รอยสักถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน มีทั้งสักเพื่อบ่งบอกสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ หรืออย่างในบ้านเราที่สักเพื่อการใช้วิชาคาถาอาคม แต่ในปัจจุบันมันได้พัฒนากลายเป็นแฟชั่นสวยงามที่คนมากมายนิยมชมชอบ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย ส่วนใครที่มีแพลนที่จะสักหรือยังลังเล Unlockmen มี 6 ขั้นตอนเตรียมตัวก่อนโดนเข็มมาฝากเพื่อเพิ่มความพร้อมของคุณให้มากยิ่งขึ้น 1.เลือกลายที่ชอบกับตำแหน่งที่ใช่ ขั้นตอนแรกเบสิคมาก ๆ ก่อนที่จะเกิดลวดลายบนร่างกายเราเองก็ต้องคัดสรรค์สิ่งที่ชื่นชอบซะก่อน ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพต่าง ๆ หรือตัวอักษร หรือจะเป็นงานแบบโอลด์สคูลหรือนิวสคูล ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละบุคคล นอกจากนั้นยังต้องดูตำแหน่งบนร่างกายให้เหมาะสมอีกด้วย หากคุณทำงานที่เคร่งเรื่องรอยสักก็ควรสักไว้ใต้ร่มผ้า แต่ถ้าหากคุณไม่มีอะไรผูกมัดก็ซัดส่วนที่คุณอยากได้เลย 2.หาร้านตรงสเป็กและเชคความปลอดภัย ปัจจุบันมีช่างสักให้เลือกเป็นจำนวนมาก แต่ละคนก็มีความโดดเด่นและความถนัดที่แตกต่างกันออกไป แล้วยิ่งในยุคโซเชียล มีเดีย ถือเป็นโชคดีของบรรดาลูกค้าที่จะได้มีโอกาสได้ดูงานและรีวิวตามช่องทางต่าง ๆ เช่น Instagram หรือ Facebook ทำให้ช่วยตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากจะดูร้านที่ถูกใจแล้วการตรวจสอบความสะอาดของร้านไม่ว่าจะเป็นการดูแลอุปกรณ์ การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ หรือการเปลี่ยนเข็ม ก็เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะหากพลาดไปอาจจะโชคร้ายได้โรคกลับมาบ้านเป็นของแถม 3.ใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสม คุณต้องคำนึงถึงตำแหน่งที่จะสักเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นให้เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้เหมาะสมโดยเฉพาะสุภาพสตรีที่มีจุดสุ่มเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย คุณก็ควรจะต้องระมัดระวังมากกว่าเป็นพิเศษ 4.รับประทานอาหารก่อนรับงานสัก อย่าปล่อยให้ท้องของคุณว่าง และควรรับประทานอาหารที่มีกลูโคสเพราะร่างกายคุณจะเสียเลือดมากกว่าปกติ มันจะช่วยลดอาการหน้ามืดได้ และแน่นอนการรับประทานอาหารมาก่อนจะทำให้คุณไม่หิวระหว่างสักนั่นเอง 5.งดเครื่องดื่มมึนเมา นอกจากอาจจะคุยกับช่างสักไม่รู้เรื่อง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์มาก่อนจะทำให้เลือดของคุณไหลออกมามากเป็นพิเศษในขณะที่โดนเข็มกรีดไปตามร่างกาย ส่งผลงานงานสักเละ สักติดยาก แถมเปลืองกระดาษทิชชู่ชองช่างที่ต้องคอยมานั่งซับเลือดให้อีก
