หันมองคนรอบตัวเราตอนนี้ ถ้ามีใครสักคนที่งานยังรุ่ง การเงินยังพุ่งแรง ธุรกิจยังทะยานไปข้างหน้าได้แบบไม่ตก คงต้องคารวะอย่างสุดจิตสุดใจ แต่ข้อเท็จจริงคือคนเหล่านั้นไม่ใช่คนส่วนใหญ่ สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคง ส่งผลต่อสภาพธุรกิจที่ไม่แข็งแรง จนหลายองค์กรต้องปรับตัวขนานใหญ่ (และปรับอยู่บ่อย ๆ เพื่อตามสถานการณ์ให้ทัน) สภาวะคับขันแบบนี้องค์กรจึงยิ่งต้องการคนทำงานที่ประสิทธิภาพมากพอที่จะพาองค์กรเติบโตหรือยังไปต่อได้ ดังนั้นใครที่ยังมีงานประจำ ยิ่งต้องกอดงานตัวเองไว้ให้แน่น เพราะการปรับเปลี่ยนพนักงาน ปรับโครงสร้างก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่องค์กรเลือกปรับ ถ้าคนทำงานไม่ตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ ๆ ขององค์กรได้ คำถามก็คือในสภาวะที่ไม่มั่นคงแบบนี้ เราจะรักษามาตรฐานอย่างไรถึงจะเป็นคนทำงานที่องค์กรต้องการตัวเราอยู่เสมอให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่เราทำงานอยู่ หรือเผื่อต้องหางานใหม่ในอนาคต? มาตรฐานสูงเข้าไว้ (และอย่าให้มาตรฐานตก!) สิ่งที่ต้องจำให้แม่นมั่นในสถานการณ์อันยากลำบากแบบนี้คือเราต้องเป็นคนที่ดีที่สุด ต้องเป็นคนที่มีมาตรฐานที่สูงที่สุดในพื้นที่การทำงานของเรา หมั่นรักษาทักษะและศักยภาพที่มีให้สดใหม่และรักษาความแข็งแกร่งเดิมไว้ให้ได้ เพราะในขณะที่ตลาดงานหดตัวลง (คนต้องการทำงานเยอะ องค์กรมีอัตราการจ้างต่ำ) นายจ้างยิ่งมีทางเลือกมากขึ้นดังนั้นองค์กรมักเลือกคนที่ดีที่สุดมากกว่าเลือกคนที่ทำงานไปวัน ๆ อย่างไรก็ตามคำว่า “มาตรฐานสูง” ไม่ได้หมายความว่าถ้าเราเป็นระดับจูเนียร์แล้วจะข้ามไปซีเนียร์ ไปทำงานบริหาร แต่หมายความว่าเราต้องทำดีที่สุดในพื้นที่ของเรา ( เช่น ถ้าพูดถึงตำแหน่งนี้ของจูเนียร์ เราต้องเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ผู้บริหารพูดถึง) ดังนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ในระดับไหนของตำแหน่งที่เราทำ เป็นระดับปฏิบัติการ เป็นระดับบริหาร เป็นะดับอาวุโส ฯลฯ เราต้องรักษามาตรฐานให้สูงที่สุดในพื้นที่ของเรา ด้วยการเรียนรู้อยู่เสมอ พัฒนาทักษะใหม่ ๆ ที่สำคัญต่องานที่เราทำอยู่
ถ้าพูดถึง CEO ไฟแรงที่น่าจับตามองในขณะนี้ สปอตไลท์คงต้องส่องไปที่ คุณรวิศ หาญอุตสาหะ หรือพี่แท๊ป ผู้บริหารไฟแรง แห่งบริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เจ้าของเพจ Mission to the moon ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 300,000 คน เจ้าของ Podcast ชื่อดังอย่าง Superproductive Podcast และหนังสือติดอันดับมากมายอย่าง Marketing ลิงกลับหัว, คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่ปากซอย, Superproductive และอีกหลายเล่มที่คุณต้องไปติดตาม เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว เราคงไม่พลาดที่จะมาเจาะลึก สูตรสำเร็จในการบริหารจัดการสไตล์พี่แท๊ปกันว่า มีเคล็ดลับการบริหารจัดการอย่างไรให้ประสบความสำเร็จทั้งด้านการทำงาน รวมถึงการได้ทำสิ่งที่ตนเองรักอีกด้วย วิธี Motivate ตัวเอง ให้เป็นคนที่ Superproductive ตลอดเวลา สม่ำเสมอโดยไม่ท้อไม่หมดแรง พี่แท๊ป : จริง ๆ ต้องบอกว่าก็ไม่ได้ productive ตลอดเวลาขนาดนั้น ก็มีวันที่หนืด ๆ นอนเฉย ๆ
