่ได้นั้นทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง ชื่อของชายคนนั้นคือ ‘วิชัย ศรีวัฒนประภา’ จากสิงโตน้ำเงินคราม เช่นเดียวกับผู้ชายทั่วไป วิชัยและลูกชายอย่าง อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา หลงใหลในเกมลูกหนัง โดยเฉพาะศึก Premier League อังกฤษ ดังนั้นในปี 2010 ในขณะที่ Leicester City F.C. ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ในศึก Championship ทีมสุนัขจิ้งจอกทีมนี้จึงไม่ได้อยู่ในสายตาของพ่อลูกคู่นี้เลยแม้แต่น้อย เพราะในขณะนั้นพวกเขาคือสาวกตัวจริงของทีมสิงโตน้ำเงินคราม Chelsea และด้วยฐานะทางการเงินที่มั่งคั่ง วิชัยสนับสนุนทีมรักของตัวเองทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ็อกซ์ VIP แทบทุกปีหรือแม้กระทั่งการซื้อป้ายโฆษณาในสนาม Stamford
ดูเหมือน London และ New York จะแคบเกินไปแล้วสำหรับ Palace Skateboards สตรีตแวร์ชื่อดังจากประเทศอังกฤษ เพราะตั้งแต่พวกเขามีหน้าร้านเป็นของตัวเองครั้งแรกในปี 2015 มาวันนี้พวกเขาเตรียมขยับขยายกิจการข้ามทวีปมาเปิดสาขา 3 เอาใจสายสตรีตไกลถึงโตเกียว แต่เวลาเดียวกันก็เป็นเรื่องดีสำหรับหนุ่มไทย เพราะร้านมันย้ายมาอยู่ใกล้กว่าเดิมเยอะมาก จะได้มีเหตุผลในการไปเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งข้อ ใครจะคิดว่าแบรนด์สเก็ตบอร์ดที่สร้างขึ้นมาจากความหลงใหลอย่าง PalaceSkateboards หรือ Palace จะกลายมาเป็นแบรนด์สตรีตแวร์ซึ่งปัจจุบันคงพูดได้ว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกันกับแบรนด์ Supreme และ Stussy แบบไม่อายปาก พวกเขาเริ่มจากการไม่มีหน้าร้านเป็นของตัวเองโดยขายผ่าน Online Store เพียงช่องทางเดียวจากนั้นจึงเริ่มวางขายในร้านสเก็ตบอร์ดในตำนานของอังกฤษที่รู้จักกันอย่าง SLAM CITY SKATES ต่อมาไม่นานงานออกแบบที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นแบบแฟชั่นสเก็ตบอร์ดของอังกฤษยุค 90’s บวกกับการตลาดที่ไม่เหมือนใครก็ดึงดูดให้แบรนด์น้อยใหญ่สนใจพากันมาร่วม Collab ด้วยมากมายไม่ว่าจะเป็น Umbro, Reebox หรือว่า Adidas ทำให้พวกเขาถูกรู้จักเป็นวงกว้างมากขึ้น ขณะเดียวกันเสื้อผ้าของ Palace ก็เป็นที่ต้องการของแฟชั่นนิสต้าทั่วโลก ในปี 2015 ชายผู้ก่อตั้งแบรนด์ Lev Tanju ก็ตัดสินใจเปิดร้านเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อว่า The Palace ‘Pop-Off’ Shops ก่อนจะเปิดร้านสาขา 2 ขึ้นใน New