การแบ่งเวลาไม่ดีสามารถส่งผลเสียให้เราได้หลายอย่าง เช่น ทำให้เราทำงานได้น้อยลง ช้าลง หรือ ใช้เวลาในการทำงานมากจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น เป็นต้น ดังนั้น ในยุคที่เรามีอะไรต้องทำอะไรหลายอย่าง จึงต้องมี Work life-balance และทักษะการบริหารเวลาที่ดีมีความสำคัญต่อชีวิตเรา ในบทความนี้ UNLOCKMEN เลยอยากแนะนำเทคนิคการบริหารเวลาแบบหนึ่งชื่อว่า Time blocking ซึ่งเป็นเทคนิคที่ผู้มีชื่อเสียงในระดับโลกใช้กัน เช่น Elon Musk เพื่อให้ทุกคนสามารถบริหารเวลาของตัวเองได้ดีขึ้น และมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้นตามมา Time Blocking คือ อะไร? Time blocking คือ เทคนิคการบริหารเวลาโดยการแบ่งวันในแต่ละสัปดาห์ออกเป็นส่วนย่อยๆ หรือ บล็อก สำหรับการทำงานที่เฉพาะเจาะจง มันเป็นเทคนิคที่มีความเก่าแก่พอๆ กับหลักฐานการใช้งานปฎิทินในยุคทองแดง (Bronze Age) ซึ่งในยุคนั้นมีการใช้ปฏิทินเพื่อกะเวลาในการทำเกษตรกรรม ไม่มีใครทราบว่า ผู้คิดค้น Time blocking คือใคร แต่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า คนแรกๆ ที่ใช้วิธีการนี้ในการบริหารเวลาชีวิต คือ Benjamin Franklin โดยเขาได้มีการแบ่งกิจกรรมต่างๆ ที่เขาจะทำในแต่ละชั่วโมงของวัน Time blocking จะเป็นวิธีการที่ให้ความสำคัญกับการทำอะไรทีละอย่าง
เรารู้จักการโกหกกันมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เราอาจเคยโกหกพ่อแม่ เวลาทำข้าวของในบ้านเสียหาย เพราะกลัวโดนดุ พอโตขึ้นมาหน่วยเป็นวัยรุ่น เราอาจโกหกครูประจำชั้นว่ารอยช้ำบนหน้าเกิดจากการหกล้ม ไม่ได้ทะเลาะวิวาทกับใครมา พอเข้าวัยทำงาน เราอาจเคยโกหกเจ้านายว่าป่วย เพื่อขอโดดงาน กล่าวได้ว่าคนทุกเพศทุกวัยรู้จักการโกหก แต่การโกหกก็มีพร้อมราคาที่ต้องจ่ายอยู่เสมอ! UNLOCKMEN อยากอธิบายเรื่องนี้ผ่านหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นว่าการโกหกทำงานกับสมองของเราอย่างไร การโกหกคืออะไร ? แบบไหนถึง เรียกว่า การโกหก… การโกหก (lying) เป็นการหลอกลวงแบบหนึ่งที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน การโกหกรูปแบบหนึ่งเรียกว่า การโกหกทั้งหมด หรือ ‘lies of commission’ เป็นการพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงเลย เช่น โกหกพ่อแม่ว่าไปอ่านหนังสือ เพื่อจะได้ไปเที่ยวกลางคืน หรือ โกหกเจ้านายว่าป่วย เพื่อที่จะได้หยุดงาน เป็นต้น บางเคสการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว (half – truth) ก็ถือว่าเป็นการโกหกเหมือนกัน เช่น สมมติว่าเราจะซื้อรถมือ 2 แล้ว พนักงานขายรถบอกเราว่า รถยนต์คันนี้เพิ่งผ่านการใช้งานไม่นาน เจ้าของไปนอก สภาพเหมือนใหม่ แต่เขาไม่ได้บอกเราว่า รถคันนี้เคยจมน้ำหรือชนจนเสียหายยับเยิน เพราะอยากขายรถให้เราให้ได้ แบบนี้เป็นการโกหกประเภทที่เรียกว่า การโกหกด้วยการละเว้น หรือ
