รับสมัคร AE ทีมีใจรักการทำงาน อึก ถึก ทน มาร่วมทีมสนุกๆ ด่วน
ถ้าทุกครั้งที่มีช่องว่างให้กรอกว่าความสามารถพิเศษของเราคืออะไร แล้วในหัวมีแต่ความงุนงงว่างเปล่าไม่รู้จะเติมอะไรลงไป จนต้องฮัมเพลง “ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ”กับตัวเองเบา ๆ ทุกครั้ง เราคือเพื่อนกัน เชื่อเถอะว่าบนโลกที่เรียกร้องให้ใคร ๆ ก็ต้องเก่ง ต้องพิเศษ ต้องเจ๋ง ไม่ได้มีเราคนเดียวแน่ ๆ ที่รู้สึกว่าตัวเองช่างห่วยเหลือเกินที่ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรกับเข้าบ้างเลย แต่วันนี้ UNLOCKMEN อยากตะโกนบอกคุณว่า หยุดคิดอย่างนั้นเดี๋ยวนี้นะ! การไม่มีความสามารถพิเศษ หรือสกิลเทพที่โดดเด่นจนใครต้องเหลียวมองมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิด แถมวันนี้เรายังพกเอาเคล็ดลับหนึ่งเดียวมาฝาก ต่อให้คุณไม่มีความสามารถพิเศษใด ๆ ก็ประสบความสำเร็จได้ด้วยเคล็ดลับนี้ แม้เราจะกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะเชื่ออยู่ว่า จริงเหรอ? ไม่มีความสามารถพิเศษเด่น ๆ แต่เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นเขาได้จริง ๆ น่ะเหรอ UNLOCKMEN อยากให้คุณเปิดใจ แล้วค่อย ๆ เรียนรู้วิธีคิดนี้ไปด้วยกัน ข่าวดีอย่างแรกก็คือเราไม่ได้รู้สึกอย่างนี้อยู่คนเดียว การรู้สึกว่าฉันไม่เก่ง ฉันไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเป็นความรู้สึกที่แทบทุกคนคิด แม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จ ที่สำคัญก็คือในบรรดาคนที่ประสบความสำเร็จนั้นมันมีน้อยคนมากที่มีความสามารถพิเศษสุดในจักรวาลแล้วประสบความสำเร็จ เพราะนอกนั้นเขาก็รวบรวมหลาย ๆ สกิลของตัวเองมาประสบความสำเร็จทั้งนั้น อาจจะยังมองไม่เห็นภาพ ลองนึกถึง Bill Gates เจ้าพ่อไมโครซอฟต์ที่คงไม่มีใครไม่รู้จัก ถามตัวเองดูสิว่า
เคยเหงาจนลองคิดว่าจะจ้างคนแปลกหน้าให้มานั่งเฉยๆ อยู่ข้างๆ บ้างไหม? ถ้าไม่ แสดงว่าคุณอาจยังรู้สึกสบายใจกับการแบ่งปันเรื่องราวกับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือคนรัก แต่มีชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่สบายใจจะเล่าบางเรื่องให้คนรู้จักฟัง ‘ธุรกิจเช่าคน’ ที่คิดว่าไม่ทำได้จึงได้รับความนิยมมากในแดนอาทิตย์อุทัย โมริโมโตะ โชจิ (Morimoto Shoji) ชายหนุ่มธรรมดาที่มีอะไรไม่แปลกแตกต่างไปจากชาวโตเกียวคนอื่น ทว่าตอนนี้กลายเป็นคนที่มีเรื่องเล่าไม่ธรรมดาเสียอย่างนั้น ชายวัย 37 ปี จบการศึกษาด้านฟิสิกส์ในระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยโอซาก้า ทำงานด้านสื่อสารมวลชน และเคยเป็นบรรณาธิการให้กับสำนักพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการเรียนการสอน โปรไฟล์ชีวิตของโชจิถือว่าอยู่ในระดับดีเยี่ยม ที่ลองถามเพื่อนเขาคนไหนก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเบนเข็มมาไกลได้ถึงขนาดนี้ หลังเริ่มต้นชีวิตวัยทำงานได้ไม่นาน