หลายคนอาจเบื่อเวลาบริษัทจัดการประชุมงานตอนเช้า โดยอาจเพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เสียเวลา และตัวเองก็รู้สึกไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับการประชุมมาก การประชุมที่ไม่มีประสิทธิภาพบ่อยๆ ให้ผลเสียมากกว่าผลดีต่อทุกฝ่าย ทั้งคนที่จัดประชุมและผู้เข้าร่วมการประชุม UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำวิธีการจัดการประชุมเช้าที่มีประสิทธิภาพ เพราะเห็นว่า การประชุมเช้ามีประโยชน์ต่อการทำงาน และถ้ามีการจัดประชุมที่ดี จะส่งผลดีต่อทุกคน วิธีการประชุมในตอนเช้าที่ดีที่สุดควรไม่ใช่เวลานาน แต่ควรเป็นในแบบที่ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า ‘morning huddle’ คือ เป็นการพบปะกันโดยใช้เวลาไม่เกิน 15 – 20 นาที เพราะตอนเช้าเป็นเวลาที่หลายคนอาจมีงานที่ค้างอยู่ และไม่สามารถให้ความสนใจกับการประชุมยาวๆ ได้เต็มที่ การประชุมสั้นๆ จึงมีประสิทธิภาพมากกว่า แม้จะเป็นการประชุมสั้นๆ แต่ ‘morning huddle’ ก็ให้ประโยชน์กับองค์กรมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ทำให้เกิดการพูดถึงปัญหาที่พบเจอในการทำงาน เพราะ ทุกคนได้รับโอกาสในการพูด ทำให้การทำงานเป็นทีมเวิร์กมากขึ้น เพราะเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น และทำให้ทุกคนมีความเข้าใจตรงกันและรู้ทิศทางในการทำงาน สามารถวางแผนการทำงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรได้ สร้างความรู้สึกการมีส่วนร่วมในการทำงานอย่างแท้จริง และองค์กรยังสามารถใช้ morning huddle สร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับพนักงานในบริษัทได้ด้วย เช่น ให้ทุกคนท่อง motto ขององค์กร พูดถึงวิสัยทัศน์ขององค์กร ฯลฯ ความสำคัญของ morning huddle เห็นได้จากการที่บางประเทศจัดกันเป็นวัฒนธรรม
การแบ่งเวลาไม่ดีสามารถส่งผลเสียให้เราได้หลายอย่าง เช่น ทำให้เราทำงานได้น้อยลง ช้าลง หรือ ใช้เวลาในการทำงานมากจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น เป็นต้น ดังนั้น ในยุคที่เรามีอะไรต้องทำอะไรหลายอย่าง จึงต้องมี Work life-balance และทักษะการบริหารเวลาที่ดีมีความสำคัญต่อชีวิตเรา ในบทความนี้ UNLOCKMEN เลยอยากแนะนำเทคนิคการบริหารเวลาแบบหนึ่งชื่อว่า Time blocking ซึ่งเป็นเทคนิคที่ผู้มีชื่อเสียงในระดับโลกใช้กัน เช่น Elon Musk เพื่อให้ทุกคนสามารถบริหารเวลาของตัวเองได้ดีขึ้น และมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้นตามมา Time Blocking คือ อะไร? Time blocking คือ เทคนิคการบริหารเวลาโดยการแบ่งวันในแต่ละสัปดาห์ออกเป็นส่วนย่อยๆ หรือ บล็อก สำหรับการทำงานที่เฉพาะเจาะจง มันเป็นเทคนิคที่มีความเก่าแก่พอๆ กับหลักฐานการใช้งานปฎิทินในยุคทองแดง (Bronze Age) ซึ่งในยุคนั้นมีการใช้ปฏิทินเพื่อกะเวลาในการทำเกษตรกรรม ไม่มีใครทราบว่า ผู้คิดค้น Time blocking คือใคร แต่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า คนแรกๆ ที่ใช้วิธีการนี้ในการบริหารเวลาชีวิต คือ Benjamin Franklin โดยเขาได้มีการแบ่งกิจกรรมต่างๆ ที่เขาจะทำในแต่ละชั่วโมงของวัน Time blocking จะเป็นวิธีการที่ให้ความสำคัญกับการทำอะไรทีละอย่าง