หลายคนใฝ่ฝันอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสังคมที่ตัวเองอยู่ องค์กรหรือบริษัทของตัวเอง แต่การเปลี่ยนแปลงหลายคนรู้ว่ามันมีอุปสรรค์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน หรือ ระบบต่างๆ วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาทุกคนไปดูกันว่า ผู้นำการเปลี่ยนแปลง (change leadership) ที่ดี คืออะไร และการเปลี่ยนแปลงที่ดี ควรประกอบไปด้วยอะไรบ้าง คุณสมบัติของผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลง ผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลง (change leadership) คือ ผู้นำที่มีความสามารถในการสื่อสารกับคนในองค์กร เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และลดผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงให้ได้มากที่สุด พวกเขาควรมีความสามารถในการอธิบายเหตุผลที่มีความน่าสนใจมากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ และยังต้องมีความสามารถในการเรียกร้องให้คนทั้งองค์กรลงมือทำในสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ อีกทั้งต้องมี แพสชั่น ความคงเส้นคงวา ความน่าเชื่อถือ และวิสัยทัศน์ อันเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความน่าเชื่อถือ พร้อมกับทักษะในการหาเสียงสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง และทำลายกำแพงของคนในองค์กรได้ พวกเขายังต้องทำให้คนในองค์กรต่อต้านการเปลี่ยนแปลงให้น้อยที่สุด และมีความสามารถในการสร้างหรือพัฒนาระบบและโครงสร้างองค์กรที่จำเป็นในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ป้องกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความพยายามในการเปลี่ยนแปลงได้ด้วย พวกเขาจะต้องรู้ว่าใครเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก (key stakeholders) พร้อมมีกลยุทธ์เพื่อให้ได้เสียงสนับสนุน เพื่อให้เป็นแรงผลักดันในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคนในองค์กร และทำให้เกิดการลงมือทำในสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อไป นอกจากนี้ พวกเขายังต้องสามารถจัดการกับทรัพยากรที่มีความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง มีความสามารถในการประยุกต์และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ดำเนินแผนการเปลี่ยนแปลงให้อยู่ในเวลาและต้นทุนที่กำหนด ภาวะผู้นำที่มีประสิทธิภาพจะช่วยองค์กรได้อย่างไรบ้าง ? การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ช่วยให้องค์กรสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่เราก็ต้องยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงองค์กรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะคนเรามักรู้สึกไม่สบายใจที่จะเปลี่ยนแปลง