โชจิเกิดความรู้สึกเบื่อกับความจำเจของการทำงานเดิม ๆ อยากมีเวลาว่างให้พักหายใจมากขึ้น อยากลองทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน เขานั่งใคร่ครวญแล้วพบว่าตัวเองไม่ได้มีความสามารถพิเศษที่โดดเด่นหรือเก่งมากกว่าใครเลย แต่เรียนจบปริญญาโทเพราะสังคมที่เขาอยู่พากันเรียนต่อ เขาจึงเรียนต่อเหมือนกับเพื่อนในวงสังคม พานคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับอะไรสักอย่าง และสิ่งที่ใช่ที่สุดอาจหมายถึงการอยู่เฉย ๆ ก็ได้นั่งครุ่นคิดกับตัวเองอยู่พักใหญ่ว่างานแบบไหนที่จะตอบทุกโจทย์ที่ตั้งไว้ สุดท้ายโชจิลองโพสต์ข้อความลงโซเชียลมีเดียเมื่อเดือนมิถุนายน 2018 เสนอใครก็ตามที่เลื่อนฟีดมาเห็นว่าสามารถจ้างเขาให้อยู่เฉย ๆ เป็นเพื่อนได้ สำหรับใครที่เหงาหรือต้องการใครสักคนให้จ้างเขาได้เลย ใครจะคิดว่าการโพสต์ข้อความแบบไม่จริงจังนักทำนองจ้างผมทำงานได้ จ้างผมอยู่เป็นเพื่อนได้ หรือจ้างเราไว้รับฟังเรื่องปวดหัวของคุณสิ จะมีคนให้ความสนใจมากกว่าที่คิด รายการคำสั่งที่เขาได้รับมีทั้งนัดเจอเพื่อพูดคุย (หรือถ้าพูดกันตรง ๆ คือจ้างให้ไปนั่งฟังคนอื่นระบายปัญหาชีวิต) จ้างไปกินข้าวกลางวันเป็นเพื่อน จ้างไปนั่งดื่มเบียร์เย็น ๆ แก้วโต หรือจิบสาเกเคล้าเนื้อย่างในร้าน
ช่วงนี้หลายคนน่าจะมีความเครียดและความกังวลกัน เพราะทุกอย่างในตอนนี้ดูไม่แน่นอนเสียเหลือเกิน ไม่มีใครรู้ว่า COVID-19 จะหายไปเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรเราจะได้ใช้ชีวิตกันแบบปลอดภัยไม่กลัวโรค ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่สถานที่ต่าง ๆ จะเลิกโดนสั่งปิด ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรเราถึงจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำได้อย่างเต็มที่ซะที เหล่านี้คงทำให้หลายคนรู้สึกดาวน์ และไม่อยากทำงานกันบ้างแหละ การทำงานที่ไม่อยากทำอาจทำให้เราเกิดความขี้เกียจ ซึ่งนอกจากจะทำให้เราไม่โปรดักทีฟแล้ว งานวิจัยบอกเราว่า ความขี้เกียจในระยะยาวอาจทำให้เรามีสุขภาพแย่ลง ร่ำรวยน้อยลง และมีความสุขน้อยลงด้วย แต่การออกจากงาน หรือ เปลี่ยนงานในช่วงนี้ คงเป็นเรื่องที่หลายคนรู้สึกว่า ยังไม่ปลอดภัยที่จะทำมัน เพราะอาจทำให้ถูกมองว่าไม่เป็นมืออาชีพ ไม่สู้งาน และขัดขวางความก้าวหน้าในการทำงาน บางคนจึงเลือกที่จะเก็บมันไว้ในใจ มากกว่าที่จะพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง และเผชิญหน้ากับปัญหานี้เพียงลำพังต่อไป ฟังดูเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนซัฟเฟอร์ แต่โชคดีที่มันยังมีวิธีการประคับประคองตัวเองให้ทำงานต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกัน เราได้นำวิธีเหล่านั้นมาแชร์กับทุกคนในบทความนี้ ลองทำตามดูแล้วดูว่ามันได้ผลมากแค่ไหน !! ตอบให้ได้ว่าทำไมเราถึงยังต้องทำงานนี้อยู่ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ควรจะมีการตั้งเป้าหมาย