ความเครียดอยู่คู่กับมวลมนุษยชาติมาโดยตลอด โดยเฉพาะในยุคที่เราต้องแข่งกันทำงาน ฟาดฟันกันทางธุรกิจ ความเครียดย่อมรุมเร้าเป็นเงาตามตัว ความเครียดในระดับที่เหมาะสมอาจหมายถึงเราได้เผชิญความท้าทาย ได้ก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน แต่ความเครียดที่พุ่งทะลุขีดก็อาจหมายถึงปัญหาสุขภาพที่ตามมา หรืองานที่ไม่มีประสิทธิภาพได้ การจัดการกับความเครียดให้อยู่หมัดจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรเรียนรู้และฝึกฝน ไม่ใช่เพื่อให้ชีวิตนี้ไม่มีเรื่องเครียดมากวนใจ แต่เมื่อมีปัญหาและเรื่องเครียดมาทักทายแล้วเราสามารถรับมือกับมันได้อย่างที่มนุษย์ที่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ คนเขาทำกัน อย่ามัวคลายเครียด แต่หาสาเหตุแล้วกำจัดต้นตอของมัน กิจกรรมผ่อนคลายความเครียดไม่ได้ผิดอะไร เราสามารถทำกิจกรรมเหล่านั้นเวลาเราต้องการเพิ่มความรู้สึกรื่นรมย์ให้ชีวิต หรือเมื่อความเครียดนั้นอยู่ในระดับแค่เบี่ยงเบนความสนใจก็ดีขึ้น แต่เราไม่สามารถหาทางคลายเครียดเพื่อหนีความเครียด หรือกำจัดมันให้พ้นไปตลอดกาลได้ ดังนั้นหนทางสำคัญจึงเป็นการหาที่มาของความเครียดนั้นให้เจอ และจัดการกับมันอย่างตรงจุด การศึกษาวิจัยตลอดทศวรรษที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ที่ประสบความสำเร็จจากหลายแขนง ทั้งนักธุรกิจ ผู้นำการทหาร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กระทั่งนักกีฬามากความสามารถล้วนแต่โฟกัสไปที่การแก้ปัญหา ตั้งแต่ที่สถานการณ์เริ่มสร้างความตึงเครียดให้พวกเขา วิธีการก็คือการพยายามระบุแหล่งที่มาของความเครียดให้ได้ จากนั้นจึงจัดการกับมันอย่างตรงจุด เช่นกรณีของศัลยแพทย์ที่ต้องผ่าตัดครั้งสำคัญ นอกจากความยากของการผ่าตัดที่เป็นความท้าทายครั้งสำคัญซึ่งเลี่ยงไม่ได้แล้ว การนอนไม่พอหรือการหายใจผิดจังหวะจากความเครียดของตัวเองก็อาจทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีก ดังนั้นทางแก้ที่พวกเขาเลือกจึงเป็นการนอนให้เพียงพอก่อนวันผ่าตัด การฝึกการหายใจเพื่อให้รับมือกับความเครียดในห้องผ่าตัดได้ดีขึ้น หรือกรณีของนักธุรกิจที่ต้องเครียดจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในองค์กร เขาจะไม่เลือกเพิกเฉย แล้วรอแก้ปัญหาที่ตามมา แต่เลือกหาสาเหตุของปัญหาเหล่านั้นและรีบคลี่คลายมันก่อนที่ทุกอย่างจะลุกลาม คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก จึงไม่ได้เลือกทางที่ความเครียดเกิดขึ้นแล้วหาทางบรรเทาอารมณ์ความรู้สึกนั้นแต่พวกเขาจะพยายามหาสาเหตุของความเครียดที่พวกเขารู้สึกเป็นอันดับแรก แล้วหาทางมาจัดการกับต้นตอนั้นให้เร็วที่สุด อารมณ์เชิงลบ ไม่ได้แย่เสมอไป ถ้าใช้ให้ถูกวิธี เชื่อว่าหลายคนเคยได้รับคำแนะนำเรื่องการจัดการความเครียดที่เน้นให้เราควบคุมอารมณ์เชิงลบของตัวเอง การไม่โกรธ การไม่ผิดหวัง คำแนะนำที่อยากให้เราผ่อนคลายอารมณ์จากความเครียดอันเผาไหม้ ด้วยการให้มองโลกมุมใหม่ การพยายามหามุมมองที่เป็นบวกกว่าให้ตัวเอง วิธีเหล่านั้นได้ผลในหลาย ๆ กรณี โดยเฉพาะเมื่อเราเผชิญความเครียดจากเรื่องที่เราไม่อาจควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงมันได้อีกแล้ว