ศิลปะนอกจากจะถ่ายทอดออกมาจากปลายพู่กัน, ดินสอ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ได้แล้ว การใช้เข็มก็สามารถถ่ายทอดความงดงามออกมาได้เช่นกัน ซึ่งทุกคนต่างคุ้นเคยกับวิธีนี้กันเป็นอย่างดีและรู้จักกันในชื่อของ “งานสัก” แต่การถ่ายทอดมีความแตกต่างจากวิธีอื่น ๆ เพราะมีผิวหนังบนร่างกายของมนุษย์เป็นภาชนะในการรองรับ “ภาณุพงศ์ ลู” ใช้นามปากกาในการสักว่า “LUJU.TATTOOER” (LUJU มาจากคำว่า “ลู” = นามสกุล, “จู” = จูเนียร์ เพราะเป็นน้องคนเล็ก) จบการศึกษาจากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร คือหนึ่งในบุคคลที่นิยมชมชอบถ่ายทอดงานศิลปะที่ตัวเองหลงใหลลงบนผิวหนังด้วยสไตล์ที่แตกต่างและมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจกับการหยิบจับเอารูปของพืช, โครงกระดูก และสัตว์ ให้กลายมาเป็นงานสัก ทำให้ใครหลาย ๆ คนยอมควักเงินเพื่อจารึกรอยลงบนร่างกายของตัวเอง มาทำความรู้จัก LUJU ไปพร้อม ๆ กันเลยครับ จุดเริ่มต้นการเป็นช่างสัก “เป็นคนชอบงานสักมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วครับ ชอบรอยสักที่มันดูเล็ก ๆ เพราะตอนแรกเห็นรอยสักใหญ่ ๆ เต็มหลังแล้วรู้สึกกลัว แต่มาเริ่มสนใจอยากเป็นช่างสักจริง ๆ คือตอนเรียนอยู่ปี 2 เป็นช่วงกำลังหางานพิเศษทำแล้วบังเอิญไปเห็นพวกช่างสักทำให้เรารู้สึกสนใจ ก็เลยตัดสินใจไปซื้ออุปกรณ์มาลองสักดูครับ” “ตอนแรกก็เริ่มฝึกจากสักลงบนหนังเทียม ต่อมาก็ได้มีโอกาสลองบนร่างกายของเพื่อน ใช้เวลาฝึกอยู่ประมาณ
Street Art ผลงานศิลปะข้างถนนที่หลายคนอาจจะมีมุมมองด้านลบกับมัน รู้สึกกับมันเป็นเพียงสิ่งที่สร้างความเลอะเทอะให้กับสังคม แต่แท้จริงแล้วผลงาน Street Art เช่นในสายของ Graffiti กลับมีความหมายหลาย ๆ อย่างซ่อนอยู่ในผลงานศิลปะข้างถนนเหล่านั้น มีทั้งความฝัน แรงบันดาลใจที่ใส่ลงไปในกระป๋องสเปรย์และถูกถ่ายถอดออกมาลงบนผืนกำแพงในที่รกร้าง และลวดลายเหล่านั้นมันมีส่วนช่วยให้พื้นที่ต่าง ๆ ในสังคมมีความหมายมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น Temporary West คือหนึ่งในกลุ่มที่สร้างสรรค์ผลงาน Street Art ที่เริ่มต้นจากความชอบจนต่อยอดไปสู่การพัฒนาชุมชนทั่วไป รวมไปถึงในพื้นที่บ้านเกิด จนได้รับการยอมรับจากสังคม พวกเขามารวมตัวกันได้อย่างไร? อะไรคือเป้าหมายในการสร้างผลงานศิลปะที่ไร้ขอบเขต? มาทำความรู้จักพวกเขาไปพร้อม ๆ กันครับ TEMPORARY WEST การรวมตัวของเพื่อน “พวกเราเป็นกลุ่มเพื่อนที่ชวน ๆ กันมาทำงานครับ มารวมตัวกันช่วงทำโปรเจกต์ Art Town ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่มันไม่สนุกถ้าทำคนเดียว ก็เลยชวน ๆ เพื่อนกันมารวมตัวกัน พอรวมกันเยอะๆ มันรู้สึกคลิกกัน ก็เลยตัดสินใจรวมกันเป็นกลุ่ม หลังจากนั้นก็ทำกันมาเรื่อย ๆ เลยครับ” “ส่วนชื่อกลุ่มได้มาจากในกรุ๊ปไลน์ครับ ที่ตั้งว่า ‘Temporary West’ เพราะว่าเราได้ไปทำกิจกรรมกันที่ประจวบคีรีขันธ์