ในวงการ Creator ของไทย ณ ปัจจุบัน เต็มไปด้วยเหล่าคนทำคอนเทนต์ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า ที่ต่างก็นำเสนอเนื้อหาในแบบของตัวเอง มีการใส่ความ Creative ลงไปในงานและเพิ่มตัวตนให้เป็นที่น่าจดจำ แต่ถ้าให้พูดถึง Creator ที่มีสไตล์การเล่าที่โดดเด่น ย่อยง่าย มีความเป็นตัวเองสูง ไม่มีใครไม่นึกถึงเธอคนนี้อย่างแน่นอน ‘Gift Lee’ Creator สายอาร์ต เจ้าของเพจ Gift Lee ที่กำลังมาแรงที่สุดในตอนนี้ บทความนี้เราจะพาไปดูมุมมองและ Inspiration ของเธอกันดีกว่า ว่าก่อนจะมาถึงจุดนี้ อะไรคือสิ่งที่ทำให้กิฟท์กลายมาเป็นกิฟท์ในวันนี้ได้ ตามไปพบกับบทสัมภาษณ์สุด Exclusive จาก UNLOCKMEN ได้เลยครับ ‘วริษฐา ลีลเศรษฐพร’ ‘กิฟท์’ ‘Gift Lee’ นี่คือ Creator คุณภาพหน้าใหม่ที่น่าจับตามองที่สุดในวงการมีเดีย ณ ตอนนี้ กิฟท์ ก็คือคนทำงานทั่วไปเหมือนเรา ๆ นี่แหละ มีทั้งสิ่งที่ต้องทำ เพื่อจะได้ไปทำสิ่งที่อยากทำ และในอีกด้านหนึ่ง เธอก็มีงานอดิเรกของตัวเองอย่างการวาดสีน้ำ เด็ก ‘ถาปัตย์คนนี้ใช้เวลาว่างไปกับการละเลงศิลปะ โดยมีพื้นที่เล็ก
“ดากานดา ฉันรักแกว่ะ”น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักประโยคอมตะจากปากของ ‘ไข่ย้อย’ ตัวละครจาก ‘เพื่อนสนิท’ ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่ส่งให้ชื่อของ ‘ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์’ ปรากฎขึ้นมาบนสารบบของนักแสดงหน้าใหม่ที่น่าจับตาของประเทศไทย และด้วยภาพยนตร์เรื่องเดียวกันนี้เอง ที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากคม ชัด ลึก อวอร์ด ประจำปี 2548 แม้จะเปิดฉากอาชีพนักแสดงได้อย่างสวยงาม แต่รางวัล ชื่อเสียง คำชื่นชมที่ได้รับมาตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ซันนี่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง ไม่เคยทำให้ผู้ชายคนนี้ปล่อยตัวเองให้หยุดอยู่กับความสำเร็จเก่า ๆ แต่เขายังคงมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเพื่อทำอาชีพนักแสดง ที่เขามักจะพูดอยู่เสมอว่านี่คืออาชีพที่เขารัก ได้อย่างมีคุณภาพสมบทบาทในทุกผลงาน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผลักดันศักยภาพตัวเองให้ไปข้างหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ มีโอกาสได้รับเลือกให้มารับหน้าที่แบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ของไซโก (ประเทศไทย) ภายใต้แคมเปญ “Keep Going Forward” ไม่สิ้นสุดถ้าไม่หยุดไปต่อ ซึ่งสะท้อนตัวตนวิธีคิดของซันนี่ออกมาได้อย่างชัดเจน หลังจากที่แบรนด์แอสบาสเดอร์รุ่นพี่อย่าง ‘อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม’ ที่เคยมีผลงานร่วมกันในภาพยนตร์เรื่อง ‘ชัมบาลา’ นั้นประสบความสำเร็จอย่างมากกับแคมเปญ “Move your adventurous mind further” และ “Discover Your Planet” ของทางไซโก
เคยรู้สึกเบื่องานกันบ้างไหม? รู้สึกว่างานที่ทำอยู่ช่างไม่มีความสุขเอาซะเลย? หลายคนน่าจะเคย และรู้สึกว่า ความน่าเบื่อ (boredom) เป็นพิษภัยต่อการทำงานอย่างมาก เพราะมันทำให้ ‘ซัฟเฟอร์’ กับการทำงาน ทำให้รู้สึกว่าต้องอดทนทำงานไปวันๆ ไม่มีแพสชั่นกับสิ่งที่ทำอยู่เลย ผลร้ายที่สุด คือ ทำให้ไม่สามารถก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ และท้ายที่สุดก็อาจลาออกจากงาน แต่ไม่ว่าความน่าเบื่อจะเป็นพิษกับเรามากแค่ไหน