ดนตรีมักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมในชีวิตประจำวันเสมอ เช่นการออกกำลังกาย ที่เรามักจะเซตเพลย์ลิสต์กับบีตดนตรีให้เหมาะสมกับจังหวะการเคลื่อนที่ รวมไปถึงเวลาเข้าร้านสปาเรามักจะได้ยินเพลงที่เต็มไปด้วยเสียงธรรมชาติเมื่อไหร่ที่ได้ฟังก็มักจะรู้สึกผ่อนคลายตามไปด้วย ล่าสุดมีผลวิจัยใหม่เกี่ยวกับเสียงและอารมณ์ครั้งใหม่ออกมา นั่นคือ “Binaural Beats” หรือคลื่นเสียงบำบัดสมอง มีผลทำให้สมองออกฤทธิ์ get high ได้คล้ายตอนเสพยาเสพติด ซึ่งกลายเป็นข้อมูลใหม่เนื่องจากเมื่อปี 2020 มีการระบุว่า Binaural Beats ไม่มีผลต่ออารมณ์แต่อย่างใด ผลการวิจัยล่าสุดเกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2022 โดยทาง RMIT University มหาวิทยาลัยในประเทศออสเตรเลียได้จัดทำหัวข้อ “Who Uses Digital Drugs? An International Survey of ‘Binaural Beat’ Consumers” ที่ได้โชว์ให้เห็นถึงข้อมูลผู้ทำแบบสอบถาม Global Drug Survey ของปี 2021 พบว่า ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ Binaural Beats ในการผ่อนคลายเพื่อนอนหลับทั้งหมด 72%, ใช้เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ 35% และใช้เพื่อให้เกิดอาการคล้ายยาหลอนประสาทอีก 12% โดยจังหวะและคลื่นความถี่ของเสียงมักจะมีชื่อของตัวยากำกับเอาไว้เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกฟังตามความพึงพอใจของตัวเอง
ณ Mid-Den Haus Studio สตูดิโอบ้านสไตล์วินเทจย่านซอยพหลโยธิน 44 เมื่อสัปดาห์ก่อน เรามีนัดพูดคุยกับศิลปินและนักแสดงชื่อดังที่อยู่ในวงการบันเทิงมานานเกิน 20 ปี แต่ไม่น่าเชื่อว่ากาลเวลาจะทำอะไรผู้ชายที่ชื่อว่า “โดม ปกรณ์ ลัม” ไม่ได้เลย โดมจะมาพาทุกคนไปไล่ย้อนไทม์ไลน์นับตั้งแต่วันแรกที่เข้าวงการจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงมุมมองของสังคมและประเทศไทยในปัจจุบันที่ถูกแช่แข็งอยู่กับที่มาอย่างยาวนาน ซึ่งคงไม่บ่อยมากนักที่เราจะได้ฟังทัศนคติของโดมที่จะพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ พร้อมแล้วไปลุยกันเลยครับ! เข้าสู่วงการตั้งแต่วัยเด็ก โดม เป็นคนที่มีชีวิตวัยเด็กไม่ต่างจากเด็กทั่ว ๆ ไป ตื่นเช้าไปเข้าเรียน ตกเย็นเตะบอลกับเพื่อนแล้วค่อยแยกย้ายกลับบ้านนอนตามปกติ แต่สิ่งที่แตกต่างกว่าคนอื่น ๆ ซักเล็กน้อยก็คงเป็นการทำงานถ่ายโฆษณาตั้งแต่วัย 2-3 ขวบ ซึ่งโดมเล่าให้ฟังว่ามีงานเข้ามาบ่อยมาก เนื่องจากตนเองเป็นเด็กที่อึดมาก ไม่ค่อยงอแง ทำให้ได้งานตลอด มีรายได้พิเศษมาช่วยคุณแม่จนกระทั่งเข้าสู่วัย 6 ขวบ “ถ่ายโฆษณาไปมา จนไปเตะตาพี่คนหนึ่ง เขาทำละครอยู่ช่อง 3 ตอนนั้นประมาณ 6 ขวบ ผมเล่นละครช่อง 3 เป็นตัวละครเด็กนี่แหละครับ ได้เล่นอยู่หลายเรื่อง จากนั้นก็เริ่มมีงานตามมาเรื่อย ๆ ลักษณะกึ่งดาราเด็กแต่ก็ไม่เชิง เพราะว่าสมัยนั้นไม่ค่อยมีดาราเด็กที่โด่งดัง จะเป็นพระนางเสียส่วนใหญ่ เด็กก็จะเป็นตัวประกอบในละคร”