โลกใบนี้เต็มไปด้วยผลงานศิลปะจำนวนมาก หลากหลายชิ้นล้วนมีคุณค่าต่อผู้ซึ่งหลงใหลในศิลปะ รวมไปถึงคนที่มองเห็นในคุณค่าของผลงานเหล่านี้ และด้วยคุณค่าทางจิตใจและมูลค่ามหาศาลในตัวนี้เอง ที่ทำให้ผลงานศิลปะบางชิ้นถูกขโมยและหายเข้าสู่ตลาดมืดแบบไม่สามารถจับมือใครดมได้ แม้จะมีงานศิลปะหลายชิ้นถูกตามกลับคืนมาได้ แต่ก็ยังมีอีกจำนวนมากที่ยังคงสาบสูญ แต่ในโลกของศิลปะถือว่ายังโชคดีที่มีชายอย่าง ‘อาเธอร์ แบรนด์’ ที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้พยายามตามหาและกู้คืนผลงานศิลปะจำนวนมากให้กลับไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่อีกครั้ง แต่ด้วยการกู้คืนผลงานศิลปะมากกว่า 200 ชิ้นหากจะพูดถึงผลงานทุกชิ้นคงเป็นเรื่องที่ยาวเกินไป วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักเขา ผ่านผลงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซ 3 ชิ้นที่เขามีส่วนนำกลับมาให้โลกได้ชื่นชมความสวยงามอีกครั้ง แต่จะมีผลอะไรของศิลปินคนไหน มาติดตามไปพร้อมกัน แหวนของ ออสการ์ ไวลด์ ผลงานการสืบตามหางานศิลปะชิ้นแรก ๆ ที่ทำให้อาเธอร์ แบรนด์ ถูกรู้จักในฐานะยอดนักสืบคือแหวนของออสการ์ ไวลด์ ยอดกวีชาวไอริชที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1854-1900 เป็นแหวนทอง 18 กะรัตที่นักประพันธ์มอบเป็นของขวัญให้กับเพื่อนนักเรียนของเขาในปี 1876 ซึ่งต่อมาถูกเก็บเอาไว้โดยมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด เรื่องราวย้อนกลับในปี 2002 ในตอนที่มันถูกขโมยไปโดยพนักงานทำความสะอาด ซึ่งต่อมาถูกจับและอ้างว่าได้ขายไปให้คนรับซื้อเศษเหล็กในราคา 150 ปอนด์ ซึ่งมูลค่าของแหวนในตอนนั้นอยู่ที่ 35,000 ปอนด์ แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อพนักงานคนนั้น เขาถูกส่งตัวเข้าตาราง แต่แหวนของออสการ์ ไวล์ก็ได้สูญหายไปนับตั้งแต่นั้น จนกระทั่งในปี 2015 เกิดการโจรกรรมเครื่องประดับใน Hatton Gargen
ต้องยอมรับว่าจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อสังคมที่เป็นปัจเจกบุคคลอาจยังไม่พอทุเลาสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 การกระตุ้นและรณรงค์ผ่านสื่อออนไลน์จึงเป็นอีกเครื่องมือช่วยเปลี่ยนปรับพฤติกรรมที่ใช้ได้ผล ทว่าบางครั้งข้อมูลที่ประชาชนได้รับเป็นทางการมากเกินไป ใช้ศัพท์วิชาการที่เข้าใจได้เฉพาะกลุ่ม หรืออัดแน่นเบียดเสียดไปด้วยตัวอักษรที่มักจะทำให้ใครหลายคนไม่อยากคลิกเข้าไปอ่าน งานดีไซน์เจ๋ง ๆ ที่ทำให้คนเข้าใจไวรัสง่ายกว่าเดิม ต่อให้ใช้ข้อมูลเดียวกันและส่งไปยังกลุ่มผู้อ่านที่ต่างกัน ก็ไม่อาจรับประกันว่าผู้รับสารที่เป็นทั้งเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุจะเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดในทิศทางเดียวกันได้ เหล่าศิลปินและนักออกแบบจึงผลิตผลงานสุดสร้างสรรค์เพื่อรณรงค์และแนะนำวิธีการใช้ชีวิตอย่างถูกต้องในช่วงที่ไวรัสแพร่ระบาด พวกเขานำความคิดสร้างสรรค์ผนวกเข้ากับสัญลักษณ์ รูปภาพ ตัวอักษร และการจัดองค์ประกอบเพื่อสื่อความหมายเชิงทัศนศิลป์ และช่วยให้ผู้รับสารเข้าใจเนื้อหาสาระทั้งหมดที่ต้องการสื่อได้ง่าย ๆ เพียงตาเห็น ภาพเคลื่อนไหวจำลองพลังของเชื้อไวรัส Harry Stevens จากหนังสือพิมพ์ The Washington Post จำลองภาพโมชั่นกราฟิกให้เห็นถึงพลังของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งประชาชนอยู่ใกล้ชิดกันในพื้นที่สาธารณะมากเท่าไร ยิ่งทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายง่ายขึ้นมากเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นตามมาได้ นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานดีไซน์ที่ตอกย้ำว่า Social Distancing หรือการเว้นระยะห่างจากสังคม ยังเป็นเรื่องสำคัญเสมอตราบเท่าที่เราไม่อาจมองเห็นเชื้อไวรัสด้วยตาเปล่า หรือยังไม่มีวัคซีนจำนวนมากพอจะยับยั้งไวรัสได้อย่างขาดรอย ภาพประกอบสุดกวนที่เล่าอาการของผู้ติดเชื้อ ผู้สื่อข่าวสายข้อมูลชาวอังกฤษ Mona Chalabi โพสต์ภาพวาดประกอบของเธอลงใน Instagram ส่วนตัวเพื่ออธิบายอาการของผู้ติดเชื้อ COVID-19 แบบเข้าใจง่าย เธอใช้ภาพวาดสุดกวนที่ดูตลกและสร้างสรรค์ในเวลาเดียวกันสื่อความหมายว่าอาการผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ต่างจากผู้ป่วยโรคไข้หวัดอย่างไร แถมสีสัน สายเส้น และฟอนต์ตัวอักษรที่เธอเลือกใช้ก็ไม่ได้ดูหดหู่หรือเคร่งเครียดเกินไปด้วย ไม้ขีดไฟที่ไม่ถูกเผาไหม้
นอกจากศิลปะรูปธรรมที่ลอกเลียนรูปทรงของธรรมชาติ เน้นความสมจริง และทำให้เราเข้าใจความหมายตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น อีกด้านยังมีศิลปะนามธรรมที่ยากจะเข้าใจ เต็มไปด้วยความคลุมเครือ และอาจหาคำจำกัดความให้กับสิ่งที่เห็นไม่ได้ บนโลกนี้มีศิลปินหลายต่อหลายคนที่ใช้ศิลปะแบบนามธรรม (Abstract Art) สื่อความหมายผ่านรูปทรง สีสัน และลายเส้นที่ไร้รูปแบบตายตัว ซึ่งศิลปะแนวนี้ไม่ได้เน้นความสมจริงหรือรูปทรงที่แน่ชัดแบบรูปธรรม ทว่าเน้นอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อผลงานชิ้นนั้น ๆ กระทบต่อสายตาผู้ชม ยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมถูกพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด วิธีการสร้างงานศิลปะเองก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ศิลปินยุคใหม่บางคนไม่ได้ยึดติดกับการใช้ฝีแปรงละเลงลงบนผืนผ้าใบอีกต่อไป แต่ใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชันล้ำสมัยและแพลตฟอร์มออนไลน์สร้างงานศิลปะแนวใหม่พร้อมจัดแสดงในเวลาเดียวกัน Michael Strevens ศิลปินดิจิทัลในลอนดอนผู้นี้ ใช้สมาร์ตโฟนและแอปพลิเคชันแต่งภาพสร้างคอลเลกชันศิลปะของตัวเองใน Instagram จนเกิดเป็นกระแสไวรัลทั่วโลกศิลปะออนไลน์ แรงบันดาลใจของ Michael Strevens เริ่มขึ้นในปี 2012 ที่เขาซื้อ iPhone มาใช้ครั้งแรกและเพิ่งรู้จักกับแอปพลิเคชัน Instagram เขาเข้าไปสำรวจภาพถ่าย ผลงานสถาปัตยกรรม รวมทั้งภูมิทัศน์ของเมืองทั่วยุโรปในแอปพลิเคชันนี้ ขณะเสพผลงานไปเรื่อย ๆ เขาค้นพบว่าตัวเองหลงใหลการถ่ายภาพและอยากสร้างผลงานศิลปะเจ๋ง ๆ ด้วยสมาร์ตโฟน จึงผันตัวมาเป็นศิลปินดิจิทัลเต็มตัวตั้งแต่ปี 2012 และอัปโหลดผลงานลงใน Instagram เพื่อจัดแสดงผลงานจนถึงทุกวันนี้ ผลงานของเขามีทั้งภาพสีและภาพขาวดำ เส้นตรงและเส้นโค้ง แถมยังโดดเด่นด้วยการเล่นกับเส้น ความละเอียดคมชัด มุมมองสายตาผู้ชม และรูปแบบเดิม ๆ
คงไม่แปลกถ้าการใช้ชีวิตท่ามกลางยุคที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดเฉกเช่นตอนนี้ ทำให้ผู้ชายหลายคนรู้สึกหดหู่และสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก หันไปมองถนนหนทางก็เงียบสงัด ร้านค้าร้านอาหารไร้ผู้คน แถมยังมีบรรยากาศรอบตัวเงียบเหงาพาให้ใจหวาดหวั่นยิ่งกว่าเดิม หนุ่มบางคนใช้ซีรีส์เรื่องโปรดในเน็ตฟลิกซ์เป็นตัวช่วยทุเลาความเครียด บ้างอุดสองรูหูด้วยเสียงดนตรีหวังผ่อนคลายจิตใจ แต่ถ้าลองทำสองวิธีนี้แล้วยังไม่ได้ผล แถมอยู่บ้านเฉย ๆ นับวันก็ยิ่งเบื่อ หมดหวัง และไม่รู้จะทำอะไรดี UNLOCKMEN ขอชวนคุณมาจัดทริป Virtual Tours เดินชมผลงานศิลปะเจ๋ง ๆ ในแกลเลอรีและพิพิธภัณฑ์ระดับโลก พร้อมเรียนศิลปะฟรีผ่านโลกออนไลน์ได้ที่บ้าน โดยไม่ต้องก้าวเท้าออกไปไหน ทั้งยังจรรโลงจิตใจในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ได้เป็นอย่างดี “เพราะศิลปะจรรโลงใจมนุษย์ได้เสมอ” ศิลปะเป็นศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดอีกแขนงหนึ่งของโลกที่แตกแขนงแยกย่อยได้หลากสาขา และการใช้ศิลปะช่วยประคับประคองจิตใจมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ถ้าย้อนไปในอดีตจะรู้ว่าศิลปะกำเนิดขึ้นเนิ่นนานแล้ว นับเป็นผลผลิตของศิลปินที่สะท้อนความรู้สึกนึกคิด ตัวตน และแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ผลงานของพวกเขา ศิลปะเคยเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนหิ้งและสงวนไว้แด่ชนชั้นสูง เคยเป็นเครื่องมือระบายระบอบอยุติธรรม ตีแผ่ความแออัดยัดเยียด และเสียดสีตบหน้าความร้ายกาจคนในของสังคม แต่อีกด้านหนึ่งศิลปะคือสีสันที่ช่วยจรรโลงจิตใจมนุษย์และยังคงเป็นเช่นนั้นจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยที่มนุษย์ปราศจากความหวัง พ่ายแพ้หมดรูป และหมดสิ้นกำลังจะเดินต่อ ศิลปะเข้ามาช่วยค้ำจุนและพยุงมวลมนุษย์ให้อยู่ในร่องในรอยได้เสมอ อาจเป็นภาพถ่ายที่ทำให้ฉุกคิด จิตรกรรมฝาผนังแฝงนัยต่างยุค โคลงกวีที่ซ่อนวลีกินใจ หรือแม้แต่ภาพวาดศิลปะทั่วไปที่เรารู้จักดี เมื่อโลกหมุนรอบตัวเองและเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคที่ทันสมัยขึ้น เทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากลายเป็นเครื่องมือเปิดโอกาสให้คนได้เสพงานศิลปะ ท่องโลกอินเทอร์เน็ตไปชมผลงานเจ๋ง ๆ ทั่วมุมโลก รวมทั้งเรียนศิลปะผ่านออนไลน์ได้ง่าย ๆ แม้ไม่ต้องออกไปไหน เดินชมงานศิลปะเสมือนจริงด้วย Google Arts