เราก็อาจจะขาดความเบื่อไม่ได้! เพราะมันเหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการและไม่หยุดนิ่ง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? วันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปเข้าใจอาการเบื่อ และแนะนำวิธีการป้องกันและหลีกเลี่ยงผลเสียจากมัน เพื่อให้ทุกคนมีความสุขในชีวิตการทำงาน หลายคนพอได้ยินคำว่า “น่าเบื่อ” จากอารมณ์ดีอยู่ๆ ก็อาจหม่นหมองได้ เพราะทำให้นึกถึงอะไรลบๆ หลายอย่าง แต่อย่าเพิ่งดาวน์นะ! ทำใจให้สบายๆ แล้วมาฟังเราอธิบายเรื่องความเบื่อเสียก่อน ไม่แน่ว่าหลังจากอ่านบทความนี้จบ คุณอาจเปลี่ยนมุมมองต่อความน่าเบื่อก็เป็นได้! ที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญได้ชี้ให้เราเห็นว่า ความน่าเบื่อมีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิตและการทำงาน เพราะถ้าเราไม่เบื่อ เราคงไม่ออกจากสถานการณ์ที่ทำให้เราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในชีวิตของตัวเองได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นในเรื่องงาน ความเบื่อจะเตือนเราว่า งานที่เราทำอยู่อาจไม่ทำให้เราบรรลุเป้าหมายในการทำงานของตัวเอง (เช่น มีเงินเก็บมากพอที่จะซื้อรถยนต์ภายใน 2 ปี หรือ ไต่เต้าขึ้นไปทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้นไม่ได้ เป็นต้น
ตอนนี้หลายคนอาจกำลังเป็น “Passive Employee” คือเป็นพนักงานบริษัทที่ทำงานไปวันๆ และไม่มีความทะเยอทะยานใดๆ ในหน้าที่การงาน ซึ่งภาวะนี้เกิดขึ้นได้จากภาวะผู้นำในองค์กรที่ไม่ดี ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลเสียต่อเราได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ไม่มีความสุขในการทำงาน หรือ คุณภาพของงานที่ทำตกต่ำ ซึ่งเราเห็นว่าการอยู่ในสถานะของผู้นำจะช่วยทุกคนแก้ไขปัญหานี้ได้ ด้วยเหตุผลต่างๆ ซึ่ง UNLOCKMEN จะอธิบายต่อไป การเป็นผู้นำจะทำให้เรามีความสุขในการทำงาน คนที่พยายามเป็นผู้นำในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ผู้เสนอไอเดียใหม่ๆ หรือ ผู้ดูแลโปรเจคใหญ่ของบริษัทหรือองค์กร แสดงให้เห็นว่ามีความทะเยอทะยาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่จะทำให้พวกเขาเติบโตและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน นอกจากนี้คนที่มีความทะเยอะทะยานจะมีความสุขมากกว่าคนที่ไม่มีความทะเยอทะยานด้วย ซึ่งงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ริเวอร์ไซด์ ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบคนสองกลุ่ม ได้แก่ 1.คนที่ตั้งเป้าหมายแบบทะเยอทะยาน (ambitious goals) และ 2.คนที่ตั้งเป้าหมายแบบเซฟตัวเอง (conservative goals) และพบว่า คนที่ตั้งเป้าแบบทะเยอทะยานจะมีความสุขในระยะยาวมากกว่าคนอีกกลุ่ม งานวิจัยชิ้นนี้ทำการทดลอง 2 ครั้ง โดย ครั้งแรกจะให้ผู้เข้าร่วมการทดลองเล่นเกมเลือกหุ้น (stock-picking) และการทดลองครั้งสุดท้ายจะให้ผู้เข้าร่วมการทดลองแก้ไขปริศนา (puzzles) ในการทดลองแรก ผู้เข้าร่วมการทดลองทั้งหมด 134 ราย จะต้องกำหนดอัตราผลตอบแทน (target rate of
