ตอนนี้ ไปที่ไหนก็มีแต่คนพูดถึง Multiverse หรือในภาษาไทยเรียกกันว่า “พหุจักรวาล” หรือ จักรวาลคู่ขนาน กันเยอะขึ้น โดยเฉพาะโลกของซูเปอร์ฮีโร่ในฮอลลีวู้ดที่ในช่วงปีที่ผ่านมา คำๆนี้ดูจะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่คนดูหนังสนใจไปเลย หากแต่ในฮอลลีวู้ดแล้ว โลกคู่ขนานไม่ได้เพิ่งมาเกิดในยุคนี้ แต่ถือกำเนิดมานานแสนนานแล้ว เรามาดูกันว่าที่มาของเทรนด์นี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และทำไมถึงกลายเป็นเทรนด์สุดฮิตของภาพยนตร์ในยุคนี้ ต้นกำเนิดของคำว่า “MULTIVERSE” “Multiverse” คำ ๆ นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงประเดี๋ยวประด๋าว แต่เกิดขึ้นมาแล้วนับร้อยปี เมื่อนักปรัชญาและนักจิตวิทยานามว่า William James ได้บัญญัติคำ ๆ นี้ไว้ในบทความที่ชื่อว่า “Is Life Worth Living” เมื่อปี 1895 เพื่อสนับสนุนแนวคิดที่ว่า “เราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อย่างโดดเดี่ยว และตัวตนของเราอาจจะกำลังโลดแล่นอยู่ในจักรวาลคู่ขนานที่แตกต่างก็เป็นได้” แต่คำๆนี้กลับมาฮิตอีกครั้งในยุค 70s เมื่อ Michael Moorcock นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดัง หยิบคำ ๆ นี้มาใช้ในนิยายแฟนตาซีเรื่อง The Eternal Champion จึงทำให้คำๆนี้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย นับแต่นั้นเป็นต้นมา แต่หากจะกล่าวว่า The Eternal Champion
ช่วงทศวรรษที่ 60s – 80s ประชาชนชาวอังกฤษในยุคนั้นไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ Jimmy Savile ชายหนุ่มใจดีที่เปรียบเสมือน “สมบัติของชาติ” ในทุกรายการที่เขาจัด ในทุกกิจกรรมที่เขาไป ล้วนสร้างแรงบันดาลใจ และแรงกระเพื่อมยิ่งใหญ่ให้กับผู้คนในยุคนั้นอย่างที่ไม่เคยมีใครคนไหนทำได้มาก่อน หากแต่เมื่อเขาตายไป จากสมบัติของชาติที่ทุกคนหลงใหล กลับกลายเป็นซาตานที่น่าขยะแขยง เมื่อมีคนรื้อฟื้นคดีสุดฉาวที่เขาได้ลงมือข่มขืน กระทำชำเรา และพรากผู้เยาว์โดยมีผู้เสียหายรวมกันร่วม 500 ราย และเรื่องราวของเขาถูกนำมาตีแผ่ในสารคดีสุดเข้มข้นที่ฉายใน Netflix ในชื่อ Jimmy Savile: A British Horror Story ผู้ชายที่มีด้านสว่างและด้านมืดแตกต่างอย่างสุดขั้ว Jimmy Savile ไต่เต้าจากดีเจคลื่นวิทยุท้องถิ่นในแถบลักเซมเบิร์กตั้งแต่ปี 1958 ถึง 1968 จนในปี 1968 เขาได้ถูกเชิญมาจัดรายการที่ช่อง Radio 1 สถานีวิทยุชื่อดังของสหราชอาณาจักร ในรายการ Savile’s Travels เขาได้เดินทางไปพบปะผู้คนทั่วทั้งสหราชอาณาจักร ด้วยสไตล์การจัดรายการที่จัดจ้านและแตกต่างกับดีเจท่านอื่นๆ ทำให้ Jimmy โด่งดังในเวลาอันรวดเร็ว และการเดินสายไปพูดคุยในที่ต่างๆ ทำให้เขาสะสมฐานแฟนคลับได้อย่างรวดเร็ว จากรายการวิทยุ Jimmy