พูดถึงสารเคมีในเครื่องดื่มที่ทำให้เราตาสว่าง สิ่งนั้น คือ ‘คาเฟอีน’ (caffeine) ที่เราบริโภคกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะมีอยู่ในเครื่องดื่มหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น โค้ก ชา หรือ กาแฟ เป็นต้น แต่สงสัยไหมว่า ในเมื่อคาเฟอีนมีอยู่ในเครื่องดื่มหลายชนิด ทำไมกาแฟจึงทำให้เรารู้สึกตื่นได้ดีที่สุด? UNLOCKMEN จะอธิบายให้ทุกคนฟัง พร้อมแนะนำวิธีการดื่มกาแฟให้ตื่นอย่างแท้จริงด้วย ทำไมต้องดื่มกาแฟ? คาเฟอีนมีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง (หรือ สมอง) ทำให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น อะดรีนาลีน (adrenaline) หรือ โดปามีน (dopamine) ส่งผลให้ อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต ไปจนถึงระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงขึ้น เราจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเมื่อได้รับสารคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ในเครื่องดื่มแต่ละชนิดจะมีปริมาณคาเฟอีนที่ต่างกัน กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่มีปริมาณคาเฟอีนสูง เมื่อเที่ยบกับเครื่องดื่มประเภทอื่น เช่น ชา ค่าปกติปริมาณคาเฟอีนในกาแฟจะอยู่ที่ 40 มก./100 กรัม ส่วนชาจะอยู่ที่ 11 มก./100 กรัม ซึ่งความแตกต่างในเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะธรรมชาติของตัวเมล็ดกาแฟ หรือใบชา แต่เกิดจากวิธีการชงกาแฟใช้น้ำที่มีอุณหภูมิสูงกว่า
เคยเป็นมั้ย เวลาคุยกับคนใหม่ๆ คนแปลกหน้า เราจะรู้สึกไม่มั่นใจ เพราะคิดว่าเขาคงคุยกับเราแล้วรู้สึกไม่สนุกเท่าไหร่ ขอบอกเลยว่าคุณไม่ได้เดียวดายในเรื่องนี้ เพราะ ‘Liking Gap’ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่ไอ้สิ่งที่เรียกว่า Liking Gap มันคืออะไร? แล้วมันเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความสัมพันธ์ตรงไหน? UNLOCKMEN จะอธิบายให้ทุกคนฟัง พร้อมแนะนำ 3 เคล็ดลับทลายกำแพงการพูดคุยกับคนแปลกหน้าเอาไว้ฝึกฝนสกิลการเข้าสังคม และต้องเริ่มต้นบทสนทนากับพบผู้คนหน้าใหม่ ๆ Liking Gap คือ คำเรียกสภาวะที่เรารับรู้ความชื่นชอบจากคนอื่นไม่ตรงตามความเป็นจริง โดยเรื่องนี้ได้รับการยืนยันโดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า เรามักประเมินความชอบที่ได้รับจากคนอื่นต่ำกว่าความเป็นจริง งานวิจัยชิ้นนี้ทำโดยทีมวิจัยของ ‘Erica Boothby’ นักจิตวิทยาจาก ‘Cornell University’ ในปี 2018 ซึ่งได้ศึกษาสถานการณ์ที่คนแปลกหน้าพูดคุยกัน (ทั้งในห้องทดลอง และสถานการณ์จริงของผู้เข้าร่วมเวิร์คช็อป) โดยทีมวิจัยได้เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างใน 2 เรื่อง ได้แก่ แต่ละคนชอบคู่สนทนาของตัวเองมากแค่ไหน? และแต่ละคนคิดว่าคู่สนทนาของตัวเอง รู้สึกชอบเรามากน้อยแค่ไหน ? นักวิจัยได้ทำการศึกษา 5 ครั้ง (มีการเปลี่ยนสถานการณ์ และกลุ่มตัวอย่างระหว่างการทดลอง) ในกลุ่มตัวอย่างที่มีจำนวนรวมกันกว่า 700 คน