ถ้าพูดถึง CEO ไฟแรงที่น่าจับตามองในขณะนี้ สปอตไลท์คงต้องส่องไปที่ คุณรวิศ หาญอุตสาหะ หรือพี่แท๊ป ผู้บริหารไฟแรง แห่งบริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เจ้าของเพจ Mission to the moon ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 300,000 คน เจ้าของ Podcast ชื่อดังอย่าง Superproductive Podcast และหนังสือติดอันดับมากมายอย่าง Marketing ลิงกลับหัว, คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่ปากซอย, Superproductive และอีกหลายเล่มที่คุณต้องไปติดตาม เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว เราคงไม่พลาดที่จะมาเจาะลึก สูตรสำเร็จในการบริหารจัดการสไตล์พี่แท๊ปกันว่า มีเคล็ดลับการบริหารจัดการอย่างไรให้ประสบความสำเร็จทั้งด้านการทำงาน รวมถึงการได้ทำสิ่งที่ตนเองรักอีกด้วย วิธี Motivate ตัวเอง ให้เป็นคนที่ Superproductive ตลอดเวลา สม่ำเสมอโดยไม่ท้อไม่หมดแรง พี่แท๊ป : จริง ๆ ต้องบอกว่าก็ไม่ได้ productive ตลอดเวลาขนาดนั้น ก็มีวันที่หนืด ๆ นอนเฉย ๆ
ความเครียดอยู่คู่กับมวลมนุษยชาติมาโดยตลอด โดยเฉพาะในยุคที่เราต้องแข่งกันทำงาน ฟาดฟันกันทางธุรกิจ ความเครียดย่อมรุมเร้าเป็นเงาตามตัว ความเครียดในระดับที่เหมาะสมอาจหมายถึงเราได้เผชิญความท้าทาย ได้ก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน แต่ความเครียดที่พุ่งทะลุขีดก็อาจหมายถึงปัญหาสุขภาพที่ตามมา หรืองานที่ไม่มีประสิทธิภาพได้ การจัดการกับความเครียดให้อยู่หมัดจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรเรียนรู้และฝึกฝน ไม่ใช่เพื่อให้ชีวิตนี้ไม่มีเรื่องเครียดมากวนใจ แต่เมื่อมีปัญหาและเรื่องเครียดมาทักทายแล้วเราสามารถรับมือกับมันได้อย่างที่มนุษย์ที่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ คนเขาทำกัน อย่ามัวคลายเครียด แต่หาสาเหตุแล้วกำจัดต้นตอของมัน กิจกรรมผ่อนคลายความเครียดไม่ได้ผิดอะไร เราสามารถทำกิจกรรมเหล่านั้นเวลาเราต้องการเพิ่มความรู้สึกรื่นรมย์ให้ชีวิต หรือเมื่อความเครียดนั้นอยู่ในระดับแค่เบี่ยงเบนความสนใจก็ดีขึ้น แต่เราไม่สามารถหาทางคลายเครียดเพื่อหนีความเครียด หรือกำจัดมันให้พ้นไปตลอดกาลได้ ดังนั้นหนทางสำคัญจึงเป็นการหาที่มาของความเครียดนั้นให้เจอ และจัดการกับมันอย่างตรงจุด การศึกษาวิจัยตลอดทศวรรษที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ที่ประสบความสำเร็จจากหลายแขนง ทั้งนักธุรกิจ ผู้นำการทหาร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กระทั่งนักกีฬามากความสามารถล้วนแต่โฟกัสไปที่การแก้ปัญหา ตั้งแต่ที่สถานการณ์เริ่มสร้างความตึงเครียดให้พวกเขา วิธีการก็คือการพยายามระบุแหล่งที่มาของความเครียดให้ได้ จากนั้นจึงจัดการกับมันอย่างตรงจุด เช่นกรณีของศัลยแพทย์ที่ต้องผ่าตัดครั้งสำคัญ นอกจากความยากของการผ่าตัดที่เป็นความท้าทายครั้งสำคัญซึ่งเลี่ยงไม่ได้แล้ว การนอนไม่พอหรือการหายใจผิดจังหวะจากความเครียดของตัวเองก็อาจทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีก ดังนั้นทางแก้ที่พวกเขาเลือกจึงเป็นการนอนให้เพียงพอก่อนวันผ่าตัด