ในช่วงเวลานี้ คงไม่มีอะไรที่ Talk of the Town มากไปกว่าการไต่สวนคดีที่ดังกระฉ่อนโลกระหว่าง Johnny Depp ที่ถูกอดีตคู่รัก Amber Heard นักแสดงสาวฟ้องหย่า พร้อมกับแฉพฤติกรรมแย่ๆในความสัมพันธ์ของทั้งสอง ที่ยืดเยื้อยาวนานมาตั้งแต่ปี 2017 ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา นับเป็นช่วงเวลาที่ Depp ต้องผจญความทรมานมิใช่น้อย จากที่เขาสูญเสียโอกาสทางการงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการโดนถอดออกจากบทบาทการแสดงในหนังหลายต่อหลายเรื่อง รวมไปถึงการเป็นจำเลยทางสังคมที่ทำให้เขากลายเป็นคนร้ายไปโดยปริยาย จนถึงตอนนี้ ที่ใกล้จะถึงข้อสรุปกันแล้ว และดูเหมือนยิ่งนานวัน ดูเหมือนสังคมจะเริ่มตีกลับ ทั้งเข้าใจและเห็นใจในตัว Johnny Depp มากยิ่งขึ้น Unlockmen จึงขอเสนออีกด้านหนึ่งของตัวตนของเขาที่คุณอาจจะไม่รู้มาก่อน เพื่อประกอบการตัดสินใจว่า ผู้ชายคนนี้ยังคงจะเป็นที่รักของคนดูหนังอยู่หรือไม่ จากครอบครัวที่แตกแยกและรุนแรง ที่ทดแทนด้วยความรัก ด.ช. Johnny Depp หรือในชื่อเต็มของเขา John Christopher Depp II แม้ว่าตระกูลของเขาจะเกี่ยวดองกับราชวงศ์อังกฤษในฐานะลูกพี่ลูกน้องคนที่ 20 ของ Queen Elizabeth ที่ 2 แต่ครอบครัวของเขาก็หาได้ใช้ชีวิตอย่างราบรื่นไม่ เขาต้องเจ็บปวดทางใจกับการเห็นพ่อและแม่ทะเลาะกันตั้งแต่เด็กจนนำไปสู่การหย่าร้าง และต้องเจ็บปวดทางใจเมื่อผู้เป็นแม่ใช้เขาเป็นที่ระบายอารมณ์อยู่เสมอ
ถือเป็นธรรมเนียมประจำของคนรักเสียงดนตรีก็ว่าได้ สำหรับช่วงเวลากลางเดือนเมษา (บางปีก็ตรงกับเทศกาลสงกรานต์ของบ้านเรา) ที่เราจะจับจ้องรอดูเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่จัดมาอย่างยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ นั่นก็คือ Coachella หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Coachella Valley Music and Arts Festival เทศกาลที่ถือได้ว่าเป็นตัวกำหนดเทรนด์ดนตรีในยุคปัจจุบันว่าจะขับเคลื่อนไปในทิศทางไหน และด้วยโปรดัคชั่นที่ยิ่งใหญ่ตระการตา ทำให้หลายต่อหลายคนต่างตั้งเป้าหมายของชีวิตว่าจะต้องไปสักการะสักครั้งก่อนตาย แม้วิกฤตโรคระบาดจะทำให้เทศกาลนี้ต้องหยุดชะงักไปถึง 2 ปี แต่การกลับมาครั้งนี้ ก็ถือว่ามีโมเมนท์ที่น่าจดจำมากมาย UNLOCKMEN ขอมาย่อยโมเมนท์อันน่าประทับใจในครั้งนี้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเจ๋ง ๆ กันบ้าง MILLI กับการประกาศศักดาในฐานะศิลปินไทย และข้าวเหนียวมะม่วงสะท้านโลก เริ่มต้นด้วยความภาคภูมิใจของชาวไทย ที่สาวน้อยแร๊ปเปอร์ MILLI ได้เดินทางไปปักธงแห่งความภูมิใจด้วยการร่วมเดินทางไปกับ 88Rising ค่ายเพลงสุดทะเยอทะยานที่ต้องการประกาศศักดาแห่งดนตรีพ็อพเอเชียให้เจิดจรัสบนเวทีโลก และ MILLI ก็ทำสำเร็จดังฝันด้วยการไปขึ้นเวทีอันยิ่งใหญ่นี้ เคียงบ่าเคียงไหล่ศิลปินร่วมทวีปอย่าง Jackson Wang และ BIBI ได้อย่างไม่น้อยหน้าใคร ในโชว์ที่ชื่อว่า “88rising’s HEAD IN THE CLOUDS FOREVER” และไฮไลท์สำคัญของเธอนอกจากการสร้างทรรศนะคติให้กับชาวต่างชาติว่า
จากกระแสที่ Milli แร็ปเปอร์สาวตัวจี๊ดแห่งวงการเพลงฮิปฮอปไทยได้ไปแสดงฝีมือในเทศกาลดนตรีระดับโลกอย่าง Coachella 2022 โดยเฉพาะจังหวะประทับใจกับการนำข้าวเหนียวมะม่วงมารับประทานยั่วยวนน้ำลายคนดูทั่วโลกให้ไหลหยดติ๋ง ๆ เล่นเอากลายเป็นกระแสไวรัลทั่วโลกออนไลน์ราวกับน้ำมันติดไฟ จากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้เราได้นึกย้อนไปถึงโชว์ที่มีการเอาอะไรแปลก ๆ มาเซอร์ไพรส์ให้กับเหล่าบรรดาคนดู โดยทาง Unlockmen ขอคัด 5 ศิลปินที่ทำให้โลกต้องอ้าปากค้างกันมาแล้ว จะมีใครบ้าง ตามมาเลยครับ! นักร้องวง BRASS AGAINST ฉี่ใส่คนดู เหตุการณ์สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 เมื่อ Sophia Urista นักร้องนำสาวเกิดอาการปวดฉี่กระทันหันระหว่างโชว์ และน่าจะมีอาการมึนเมาผสมอยู่ด้วย เธอได้กระทำการที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยการขออาสาสมัครคนดูขึ้นมาบนเวทีเพื่อกินฉี่ของเธอ ใช่แล้วคุณคงคิดว่าใครจะกล้า แต่มันก็ดันมีคนบ้าใจถึงพึ่งได้ขึ้นไปบนเวทีตามคำท้า ก่อนจะนอนลงให้เธอปลดกางเกงลงและปล่อยสายน้ำยิงตรงพุ่งสู่หน้าและปากแบบชุ่มช่ำ (ตรงไหน) เรียกได้ว่าคนฉี่ก็โล่ง คนโดนก็ฟิน วินวินกันทั้งสองฝ่าย แต่หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวทางวง Brass Against ก็ออกมาโพสต์ขอโทษและยืนยันว่าจะไม่ให้นักร้องนำของพวกเขากระทำอะไรแบบนี้อีก ไม่รู้ตอนนี้คนดูคนนั้นจะโดนเพื่อนล้อยับเยินว่าเป็น “คนกินฉี่” ไปแล้วหรือยัง RAMMSTEIN วงผู้ท้าทายเปลวเพลิง เป็นกิจวัตรประจำวัน Rammstein สุดยอดวงอินดรัสเตียลเมทัลจากประเทศเยอรมนี ขึ้นชื่อเรื่องการแสดงสดสุดอลังการงานสร้างเป็นอย่างมาก
ดนตรีมักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมในชีวิตประจำวันเสมอ เช่นการออกกำลังกาย ที่เรามักจะเซตเพลย์ลิสต์กับบีตดนตรีให้เหมาะสมกับจังหวะการเคลื่อนที่ รวมไปถึงเวลาเข้าร้านสปาเรามักจะได้ยินเพลงที่เต็มไปด้วยเสียงธรรมชาติเมื่อไหร่ที่ได้ฟังก็มักจะรู้สึกผ่อนคลายตามไปด้วย ล่าสุดมีผลวิจัยใหม่เกี่ยวกับเสียงและอารมณ์ครั้งใหม่ออกมา นั่นคือ “Binaural Beats” หรือคลื่นเสียงบำบัดสมอง มีผลทำให้สมองออกฤทธิ์ get high ได้คล้ายตอนเสพยาเสพติด ซึ่งกลายเป็นข้อมูลใหม่เนื่องจากเมื่อปี 2020 มีการระบุว่า Binaural Beats ไม่มีผลต่ออารมณ์แต่อย่างใด ผลการวิจัยล่าสุดเกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2022 โดยทาง RMIT University