หลายคนคงเคยเจอสถานการณ์ประมาณว่า “งานจะต้องส่งพรุ่งนี้แล้ว แต่วันนี้ยังทำไม่เสร็จ และรู้สึกขี้เกียจเป็นอย่างมาก” อันเกิดจากการไม่ยอมทำงานให้เสร็จตั้งแต่เนิน ๆ แต่ได้ขยับ timeline ไปเรื่อย ๆ จนถึงหนึ่งวันก่อนส่งงาน บางคนอาจเริ่มโทษความขี้เกียจของตัวเอง ว่ามีมากเกินไปจนไม่ยอมทำงานให้เสร็จและรู้สึกกระวนกระวายกลัวจะทำงานเสร็จไม่ทัน ความขี้เกียจเป็นปัญหาหรือไม่? แล้วเราจะทำให้ตัวเอง productive ขึ้นมาได้อย่างไร? UNLOCKMEN จะไขข้อข้องใจเหล่านี้เพื่อให้ทุกคนได้ปลดล็อกศักยภาพให้เอง ความขี้เกียจเกิดจากอะไร? ว่ากันว่ามนุษย์ขี้เกียจกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดั้งเดิมจำเป็นต้องเก็บสะสมพลังงานเพื่อความอยู่รอด หลักฐานทางวิทยาศาสตร์พบว่า ร่างกายของมนุษย์ใช้พลังงานในการทำงานเยอะมาก (อย่างสมองมีน้ำหนักราว 2% ของร่างกาย แต่กินพลังงานที่ร่างกายได้รับต่อวันทั้งหมดถึง 20%) ความขี้เกียจจึงอาจเข้ามาช่วยให้มนุษย์ไม่ใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองเกินไปนั่นเอง แต่ต้นเหตุของความขี้เกียจก็ไม่ได้เกิดจากสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ความขี้เกียจเข้าครอบงำ ได้แก่ ความกลัว (fear) ความขี้เกียจและความกลัวดูจะมีความสัมพันธ์กัน ความขี้เกียจเปรียบเหมือนพื้นที่ปลอดภัย (comfort zone) สำหรับหนีความกลัวที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น กลัวว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ กลัวว่าจะล้มเหลว กลัวว่าจะตอบสนองความคาดหวังของคนอื่นไม่ได้ ความกลัวในลักษณะนี้หนักหน่วง และเป็นภาระต่อร่างกาย ทำให้เกิดความเครียด เราจึงต้องขี้เกียจ และผัดวันประกันพรุ่ง (procrastination) เพื่อปัองกันการเผชิญหน้ากับความกลัวทั้งๆ ที่เรายังไม่พร้อม ซึ่งบางคนกว่าจะรู้สึกพร้อมก็ใช้เวลานานพอสมควร ภาวะซึมเศร้า
คราวที่แล้วเราได้แนะนำเรื่อง 5 CHECKLISTS ระบุสัญญาณว่าที่ทำงานของคุณเต็มไปด้วย TOXIC WORKPLACE ไปแล้ว และอย่างที่สัญญาว่าเราจะมานำเสนอวิธีเอาตัวรอด ถ้าเช็คแล้วพบว่าที่ทำงานของคุณมันช่างเต็มไปด้วยความ Toxic Workplace ซึ่งในสถานการณ์ที่งานเป็นสิ่งหายาก จะลาออกเพื่อหนีปัญหาก็ไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดีนัก เลยอยากจะแนะนำเคล็ดลับที่จะทำให้ทุกคนสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขได้ แม้จะอยู่ใน toxic workplace ก็ตาม ซึ่งมีหลักง่ายๆ ดังต่อไปนี้ หลีกเลี่ยงดราม่า (avoid drama) ไม่นินทา หรือ ตัดสินคนอื่นจากคำนินทาเพียงอย่างเดียว ควรตัดสินจากข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งจากประสบการณ์ของเราเอง และ ประสบการณ์ของคนอื่น หากเป็นไปได้ มีอะไรก็ควรพูดคุยกันตรง ๆ ไม่ว่าจะกับเพื่อนร่วมงาน หรือ เจ้านายที่มีปัญหา เพื่อให้ปัญหานั้นได้รับการแก้ไข ไม่ถูกซุกอยู่ใต้พรม ซึ่งยิ่งมีปัญหาคาใจซุกไว้มาก ยิ่งจะทำให้บรรยากาศในการทำงานมาคุเสียเปล่า ๆ ตัวบริษัทเองก็ควรสร้างช่องทางการสื่อสารที่ทำให้เกิดการพูดถึงปัญหาด้วย เช่น อาจจะทำเป็นช่องทางการสื่อสารแบบลับๆ ที่จะทำให้ผู้รายงานปัญหาไม่รู้สึกว่า จะถูกคุกคามในอนาคตเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สร้างขอบเขตในการทำงานที่ชัดเจน (establish boundaries) ในบางกรณีที่อยู่ใน toxic workplace ก็ยากที่จะปฏิเสธการทำงานเกินเวลา หรือทำงานในวันที่ควรจะได้พัก จึงต้องมีการกำหนดขอบเขตในการทำงานและการใช้ชีวิตที่ชัดเจน
เพราะมนุษย์เกิดมาเพื่อมีชีวิตร่วมกันเป็นสังคม ไม่แปลกที่หลายครั้งเราเห็นการใช้ชีวิตของคนอื่น แล้วอดย้อนมามองดูตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะการทำงานที่ทำร่วมกันเป็นทีม แผนก หรือองค์กร ที่เราจะได้เห็นผลงาน เห็นความคืบหน้าของเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ ยิ่งช่วง Covid-19 ที่ทุกคนต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อเข็นโปรเจกต์ออกมาขาย เพื่อทลายขีดจำกัดการทำงานเดิม ๆ เราจึงยิ่งได้เห็นคนทำงานไปไกลกว่าศักยภาพเดิม ๆ ของพวกเขาอยู่ตลอด แต่ยิ่งเป็นแบบนั้น หลายคนก็ยิ่งหดหู่ เพราะในขณะที่เราเห็นผลงานใครต่อใครก้าวไปข้างหน้า แต่ทำไมเรายังดูเหมือนว่าไม่ได้ขยับไปไหน? แล้วในวันที่เราเหมือนย่ำอยู่กับที่ แต่ทุกคนกำลังไปได้ดี เราจะต้องทำอย่างไร? หยุดเปรียบเทียบอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ต้องมาวิเคราะห์ดูว่าเกิดอะไรขึ้น และเราทำอะไรได้บ้าง? “วิเคราะห์และประเมิน” เพราะสิ่งที่รู้สึก อาจไม่ใช่ข้อเท็จจริง กุญแจสำคัญของการก้าวข้ามการเปรียบเทียบ (และรู้สึกน้อยอกน้อยใจ) ไปได้ ไม่ใช่แค่การอยู่ ๆ ก็บอกตัวเองว่า เฮ้ย เราแย่ เราทำงานน้อย เราทำงานไม่ดี แล้วก็ตะบี้ตะบันโหมงานหนัก หรือทำตามคนอื่น ๆ เพื่อให้ทันเขา แต่เป็นการที่เราต้องรู้จักวิเคราะห์และประเมินสิ่งที่เรากำลังทำ ถ้าเรารู้สึกว่า โห คนรอบตัวเรา ทุกคนทำมากกว่าเราทั้งนั้น นั่นอาจเป็นสิ่งที่เรารู้สึกแต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเสมอไป เพราะมันไม่ได้มีมาตรวัดการทำงานที่ใช้วัดกับทุกคนได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือเราสามารถประเมินและวิเคราะห์วิธีทำงานของตัวเราเองได้ ลองนึกภาพตัวเราเองนั่งอยู่ในห้องประชุมที่กำลังระดมไอเดียใหม่อย่างดุเดือด กระบวนการนี้กินเวลาทั้งวัน แต่ในช่วงเช้าระหว่างที่เรากำลังนั่งเงียบฟังอยู่นั้น เพื่อนร่วมงานที่รายล้อมกลับมีไอเดียพรั่งพรูเสนอได้ไม่หยุดหย่อน