ครั้งก่อนที่ทางเราได้มีการทำคอนเทนต์เพลงร็อกยุค 90’s จากฝั่งอเมริกาไป ก็มีคอนเมนต์บางส่วนที่เรียกร้องอยากให้ทำฝั่งอังกฤษบ้าง วันนี้เราเลยขอจัด 10 เพลงร็อกระดับ Iconic แห่งยุค 90’s จากฝั่งสหราชอาณาจักรแบบเน้น ๆ เอาไว้ให้ทุกคนได้เพิ่มเข้าไปในเพลย์ลิสต์ส่วนตัวกันครับ OASIS “WONDERWALL” (1995) เอาจริง ๆ เพลงของ Oasis นี่เป็นอะไรที่เลือกยากมากเพราะเพลงดี ๆ มีอยู่หลายเพลง แต่ถ้าจะให้พูดถึงเพลงระดับ Iconic ก็มีอยู่ 2 ตัวเลือกคือ “Don’t Look Back In Anger” และ “Wonderwall” แต่สุดท้ายขออนุญาตเลือกเพลงหลัง เพราะความชื่นชอบเสียงร้องของ Liam Gallagher ในสมัยที่เสียงยังสดเอามาก ๆ “Wonderwall” เป็นผลงานจาก “(What’s The Story) Morning Glory” สตูดิโออัลบั้มที่ 2 ของ Oasis ซึ่งกลายเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่มาจวบจนทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ก็ต้องยอมรับว่าเพลง
Avril Lavigne ศิลปินสาวสายป๊อปพังก์จากแคนาดา ที่คอเพลงสากลยุค 2000’s ต่างรู้จักเธอกันเป็นอย่างดี ฝากเพลงดังเอาไว้บนโลกใบนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลง “Complicated”, “Sk8er Boi”, “My Happy Ending”, “Girlfriend” และอีกมากมาย นอกจากนั้น Avril ยังมีหน้าตาที่น่ารัก โดดเด่นด้วยการกรีดอายไลเนอร์สีดำเข้ม, สีผมที่แสบตา, มีแฟชั่นการแต่งตัวที่ผสมแนวพังก์อันจัดจ้าน แถมเธอมีความทะเล้นแบบน่ารักอยู่ในตัว แค่นี้ก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดแฟนเพลงได้ทุกเพศทุกวัย ความสำเร็จใน 3 อัลบั้มแรก Let Go (2002), Under My Skin (2004) และ The Best Damn Thing (2007) ทำให้เธอถูกยกย่องให้เป็นราชินีแห่งวงการเพลงป๊อปพังก์ แต่หลังจากที่กระแสเพลงร็อกซบเซาลงไปทำให้แนวเพลงที่เราคุ้นเคยจากเธอได้เปลี่ยนตามไปด้วย ใน 3 อัลบั้มถัดมา ได้แก่ Goodbye Lullaby (2011), Avril Lavigne (2013) และ Head Above
“ดนตรี” คือสิ่งที่อยู่คู่กับเราในทุกจังหวะชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเพลงช้า, เพลงเร็ว, เพลงเศร้า, เพลงอกหัก, เพลงโลกสดใส หรืออะไรก็ตาม มันเปรียบเสมือนซาวด์แทร็กประจำตัวที่คอยบันทึกความทรงจำและความรู้สึกของช่วงเวลาต่าง ๆ ในชีวิตเอาไว้ และแน่นอนมันยังเป็นสิ่งที่มอบความบันเทิงให้กับเราได้อยู่เสมอ แต่นอกเหนือจากสิ่งที่ได้เกริ่นมา ดนตรียังสามารถใช้ในการจัดการอารมณ์และสภาวะจิตใจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตัวเราได้อีกด้วย มาลองทำความเข้าใจและใช้ดนตรีให้เกิดประโยชน์ในรูปแบบใหม่ ๆ กันดีกว่าครับ ใช้ดนตรีปรับสภาวะอารมณ์ หากไม่ใช่แนวเพลงที่ชอบคุณอาจจะรู้สึกรำคาญใจในการฝืนฟังมันต่อไปเรื่อย ๆ นอกจากนั้นแล้วมันยังส่งผลให้มีอารมณ์ด้านลบและความเครียดเกิดขึ้นมาได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะส่งต่อไปกระทบต่อสภาพจิตใจโดยตรง แต่ในทางกลับกันถ้าเมื่อไหร่ที่ได้ฟังเพลงที่กระตุ้นให้คุณรู้สึกอารมณ์ดี