คุณขี้อิจฉาไหม? คุณอยากดังหรือเปล่า? คุณอยากเป็นคนที่เมาเละได้ แต่ก็เป็นคนมีของ มีความสามารถซ่อนอยู่หรือไม่? เป็นคำถามแปลกประหลาดที่เรามั่นใจว่าต่อให้ถามใครหลายคน ก็คงไม่มีใครหาญกล้าตอบกลับมาง่าย ๆ โดยเฉพาะในบทสัมภาษณ์กับสื่อแปลกหน้า แต่ไม่ใช่กับ “เป๋ง-ชานนท์ ยอดหงษ์” อาร์ตไดเรกเตอร์ที่เราพยายามหาคำมานิยามเขาแล้ว แต่ก็หาได้ยากเหลือเกิน จนกระทั่งเขานิยามตัวเอง และเรารู้สึกว่า โห! ใช่ว่ะ เขาเป็นแบบนี้แหละ “เลอะเทอะ เมาเรื้อนอะไรก็ได้ แต่ผมต้องมีความสามารถที่ทำให้คนอื่นเห็นว่ากูก็มีของ ถึงกูจะเหลวแหลกแต่ก็มีอะไร” เรื้อนแต่เทพ เมาแต่มีของ เหลวแหลกแต่ก็มีอะไร จะมีใครกล้านิยามตัวเองแบบนี้ คงมีแค่เขาที่อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อว่าคนที่รู้จักเขา หรือแม้แต่ตัวเขาเองรู้ว่าคำเหล่านี้ไม่ใช่คำเชิงลบอะไรต่อตัวเขาก็เพราะเขารู้ดีว่าความจริงคืออะไร และงานออกแบบจากสมองและสองมือของเขานี่แหละที่โดดเด่นยิ่งกว่า สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าอาร์ตไดเรกเตอร์คนนี้มีของอะไร เทพแบบไหน เราอยากเล่าสั้น ๆ ว่าเขาเป็นอาร์ตไดเรกเตอร์ด้านเพลงที่หาตัวจับยาก เด่น ๆ คือการออกแบบปกซิงเกิ้ล ปกอัลบั้มของค่าย genie records ทั้ง BMW Be My World Project, Bodyslam, Big Ass, Paradox, Ebola , Sweet Mullet
หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของสวีเดนบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อปี 2015 รัฐบาลสวีเดนเปิดประเทศต้อนรับประชาชนกว่า 160,000 คน ให้เดินทางมายังประเทศตน โดยผู้ลี้ภัยเหล่านี้มาจากหลากหลายประเทศด้วยกัน และต่างมองหาสถานที่พักพิงทั้งร่างกายตลอดจนจิตใจ ในบรรดาหลากชนชาติที่เข้ามาอยู่ในสวีเดน มีชาวอัฟกานิสถานมากถึง 24,000 คน ที่ถูกเนรเทศออกมาจากประเทศบ้านเกิดของตน แต่ตอนนี้รัฐบาลสวีเดนกลับเปลี่ยนแผนและเลือกจะส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศ ทำให้มีผู้ลี้ภัยบางส่วนที่สามารถอาศัยอยู่ในสวีเดนเพื่อศึกษาต่อในระดับมัธยม แต่ที่เหลือจำเป็นต้องส่งกลับตามกฎหมายและข้อตกลงการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่รัฐบาลสวีเดนและอัฟกานิสถานทำร่วมกัน Skaparkollektivet Forma กลุ่มศิลปินชาวสวีเดนที่เชื่อว่าศิลปะและความคิดสร้างสรรค์มีบทบาทสำคัญต่อสังคม จึงตอบสนองความอยุติธรรมนี้ด้วยการสร้างผลงานศิลปะจัดวาง หรือ Installation Art จำนวน 17,000 ชิ้น เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสวีเดนจัดการกับปัญหาผู้ลี้ภัยด้วยวิธีอื่นที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ โปรเจกต์ศิลปะ ‘17,000’ สะท้อนถึงตัวเลขตัวผู้ลี้ภัยชาวอัฟกานิสถานที่คาดว่าจะถูกเนรเทศออกจากสวีเดน