ตอนนี้คุณกำลังมีความสุขในการทำงานอยู่รึเปล่า ? ถ้าคุณตอบได้อย่างมั่นใจว่ามี คุณก็ข้ามบทความนี้ไปเลยก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่มั่นใจว่ากำลังมีความสุขกับงานที่ทำอยู่ เพราะเจอกับเรื่องชวนปวดหัวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนร่วมงานที่ช่วยอะไรไม่ค่อยได้ หรือ รู้งานหนักเกินจนแทบไมได้พัก เป็นต้น คุณอาจจะอยู่ใน toxic workplace อยู่ก็เป็นได้ เราขอแนะนำให้คุณลองอ่านบทความนี้ เพราะเราจะพาคุณไปทำความเข้าใจ และแนะนำวิธีการแก้ไข ปัญหาที่ทำงานเป็นพิษ หรือ toxic workplace เพื่อช่วยให้คุณสามารถทำงานได้อย่างสบายใจโดยไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องลาออก ก่อนอื่นเราอยากให้ทุกคนเข้าใจถึงองค์ประกอบที่ทำให้เกิด toxic workplace เสียก่อน ซึ่งมันเกิดได้ทั้งจาก พฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี เช่น ไม่ตั้งใจทำงาน หรือ บรรยากาศในการทำงานที่ไม่ดี เช่น มีการกลั่นแกล้ง หรือ นินทากัน รวมไปถึง ตัวงาน เช่น งานหนักเกินไปจนไม่ได้พัก ซึ่งหากมีปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง หรือ มากกว่าปัจจัยหนึ่งรวมกันแล้ว ทำให้คุณใช้ชีวิตได้ลำบาก อาจเป็นสัญญาณว่า คุณกำลังอยู่ใน toxic workplace อยู่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาจากการอยู่ใน toxic workpace มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
สำหรับทุกบริษัท การนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของพวกเขาก้าวไปข้างหน้าได้ แต่ปัญหาที่หลายบริษัทต้องเจอคือการที่คนในบริษัทไม่ยอมเสนอไอเดีย ไม่แสดงความคิดเห็น ร้ายที่สุด คือ พวกเขาไม่ยอมรายงานปัญหา Conflict ที่พบเจอในที่ทำงานให้ผู้ใหญ่ได้รับทราบ ปล่อยให้มันลุกลามจนเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องที่ยากจะแก้ไข ปัญหานี้ UNLOCKMEN มองว่าเป็นเรื่องใหญ่ เลยอยากจะพาทุกคนไปดูว่ามีสาเหตุใดบ้างที่ทำให้ลูกน้องไม่กล้าแสดงความคิดเห็นในที่ทำงาน และจะแก้ไขอย่างไรดี ขาดความมั่นใจที่จะแบ่งปันไอเดีย มันจะมีกรณีที่บางคนรู้สึกไม่มั่นใจเวลาที่จะแบ่งปันไอเดีย ถ้าในที่ประชุมมีการแบ่งหน้าที่กันชัดเจนเกินไป หรือมักจะกับคนนอกหน้าที่ที่พยายามเสนอไอเดียว่ามันไม่ใช่เรื่องของพวกเขา หรือให้สนใจแต่หน้าที่ของตัวเอง ฯลฯ พอได้ยินคำพูดแบบใส่บ่อยๆ พวกเขาก็รู้สึกว่า การแสดงความคิดเห็นในที่ทำงานจะทำให้พวกเขาถูกตำหนิ ปิดปากเงียบไว้ดีกว่า ท้ายที่สุดพวกเขาก็เลยไม่เสนอไอเดียใหม่ ๆ อีกเลย Solution: ก่อนอื่นเลย คนที่เป็นหัวหน้าต้องเข้าใจก่อนว่า มันมีอะไรบ้างที่จะทำลายความมั่นใจของลูกน้องได้ (เช่น การห้าม การตำหนิ ฯลฯ) บอกกับทีมให้เปิดใจรับฟังไอเดียจากคนทุกแผนกดูบ้าง เพราะเค้าอาจจะมีไอเดียอะไรในมุมมองที่เราคาดไม่ถึง และพยายามไม่ตำหนิหรือ Kill idea ในที่ประชุม แล้วลูกน้องจะกล้าแสดงความคิดเห็นในที่ทำงานมากขึ้นเอง ไม่คิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ในเวลานั้น บางบริษัทไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าเรื่องไหนที่นับว่าเป็นปัญหา หรือ ปัญหาแบบไหนบ้างที่ควรรายงาน บางคนเลยไม่รู้ว่าสิ่งที่เจอเป็นปัญหาที่ควรรายงานหรือเปล่า อีกทั้งบางบริษัทเองก็ไม่ได้สนับสนุนวัฒนธรรมการรายงานในทุก ๆ