เพราะถ้าไม่ เราอาจรู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไร้ค่าไร้ความหมาย และหมดแพสชั่นในการทำมันได้อย่างรวดเร็ว ในการทำงานที่เรารู้สึกว่าไม่อยากทำก็เช่นกัน ถ้าเราจมอยู่กับความรู้สึกที่ว่าทำไมเราถึงยังตัองทำงานนี้ต่อไป ทุกอย่างมันก็คงมีแต่จะแย่ลง เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรทำเป็นอย่างแรก คือ การหาให้ได้ว่าทำไมเราถึงยังต้องทำงานที่น่าเบื่อหน่ายอยู่ ? เพราะเงิน? เพราะความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน? เพราะฐานะสังคม? เมื่อเป้าหมายในการทำงานเราชัดแล้ว กำลังใจมันก็มักจะมาเอง แต่ข้อควรระวังเมื่อเราจะตั้งเป้าหมายในการทำงาน คือ
ขึ้นชื่อว่าการเจรจาต่อรองแล้ว ไม่ว่าจะในเชิงธุรกิจที่ขับเคี่ยวกันดุเดือด หรือหน้าที่การงานที่ต้องสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด เราทุกคนล้วนแต่ต้องการเจรจาต่อรอง แลกเปลี่ยนให้ผลที่ได้ออกมาพอใจร่วมกันทุกฝ่าย โดยปกติการเจรจาต่อรองก็ย่อมต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์ จะไปแบบมั่ว ๆ ไม่รู้อะไรเลยไม่ได้อยู่แล้ว แต่การเจรจาต่อรองที่ “เรามีอำนาจต่อรองน้อยกว่า” หรือรู้ทั้งรู้ว่าเราก็ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรไปแลกกับอีกฝ่ายมากนัก ยิ่งเป็นความท้าทายที่หลายคนเผลอถอดใจไปล่วงหน้า (ก็ดูรูปการณ์แล้ว ไม่น่าจะไปต่อรองอะไรกับเขาได้) แต่เราอยากชวนมาปลดล็อกความเข้าใจผิด ๆ เสียใหม่ อย่างน้อยก็ต้องลองสักตั้งก่อนถอดใจ แม้หลายการต่อรอง เราอาจเลี่ยงได้ แต่กับบางสถานการณ์คับขันตรงหน้าต่อให้รู้ว่าอำนาจน้อยกว่าก็ต้องกระโจนลงไปอยู่ดี ดังนั้นลองเอาวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้ เพราะแม้จะไม่ได้มีอำนาจล้นมือ แต่ถ้ารู้เท่าทัน การเจรจาต่อรองให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการก็อาจไม่ยากอย่างที่คิด “ผลลัพธ์ที่ต้องการอาจไม่ได้มีแค่หนึ่ง” การเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการเจรจาต่อรอง ไม่ว่าจะทางธุรกิจ หน้าที่การงาน หรือเรื่องไหน ๆ คือการที่เราสามารถพูดคุยไปถึงจุดที่ “เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ” หลายครั้งเมื่อเราดูมีอำนาจต่อรองน้อยกว่า หรือไม่น่ามีอะไรไปแลกจนอีกฝั่งพึงพอใจได้ เราจึงมักคิดว่าเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่เสมอ แต่จริง ๆ แล้ว การเจรจาเพื่อ “ได้ในสิ่งที่เราต้องการ” นั้นไม่ได้มีเพียงหนึ่งทาง การนึกถึงผลลัพธ์ในหลากหลายหนทาง หลาย ๆ วิธีไว้ล่วงหน้า ก็เป็นอีกวิธีที่จะทำให้เราเจรจาต่อรองได้ลื่นไหลมากขึ้น ถ้ามัวยึดอยู่แค่ว่าจะไปเอาผลลัพธ์นี้อยู่ผลลัพธ์เดียวและยึดติดกอดไว้ โดยไม่ทันนึกภาพผลลัพธ์อื่น ๆ ทันทีที่โดนอีกฝ่ายพลิกเกมไปทางที่เขาได้ประโยชน์ หรือเขาปฏิเสธทางที่เราเสนอไว้ เราจะตัน ไปต่อไม่ได้
เมื่อเวลาหมุนวนมาบรรจบครบเดือนที่ 12 ของปฏิทินทีไร เชื่อว่าหลายคนคงกำลังเฝ้ารอกิจกรรมสนุก ๆ จาก ไฮเนเก้น ที่มักจะมีแคมเปญเจ๋ง ๆ แตกต่างอย่างมีคอนเซปต์ตามสไตล์ของแบรนด์เครื่องดื่มระดับโลกแบรนด์นี้ออกมาต้อนรับช่วงเวลาแห่งความสุขส่งท้ายปีอยู่โดยตลอด ซึ่งแน่นอนว่าปีนี้ ไฮเนเก้น ก็ไม่พลาดที่จะจัดเต็มด้วยแคมเปญสุดอลัง เพื่อยกระดับการสังสรรค์ช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองให้พิเศษกว่าที่เคย ด้วยการสร้างจุดเด่นแบบไม่เหมือนใคร เพื่อต่อยอดแนวคิดโกลบอล “Because you’re one in a billion” ที่เชื่อว่าทุกคนล้วนมีความพิเศษในตัวเองที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ในปีนี้ ไฮเนเก้นเลือกสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างกว่าทุกปีด้วย Heineken® Festive Campaign 2020 เพื่อสร้างประสบการณ์การเฉลิมฉลองปีนี้มีให้มีความพิเศษกว่าใคร ให้ทุกคนสามารถสัมผัสได้ผ่านทาง Element ต่าง ๆ เหล่านี้ สำหรับสิ่งแรกที่ถือเป็นสัญญาณการมาถึงของแคมเปญแจ่ม ๆ ส่งท้ายปีจากไฮเนเก้น ที่หลายคนน่าจะเริ่มสังเกตเห็นกันตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤศจิกาที่ผ่านมา คืองานแพทเทิร์น Heineken® Festive Edition 2020 ที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์ ไฮเนเก้นแบบแตกต่างกว่าเดิม โดยดึงเอาอัตลักษณ์ของแบรนด์ ไฮเนเก้นมาจัดวางออกแบบให้ทันสมัยเป็นดีไซน์บนฉลากของผลิตภัณฑ์ที่มีไม่ซ้ำกันถึง 30 ลายทั้งรูปแบบขวด และกระป๋อง ที่ต้องยอมรับว่ามันช่างโดดเด่นเตะตานักสะสมอย่างเรา ๆ เสียเหลือเกิน อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ Heineken® One in a Billion Instagram Filter ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองวิธีคิดของไฮเนเก้น ที่ตั้งใจส่งต่อความสนุกสนานในทุกที่ไม่เว้นแม้แต่บนโลกออนไลน์
การทำธุรกิจขนาดใหญ่ด้วยตัวคนเดียวนั้น พูดได้เลยว่ามันไม่ง่าย
VF Corporation ชื่อนี้หลายคนอาจไม่คุ้นมากนัก แต่ถ้าบอกว่าเป็นบริษัทเจ้าของแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Vans, The North Face, Timberland, Dickies ก็คงจะไม่สงสัยว่าทำ Supreme ถึงมีความเป็นไปได้สูงมาก ว่ากำลังอยู่ในระหว่างเจรจาปิดดีลมูลค่า $2.1 Billion USD หรือ 64,260,000,000 บาท ดีลมหากาพย์ของแบรนด์ Street ระดับยักษ์ใหญ่ Supreme ซึ่งมีบริษัทลงทุน The Carlyle Group และ Goode Partners เตรียมขายหุ้นในมือให้กับ VF Corporation โดย James Jebbia ผู้ก่อตั้ง Supreme ตัวจริงก็ได้ยืนยันว่า แม้จะมีการเปลี่ยนบริษัทผู้ถือหุ้นจริง แต่ Supreme ก็จะยังคงเป็น Supreme การทำงานจะยังคงเหมือนเดิมทุกอย่างโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีการควบคุมจาก VF Corporation “เราเคย Collab กับเกือบทุกแบรนด์ของ VF Corporation มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น