มหาวิทยาลัยในประเทศออสเตรเลียได้จัดทำหัวข้อ “Who Uses Digital Drugs? An International Survey of ‘Binaural Beat’ Consumers” ที่ได้โชว์ให้เห็นถึงข้อมูลผู้ทำแบบสอบถาม Global Drug Survey ของปี 2021 พบว่า ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ Binaural Beats ในการผ่อนคลายเพื่อนอนหลับทั้งหมด 72%, ใช้เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ 35% และใช้เพื่อให้เกิดอาการคล้ายยาหลอนประสาทอีก 12% โดยจังหวะและคลื่นความถี่ของเสียงมักจะมีชื่อของตัวยากำกับเอาไว้เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกฟังตามความพึงพอใจของตัวเอง
ณ Mid-Den Haus Studio สตูดิโอบ้านสไตล์วินเทจย่านซอยพหลโยธิน 44 เมื่อสัปดาห์ก่อน เรามีนัดพูดคุยกับศิลปินและนักแสดงชื่อดังที่อยู่ในวงการบันเทิงมานานเกิน 20 ปี แต่ไม่น่าเชื่อว่ากาลเวลาจะทำอะไรผู้ชายที่ชื่อว่า “โดม ปกรณ์ ลัม” ไม่ได้เลย โดมจะมาพาทุกคนไปไล่ย้อนไทม์ไลน์นับตั้งแต่วันแรกที่เข้าวงการจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงมุมมองของสังคมและประเทศไทยในปัจจุบันที่ถูกแช่แข็งอยู่กับที่มาอย่างยาวนาน ซึ่งคงไม่บ่อยมากนักที่เราจะได้ฟังทัศนคติของโดมที่จะพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ พร้อมแล้วไปลุยกันเลยครับ! เข้าสู่วงการตั้งแต่วัยเด็ก โดม เป็นคนที่มีชีวิตวัยเด็กไม่ต่างจากเด็กทั่ว ๆ ไป ตื่นเช้าไปเข้าเรียน ตกเย็นเตะบอลกับเพื่อนแล้วค่อยแยกย้ายกลับบ้านนอนตามปกติ แต่สิ่งที่แตกต่างกว่าคนอื่น ๆ ซักเล็กน้อยก็คงเป็นการทำงานถ่ายโฆษณาตั้งแต่วัย 2-3 ขวบ ซึ่งโดมเล่าให้ฟังว่ามีงานเข้ามาบ่อยมาก เนื่องจากตนเองเป็นเด็กที่อึดมาก ไม่ค่อยงอแง ทำให้ได้งานตลอด มีรายได้พิเศษมาช่วยคุณแม่จนกระทั่งเข้าสู่วัย 6 ขวบ “ถ่ายโฆษณาไปมา จนไปเตะตาพี่คนหนึ่ง เขาทำละครอยู่ช่อง 3 ตอนนั้นประมาณ 6 ขวบ ผมเล่นละครช่อง 3 เป็นตัวละครเด็กนี่แหละครับ ได้เล่นอยู่หลายเรื่อง จากนั้นก็เริ่มมีงานตามมาเรื่อย ๆ ลักษณะกึ่งดาราเด็กแต่ก็ไม่เชิง เพราะว่าสมัยนั้นไม่ค่อยมีดาราเด็กที่โด่งดัง จะเป็นพระนางเสียส่วนใหญ่ เด็กก็จะเป็นตัวประกอบในละคร”
ครั้งก่อนที่ทางเราได้มีการทำคอนเทนต์เพลงร็อกยุค 90’s จากฝั่งอเมริกาไป ก็มีคอนเมนต์บางส่วนที่เรียกร้องอยากให้ทำฝั่งอังกฤษบ้าง วันนี้เราเลยขอจัด 10 เพลงร็อกระดับ Iconic แห่งยุค 90’s จากฝั่งสหราชอาณาจักรแบบเน้น ๆ เอาไว้ให้ทุกคนได้เพิ่มเข้าไปในเพลย์ลิสต์ส่วนตัวกันครับ OASIS “WONDERWALL” (1995) เอาจริง ๆ เพลงของ Oasis นี่เป็นอะไรที่เลือกยากมากเพราะเพลงดี ๆ มีอยู่หลายเพลง แต่ถ้าจะให้พูดถึงเพลงระดับ Iconic ก็มีอยู่ 2 ตัวเลือกคือ “Don’t Look Back In Anger” และ “Wonderwall” แต่สุดท้ายขออนุญาตเลือกเพลงหลัง เพราะความชื่นชอบเสียงร้องของ Liam Gallagher ในสมัยที่เสียงยังสดเอามาก ๆ “Wonderwall” เป็นผลงานจาก “(What’s The Story) Morning Glory” สตูดิโออัลบั้มที่ 2 ของ Oasis ซึ่งกลายเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่มาจวบจนทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ก็ต้องยอมรับว่าเพลง