นั่นหมายความว่าคุณกำลังเจอแนวเพลงที่ใช่และเหมาะกับคุณแล้ว ตัวอย่างเช่น หากคุณชื่นชอบเพลงเมทัลและเข้าใจบริบทของมันเป็นอย่างดี มันก็จะช่วยให้คุณสามารถฟังเพลงไปแบบชิล ๆ พร้อมกับสร้างบรรยากาศที่เราเอนจอยกับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ได้ ณ ขณะนั้น ทั้งนี้องค์ประกอบของแนวเพลงที่แตกต่างกันออกไปก็มีผลต่อสมองในรูปแบบที่แตกต่างออกไปเช่นกัน คุณก็ควรเลือกแนวเพลงให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่คุณต้องการจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ใช้ดนตรีสร้างความผ่อนคลาย ดนตรีถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการพาตัวเองเข้าสู่โหมดความผ่อนคลายสลายความเครียดที่ต้องเผชิญมา เรื่องดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่เรารู้สึกไปเอง เพราะมีนักวิจัยได้ทดลองและพบว่าดนตรีเป็นสิ่งที่ช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลายได้ในระยะเวลาอันสั้น พวกเขาได้ทดลองใช้การมิกซ์เสียงที่หลากหลาย, ทดลองใช้คลื่นความถี่ และทดลองใช้แอมพลิจูด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ว่าดนตรีประเภทไหนสามารถทำให้ผู้ทดสอบรู้สึกสงบลงและผ่อนคลายไปในเวลาเดียวกัน และก็เป็นแนวเพลงคลาสสิคเช่นผลงานของโชแปง ที่ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนน่าจะพอคาดเดากันได้ ใช้ดนตรีสร้างสมาธิ หลาย ๆ คนอาจจะเคยเผชิญอาการหลุดสมาธิในระหว่างการทำงาน สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการฟังเพลงเช่นกัน นักวิจัยได้ค้นพบว่าบทเพลงของโมสาร์ทหรือแนวดนตรีที่ใกล้เคียงกันสามารถช่วยเพิ่มสมาธิให้กับเราได้ เนื่องจากดนตรีเหล่านี้จะส่งอิทธิพลไปยังพื้นที่สมองที่รับผิดชอบในเรื่องของการจดจำได้โดยตรง
ในช่วงแต่ละยุคแต่ละสมัยดนตรีมักจะมีอิทธิพลแฝงอยู่ในห้วงเวลาเหล่านั้นอยู่เสมอ มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปและอีกหนึ่งยุคที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากคือยุค 90’s ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย โดยเฉพาะในสายของร็อกที่แตกแขนงออกมาได้อย่างน่าสนใจ วันนี้เราขอหยิบ 11 เพลงร็อกเด็ด ๆ ฝั่งอเมริกาจากยุค 90’s มาให้ทุกคนได้เสพหรือยัดใส่เพลย์ลิสต์ไว้ฟังมันส์ ๆ กันครับ *ปีของเพลงจะนับจากวันที่ถูกโปรโมต NIRVANA – SMELLS LIKE TEEN SPIRIT (1991) ผลงานจากอัลบั้ม “Nevermind” ของวง Nirvana ที่เปลี่ยนให้ทั้งโลกก้าวเข้าสู่ยุคของดนตรีกรันจ์และอัลเทอร์เนทีฟอย่างเต็มตัว ตัวดนตรีไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ซัดกันแบบตรงไปตรงมา เต็มไปด้วยอารมณ์ทางดนตรีที่ก้าวร้าว แต่เมื่อรวมกันแล้วมันกลายเป็นเพลงที่โคตรทรงพลัง จึงไม่น่าแปลกใจที่สุดท้ายแล้วเพลง “Smells Like Teen Spirit” จะกลายเป็นเพลงสัญลักษณ์ของเพลงร็อกยุค 90’s ที่ใคร ๆ ก็ต้องนึกถึงเป็นเพลงแรก นี่คือมรดกสุดแสนล้ำค่าที่บ่งบอกความรุ่งเรืองในอดีตของดนตรีกรันจ์ได้ดีที่สุดเพลงนึงของโลก METALLICA – ENTER SANDMAN (1991) ซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้มปกดำของ Metallica ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงแนวดนตรีเพื่อเจาะกลุ่มตลาดกว้างด้วยสไตล์เฮฟวี่เมทัลที่ฟังง่ายมากกว่าเดิมมาก มีการวางโครงสร้างเพลงแบบเพลงป๊อปอย่างชัดเจน “Enter Sandman” มาพร้อมกับจังหวะหน่วง ๆ
Liam Gallagher ฟรอนต์แมนสุดห้าวเป้งอดีตวง Oasis เขาคือฮีโร่ของวัยรุ่นแห่งยุค 90s ที่ถวายจิตวิญญาณให้กับดนตรีบริตป๊อป หลายคนตัดผมแต่งตัวตาม บางคนก็ลักจำเอาท่ามือไขว้หลัง ตั้งไมค์สูง ๆ เชิดหน้าชูคางร้องเพลงตาม หรือบางคนก็ชอบเดินโยกแกว่งแขนตามก็มีเช่นกัน ในช่วงนั้นนอกจากความสามารถในการร้องเพลง อีกหนึ่งความสามารถที่โดดเด่นคือสกิลปากที่พร้อมจะด่ากราดใส่ทุกคนเพื่อสร้างไวรัลบนพื้นที่สื่อแบบที่ไม่ต้องเสียเงินโปรโมตเลยแม้แต่ปอนด์เดียว (วิธียอดฮิตของดาราและบรรดา KOL ไทยวันนี้ชัด ๆ) แต่หลังจากที่วง Oasis แยกย้ายกันไปในปี 2009 สาเหตุจากปัญหาผิดใจกันระหว่าง Liam กับ Noel Gallagher ก็ดูเหมือนว่าบทบาททางสื่อของ Liam ดูจะถดถอยลงไปด้วย ถึงแม้ว่าจะมาทำวงที่ชื่อว่า “Beady Eye” แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร รวมไปถึงเสียงร้องของเขาก็ดูจะดรอปลงไปมาก จนไม่สามารถกลับมาร้องคีย์สูง ๆ ที่เคยแตะถึงได้อีกต่อไป สุดท้ายวงใหม่ของเขาก็ต้องแยกย้ายกันไปในปี 2014 ด้วยปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมาตลอดเส้นทางอาชีพศิลปิน ทำให้ภาพจำของ Liam ในสายตาคนทั่ว ๆ ไป คือชายที่หยิ่งยะโสโอหัง, เอาแต่ใจตัวเอง, หาเรื่องทะเลาะกับคนอื่นไปทั่ว และทำอะไรไม่ค่อยแคร์แฟนเพลง นึกอยากจะลงจากเวทีตอนไหนก็ลงหายไปดื้อ ๆ แบบคนดูงงกันทั้งคอนเสิร์ต แม้บางคนจะบอกว่านี่คือสไตล์ของสาย
ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน กระแสดนตรีมีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนถ่ายเทไปมาอยู่ตลอดเวลา มีดนตรีแนวต่าง ๆ เกิดขึ้นมาใหม่มากมาย มีการผสมผสานครอสโอเวอร์ข้ามสายพันธุ์จนเกิดความแปลกใหม่ขึ้นมาให้เสพเสมอ แต่ในบางครั้งบางแนวเพลงที่เคยได้รับความนิยมในอดีตก็ถูกฟื้นฟู (Revival) ให้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้รับความนิยมในกระแสหลักอีกครั้ง อย่างเช่นดนตรีแนวโพสต์พังก์ที่เคยได้รับความนิยมในช่วงยุค 80’s โพสต์พังก์ถูกเหล่าวัยรุ่นในยุค 2000’s ปัดฝุ่นหยิบกลับมันมาเล่นอีกครั้ง จนเกิดกระแสตอบรับไปทั่วโลกและถูกขนานนามว่าเป็นยุคแห่ง “Post-Punk Revival” (แม้ว่าดนตรีแนวเรทโทรอื่น ๆ จะตามมาด้วยก็ตาม) เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนก็น่าจะเคยไหลไปกับกระแสนิยมดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลงและการแต่งตัว เรามาย้อนช่วงเวลาความสนุกเหล่านั้นกับ 