และต้องกลับไปใช้ชีวิตในประเทศบ้านเกิดของตน ผลงานประติมากรรมชิ้นนี้จัดวางเป็น 34 เฟรม แต่ละเฟรมประกอบไปด้วยงานแกะสลักทำมือจำนวน 500 ชิ้น นอกจากผลงานศิลปะ 17,000 ชิ้นจะถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ยังแฝงอุดมการณ์อันแรงกล้าของศิลปินกว่า 1,500 คนที่ถ่ายทอดลงไปในผลงานชิ้นนั้น ๆ แม้ 17,000 จะเป็นงานฝีมือที่มีสีสันแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ดูจากภาพรวมแล้วไม่มีชิ้นใดที่โดดเด่นมากหรือน้อยไปกว่ากันเลย ‘17,000 by Skaparkollektivet Forma’ นำศิลปะมาเป็นเครื่องมือทรงพลังที่กระตุ้นความคิด และบอกเล่าเรื่องราวที่กระทบกระเทือนต่อจิตใจของผู้ลี้ภัย
หากพูดว่าตอนนี้เป็นยุคสมัยแห่ง ‘วัสดุไม้’ ก็คงจะไม่ผิดนัก แม้ในอดีตไม้จะเป็นวัสดุจากธรรมชาติที่เหล่านักออกแบบต่างเมินหน้าหนี เพราะคิดว่ามันเปราะบาง ไม่ทนทานต่อสภาพอากาศ และยากที่จะนำมาสร้างงานทางสถาปัตยกรรม แต่ในปัจจุบันคงต้องยอมรับว่าทั้งเปลือก กิ่งก้าน หรือแม้แต่ส่วนใบไม้สามารถนำมาต่อยอดและรังสรรค์ผลงานชิ้นต่าง ๆ ได้อย่างไม่รู้จบ บวกกับนวัตกรรมการก่อสร้างที่ก้าวล้ำของมนุษย์ยุคก้าวกระโดด ทำให้ไม้ที่เคยเปราะบางถูกแปรรูปและพัฒนาจนมันหลุดออกจากข้อจำกัดด้านความแข็งแรงทนทาน ทั้งยังทนต่อความร้อนและยืดหยุ่นมากพอที่จะนำไปก่อสร้างตึกรามบ้านช่องได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งอาคารสไตล์โมเดิร์นทรอปิคัล อาคารสไตล์มินิมัลแบบญี่ปุ่น หรืออาคารอบอุ่นแบบสแกนดิเวียน ล้วนมี ‘ไม้’ เป็นพระเอกหลักในการก่อสร้างด้วยกันทั้งนั้น วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ มาชมงานสถาปัตยกรรมเท่ ๆ ที่ใช้ไม้ซ้อนทับจนเกิดสเปซอบอุ่น แถมยังเล่าถึงประวัติศาสตร์ของเมืองในเวลาเดียวกัน Odunpazari เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสไตล์โมเดิร์นที่ตั้งตระหง่านกลางเมือง Eskisehir ทางตะวันตกเฉียงเหนือของตุรกี เกิดจากฝีมือของสถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น Kengo Kuma เขาใช้ไม้ทับซ้อนและเสียบประสานกันจนเกิดเป็นรูปร่างอาคารทรงบล็อกที่มีเอกลักษณ์ สร้างความอบอุ่น แถมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ชื่อ Odunpazari ของอาคารนิยามถึง “ตลาดฟืนในตุรกี” ที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าไม้อันโด่งดังในยุคก่อน Kengo Kuma จึงหยิบนำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาผูกโยงกับคอนเซ็ปต์การออกแบบ เพื่อให้พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้สามารถบอกเล่าประวัติศาสตร์และความทรงจำในอดีตของเมืองนี้ได้โดยสมบูรณ์ รูปแบบการดีไซน์ของตัวอาคารประกอบด้วยบล็อกทรงสี่เหลี่ยมเป็นหลัก อันเกิดจากคานไม้ลามิเนตที่ซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บสะสมผลงานศิลปะในแขนงต่าง ๆ ตลอดพื้นที่ 4,500