หากกล่าวถึง Jackass วัยรุ่นระดับฮาร์ดคอร์ ไม่มีใครไม่รู้จักแก๊งเกรียนที่ชอบเสนอเรื่องราวเจ็บเนื้อเจ็บตัว พร้อมป่วนประสาทผ่านรายการเรียลลิตี้สุดฮาของช่อง MTV ในยุค 2000 นำทีมโดย Johnny Knoxville จนสร้างแฟนเดนตายและกลายเป็น Pop Culture สำคัญแห่งยุค และเลื่อนขั้นจากจอแก้วสู่จอเงิน ในสเกลที่ใหญ่และห่ามขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเพื่อต้อนรับหนังใหญ่เรื่องที่ 4 “Jackass Forever” เราจึงขอรวบรวมความเกรียนเฮี้ยนแตกของซีนที่ได้รับการโหวตว่า “โคตรคลาสสิค” ให้ชมเป็นการอุ่นเครื่องกันก่อน มาดูกันว่าตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมาพวกเขาได้สร้างความเฮี้ยนบนจอขนาดไหน และเราคงไม่จำเป็นต้องบอกว่า “การแสดงเหล่านี้เป็นความสามารถและความบ้าคลั่งเฉพาะตัว น้อง ๆ หนู ๆ ห้ามลอกเลียนแบบนจ๊ะ” Hi 5 ในตำนาน From: Jackass 3-D Hi 5 ในที่นี้ไม่ใช่โซเชี่ยลมีเดียยุคดึกดำบรรพ์ แต่เป็นการประสานมือทักทายเพื่อนฝูงตามแบบชาวตะวันตก สำหรับการ Hi 5 ของแก๊ง Jackass มีหรือจะธรรมดา ว่าแล้ว Knoxville ก็สร้างมือขนาดยักษ์ที่มีกลไกสามารถ High 5
จากนักแสดงขวัญใจวัยรุ่นที่ถูกนักวิจารณ์ปรามาสว่า “พอผ่านพ้นช่วงวัยรุ่น ต้องตกอับอย่างแน่นอน” แต่ Robert Pattinson กลับเลือกบทบาทที่แสนท้าทาย จนสามารถก้าวข้ามจากดาราขายหน้าตา เป็นนักแสดงขายฝีมือได้อย่างเหลือเชื่อ จากการรับเล่นหนังที่เน้นขายฝีมือและหนังอินดี้มามากมาย เขาได้แสดงฝีมือไปอีกขั้น กับบทบาทมนุษย์ค้างคาวเวอร์ชั่นใหม่ The Batman ที่ตีความมืดหม่นและสุดกรันจ์ เรามาดูพัฒนาการของผู้ชายคนนี้ แล้วคุณจะต้องทึ่งในบทบาทอันหลากแนวของเขา The Twilight Saga (2008-2012) แจ้งเกิดบทบาทเทพบุตรแวมไพร จากบทบาทเล็กๆที่ได้รับในหนังพ่อมด Harry Potter and the Goblet of Fire ในเวลาต่อมา Robert Pattinson ก็ได้รับโอกาสแบบก้าวกระโดดจากหนังที่สร้างจากนิยายขายดีของ Stephenie Meyer โดยได้รับคัดเลือกให้มารับบท Edward Cullen เทพบุตรแวมไพร์ที่มาหลงรักสาวน้อยปุถุชนคนธรรมดา จนเกิดเป็นสงครามระหว่างแวมไพร์กับแวร์วูล์ฟอีกหลายภาค แม้ว่าหนังจะทำรายได้รวมทั่วโลกทั้ง 5 ภาค สูงถึง 3.3 พันล้านเหรียญ จนกลายเป็นแฟรนไชส์ที่สร้างกำไรและเป็นหมุดหมายสำคัญแห่งยุคสมัยในช่วงกระแสหนังที่สร้างจากนิยาย Young Adult บูมก็ตาม แต่คุณภาพของหนังก็ค่อยๆถดถอยจนเป็นที่ชวนยี้ของเหล่านักวิจารณ์ ขนาด Robert