การฝึกการหายใจเพื่อให้รับมือกับความเครียดในห้องผ่าตัดได้ดีขึ้น หรือกรณีของนักธุรกิจที่ต้องเครียดจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในองค์กร เขาจะไม่เลือกเพิกเฉย แล้วรอแก้ปัญหาที่ตามมา แต่เลือกหาสาเหตุของปัญหาเหล่านั้นและรีบคลี่คลายมันก่อนที่ทุกอย่างจะลุกลาม คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก จึงไม่ได้เลือกทางที่ความเครียดเกิดขึ้นแล้วหาทางบรรเทาอารมณ์ความรู้สึกนั้นแต่พวกเขาจะพยายามหาสาเหตุของความเครียดที่พวกเขารู้สึกเป็นอันดับแรก แล้วหาทางมาจัดการกับต้นตอนั้นให้เร็วที่สุด อารมณ์เชิงลบ ไม่ได้แย่เสมอไป ถ้าใช้ให้ถูกวิธี เชื่อว่าหลายคนเคยได้รับคำแนะนำเรื่องการจัดการความเครียดที่เน้นให้เราควบคุมอารมณ์เชิงลบของตัวเอง การไม่โกรธ การไม่ผิดหวัง คำแนะนำที่อยากให้เราผ่อนคลายอารมณ์จากความเครียดอันเผาไหม้ ด้วยการให้มองโลกมุมใหม่ การพยายามหามุมมองที่เป็นบวกกว่าให้ตัวเอง วิธีเหล่านั้นได้ผลในหลาย ๆ กรณี โดยเฉพาะเมื่อเราเผชิญความเครียดจากเรื่องที่เราไม่อาจควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงมันได้อีกแล้ว
หลายคนคงเคยเจอสถานการณ์ประมาณว่า “งานจะต้องส่งพรุ่งนี้แล้ว แต่วันนี้ยังทำไม่เสร็จ และรู้สึกขี้เกียจเป็นอย่างมาก” อันเกิดจากการไม่ยอมทำงานให้เสร็จตั้งแต่เนิน ๆ แต่ได้ขยับ timeline ไปเรื่อย ๆ จนถึงหนึ่งวันก่อนส่งงาน บางคนอาจเริ่มโทษความขี้เกียจของตัวเอง ว่ามีมากเกินไปจนไม่ยอมทำงานให้เสร็จและรู้สึกกระวนกระวายกลัวจะทำงานเสร็จไม่ทัน ความขี้เกียจเป็นปัญหาหรือไม่? แล้วเราจะทำให้ตัวเอง productive ขึ้นมาได้อย่างไร? UNLOCKMEN จะไขข้อข้องใจเหล่านี้เพื่อให้ทุกคนได้ปลดล็อกศักยภาพให้เอง ความขี้เกียจเกิดจากอะไร? ว่ากันว่ามนุษย์ขี้เกียจกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดั้งเดิมจำเป็นต้องเก็บสะสมพลังงานเพื่อความอยู่รอด หลักฐานทางวิทยาศาสตร์พบว่า ร่างกายของมนุษย์ใช้พลังงานในการทำงานเยอะมาก (อย่างสมองมีน้ำหนักราว 2% ของร่างกาย แต่กินพลังงานที่ร่างกายได้รับต่อวันทั้งหมดถึง 20%) ความขี้เกียจจึงอาจเข้ามาช่วยให้มนุษย์ไม่ใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองเกินไปนั่นเอง แต่ต้นเหตุของความขี้เกียจก็ไม่ได้เกิดจากสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ความขี้เกียจเข้าครอบงำ ได้แก่ ความกลัว (fear) ความขี้เกียจและความกลัวดูจะมีความสัมพันธ์กัน ความขี้เกียจเปรียบเหมือนพื้นที่ปลอดภัย (comfort zone) สำหรับหนีความกลัวที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น กลัวว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ กลัวว่าจะล้มเหลว กลัวว่าจะตอบสนองความคาดหวังของคนอื่นไม่ได้ ความกลัวในลักษณะนี้หนักหน่วง และเป็นภาระต่อร่างกาย ทำให้เกิดความเครียด เราจึงต้องขี้เกียจ และผัดวันประกันพรุ่ง (procrastination) เพื่อปัองกันการเผชิญหน้ากับความกลัวทั้งๆ ที่เรายังไม่พร้อม ซึ่งบางคนกว่าจะรู้สึกพร้อมก็ใช้เวลานานพอสมควร ภาวะซึมเศร้า