เคยทำงานเสร็จเร็วกว่าเวลาที่มีกันไหม? ไม่ว่าจะเพราะเตรียมตัวมาดี มีประสบการณ์กับงานนี้แล้ว หรือบริหารเวลาได้มีประสิทธิภาพก็ตาม แต่เรา (และคนอื่น) มักไม่ชื่นชมคนทำงานเสร็จเร็วในแง่ดีนัก เพราะเมื่อทำงานเสร็จเร็วกว่าเวลาที่กำหนด นั่นหมายความว่าจะมีเวลาที่เหลือแล้วดูว่างหรือไม่มีอะไรทำ รวมไปถึงคนกลับบ้านตรงเวลา กับคนที่ถึงเวลาเลิกงานก็ยังไม่ยอมกลับ นั่งลุยต่อไปจนดึกดื่น คนที่ดูยุ่งขิงกับงานยันดึกดื่นค่อนคืนนั่นเองที่มักถูกมองว่าขยัน มุมานะ ฝ่าฟัน และนั่นจึงเป็นที่มาของการที่ใคร ๆ ก็อยากดูงานยุ่ง ดูมีอะไรทำตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ถูกคำครหา (ทั้งจากตัวเองและผู้อื่น) ว่าไอ้นี่ทำไมมันดูชิลจัง วัน ๆ ทำไมไม่ยุ่งเลยล่ะ? มันทำงานบ้างไหมวะเนี่ย! โดยลืมไปแล้วว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิทุกประการที่จะบริหารจัดการงานและเวลาของตัวเอง ความยุ่งจึงไม่ใช่สัญลักษณ์หรือบ่งบอกคุณภาพการทำงานได้เสมอไป แล้ววันนี้คุณยุ่งไหม? ยุ่งเพราะงานเยอะบริหารเวลาไม่ทัน หรือยุ่งเพราะอยากทำตัวยุ่ง ๆ ให้ดูมีงานทำอย่างหนัก? UNLOCKMEN อยากชวนมาสำรวจ และหาทางปรับพฤติกรรม รู้จัก Toxic Busyness เมื่อเราเสพติดความยุ่งที่ลวงตา Toxic Busyness หรือ ความยุ่งเป็นพิษ คือสภาวะที่มนุษย์เหมือนกันมุ่นอยู่กับการทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแพร่หลายในโลกยุคโมเดิร์นนี้ ไม่ใช่แค่กับการทำงานเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงกิจกรรมสารพัดสารพัน ออกกำลังกาย เรียนภาษา หัดเล่นเซิร์ฟ อ่านหนังสือ ซึ่งไม่ได้แปลว่าทั้งหมดมานี้ไม่ดีแต่อย่างใด แต่บางคนเลือกทำกิจกรรมหลายอย่างเพราะกลัวจะไม่ทันคนอื่น กลัวคนอื่นจะมองว่าเราอยู่นิ่ง
ในช่วงเวลาที่การทำงานหาเงินเป็นเรื่องยากลำบาก ปัญหาการใช้ชีวิตในแต่ละวันที่สวนทางกับสโลแกน “กรุงเทพ ชีวิตดี ๆ” ราวกับคนคิดไม่เคยออกมาใช้ชีวิตบนท้องถนนและทางเท้า หรือแม้แต่ปัญหาการไม่เข้าใจกันด้านความเชื่อของคนในบ้าน ทุกความหนักอึ้งที่เราได้แต่เก็บมันไว้ในใจ ภายนอกคือหน้าตายิ้มแย้มให้กับลูกค้า เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ซึ่งงานวิจัยของ UNIVERSITY PARK พบว่า ยิ่งฝืนยิ้มเก็บกดปัญหาเท่าไหร่ เรายิ่งมีปัญหาดื่มเหล้าหนักมากขึ้นไปด้วย ผลงานวิจัยที่ University Park ชิ้นนี้ถูกเรียกว่า “National Survey of Work Stress and Health” และมีการตีพิมพ์ใน “Journal of Occupational Health Psychology “ รวบรวมข้อมูลจากคนทำงานด้านบริการด้วยวิธี Phone Interview คนทำงานใน USA จำนวน 1,592 คน เพื่อสอบถามว่าในการทำงานต้องฝืนยิ้มบ่อยแค่ไหน (ในงานวิจัยเรียกว่า “surface acting,”) และหลังเลิกงานไปดื่มบ่อยและเยอะแค่ไหน โดยเน้นอาชีพที่ประสิทธิภาพและรายได้ขึ้นอยู่กับการยิ้มแย้ม เช่น คุณครูที่ต้องบริการนักเรียน พนักงานขายอาหารที่ต้องบริการลูกค้า หรือพยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วย