10 บทเพลงที่จะทำให้คุณนึกถึงยุครุ่งเรืองของ Post-Punk Revival กันดีกว่าครับ 1. THE STROKES – REPTILIA แม้จะเป็นวงดนตรีจากประเทศสหรัฐอเมริกา แต่การสื่อสารซาวด์แบบฝั่งอังกฤษของพวกเขาทำออกมาได้อย่างแนบเนียนจนทำให้ใครหลายคนเข้าใจผิดได้เลยทีเดียว เป็นอีกหนึ่งวงที่ทำให้วัยรุ่นลุกขึ้นมาแต่งตัวทำผมเลียนแบบกันเต็มไปหมด ส่วนผลงานเพลง “Reptilla” อยู่ในอัลบั้มที่ 2 ‘Room On Fire’ เป็นเพลงที่จังหวะเนิบ ๆ มีริฟฟ์กีตาร์ที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แต่แค่นั้นก็เท่โคตรแล้ว ยิ่งพอมาเจอท่อนโซโล่กีตาร์อีกก็ยิ่งเติมเต็มอารมณ์ของเพลงให้เพอร์เฟกยิ่งขึ้น เพลง “Reptilla” ถูกโปรโมตครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี
ปี 2012 หรือ 10 ปีที่แล้ว วงการดนตรีเริ่มจะเข้าสู่ยุคไร้รูปร่างตายตัว ไม่มีแนวดนตรีไหนที่ยึดหัวหาดความนิยมได้อย่างเหนียวแน่นทนนานเหมือนทศวรรษก่อนๆ แต่สิ่งที่ทดแทนมาคือความหลากหลายที่ทำให้รับรู้ได้ว่า หากเพลงที่ทำดีและเจ๋ง ก็สามารถสร้างความนิยมให้คนฟังได้เสมอ โดยเฉพาะวัฒนธรรม K-Pop ที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน สุดท้ายก็สัมฤทธิ์ผลเป็นกระแสสุดแรงแจ่มชัดในปีนี้ เรามาย้อนเวลากลับไปหาเพลงเหล่านี้กัน มาดูกันว่าเมื่อปี 2012 เพลงไหนที่ฮิตและโดนใจเป็นกระแสในวงกว้างกันบ้าง Arctic Monkeys – R U Mine? ซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้ม AM ที่สุดจะ Garage Rock ของคณะลิงขั้วโลก ในยุคที่ทำเพลงได้มันส์สะเด่าเด็ดดวง โดย R U Mine? ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาที่วงได้เดินสายทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกันกับ The Black Keys โดยฟรอนท์แมนอย่าง Alex Turner ได้บอกถึงที่มาของเพลงนี้ว่า “มันเป็นช่วงเวลายาวนานที่เรากินนอนอยู่บนรถทัวร์ ระหว่างนั้นเราก็ทั้งรู้สึกเหนื่อยล้ากับการเล่นเพลงอัลบั้มก่อนหน้า (Suck It and See ) เราอยากยกระดับการแสดงสดของเราให้คนที่มาดูไม่ยืนหาวหรือเดินออกไปซื้อฮอตด็อกหรือป็อปคอร์นแดกกันขณะที่พวกเรากำลังเล่นสดอยู่” โดย Alex ได้แรงบันดาลใจจากการเขียนเพลงแนวพรรณาโวหารของแร็ปเปอร์
ใครเป็นแฟน Hip Hop น่าจะคุ้นหูกันดีกับชื่อ Death Row Records ค่ายที่ represent West Coast rap ในอดีตนำโดย CEO, Suge Knight Death Row Records เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ผลักดัน Gangster Rap ให้กลายเป็นแนวเพลงที่โด่งดังไปทั่วโลก มีศิลปินระดับตำนานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Tupac, Dr. Dre รวมถึง Snoop Dogg ที่เข้ามาร่วมงานในปี 1993 ส่งผลงานประวัติศาสตร์ด้วยอัลบั้ม Doggystyle ที่มีเพลงอย่าง Gin & Juice, Doggy Dogg World และ Murder Was The Case จนประสบความสำเร็จในระดับ World Class อย่างรวดเร็ว Snoop Dogg เผยถึงเหตุผลในการเข้าซื้อหุ้นใหญ่ Death