ในสังคมของเราเต็มไปด้วยผู้คนที่มีความหลากหลาย และแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น ค่านิยม ความเชื่อ วิถีชีวิต ฯลฯ ซึ่งความแตกต่างเหล่านี้เห็นได้อย่างชัดเจนในกลุ่มคนที่มีช่วงวัย หรือ generation ที่ต่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกวันนี้เราจะเห็นคนที่อยู่ในบ้านเดียวกันทะเลาะกัน เพราะมีความเห็นไม่ตรงกันบ่อยๆ ความแตกต่างของคนต่าง Generation กัน มักทำให้คนในสังคมเดียวกันไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน นำไปสู่ความขัดแย้ง และการทะเลาะเบาะแว้ง มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปจนมีการนิยามคำว่า The generation gap ขึ้นมาอธิบายมันเลยทีเดียว ในบทความ UNLOCKMEN เลยอยากพูดถึงวิธีการทำงานและใช้ชีวิตร่วมกับคนต่าง Generation เพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ลดการทะเลาะเบาะแว้ง และรับมือกับคนที่แตกต่างจากเราได้ดียิ่งขึ้น ทำไมคนต่างวัยกันถึงได้เหมือนอยู่กันคนละโลก ? ถ้าใครกำลังหนักใจและสงสัยว่าทำไมพ่อแม่ของเราคิดไม่เหมือนเรา? และไม่รู้จะแก้ไขยังไงดี เราอยากแนะนำว่า อย่าเพิ่งคิดหนีออกจากบ้าน หรือถ้ามีปัญหานี้กับหัวหน้าในที่ทำงาน ก็อย่าเพิ่งคิดจะเปลี่ยนงาน เพราะเราเชื่อว่าโอกาสที่เราจะเจอกับปัญหาแบบเดิมน่าจะยังมีสูงอยู่ ตราบใดที่เรายังต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในสังคมอยู่ดี เราจึงอยากให้ทุกคนเข้าใจปรากฎการณ์นี้และรับมือกับมันให้ได้อย่างถูกต้องมากกว่า คำว่าช่องว่างระหว่างยุคสมัย หรือ The generation gap เป็นคำที่นักสังคมวิทยาใช้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างคนยุคหนึ่งกับคนอีกยุคหนึ่ง เช่น พ่อแม่ กับ ลูก ในเรื่องของความเชื่อ แนวคิดทางการเมือง รวมถึง
เคยรู้สึกเบื่องานกันบ้างไหม? รู้สึกว่างานที่ทำอยู่ช่างไม่มีความสุขเอาซะเลย? หลายคนน่าจะเคย และรู้สึกว่า ความน่าเบื่อ (boredom) เป็นพิษภัยต่อการทำงานอย่างมาก เพราะมันทำให้ ‘ซัฟเฟอร์’ กับการทำงาน ทำให้รู้สึกว่าต้องอดทนทำงานไปวันๆ ไม่มีแพสชั่นกับสิ่งที่ทำอยู่เลย ผลร้ายที่สุด คือ ทำให้ไม่สามารถก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ และท้ายที่สุดก็อาจลาออกจากงาน แต่ไม่ว่าความน่าเบื่อจะเป็นพิษกับเรามากแค่ไหน เราก็อาจจะขาดความเบื่อไม่ได้! เพราะมันเหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการและไม่หยุดนิ่ง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? วันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปเข้าใจอาการเบื่อ และแนะนำวิธีการป้องกันและหลีกเลี่ยงผลเสียจากมัน เพื่อให้ทุกคนมีความสุขในชีวิตการทำงาน หลายคนพอได้ยินคำว่า “น่าเบื่อ” จากอารมณ์ดีอยู่ๆ ก็อาจหม่นหมองได้ เพราะทำให้นึกถึงอะไรลบๆ หลายอย่าง แต่อย่าเพิ่งดาวน์นะ! ทำใจให้สบายๆ แล้วมาฟังเราอธิบายเรื่องความเบื่อเสียก่อน ไม่แน่ว่าหลังจากอ่านบทความนี้จบ คุณอาจเปลี่ยนมุมมองต่อความน่าเบื่อก็เป็นได้! ที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญได้ชี้ให้เราเห็นว่า ความน่าเบื่อมีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิตและการทำงาน เพราะถ้าเราไม่เบื่อ เราคงไม่ออกจากสถานการณ์ที่ทำให้เราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในชีวิตของตัวเองได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นในเรื่องงาน ความเบื่อจะเตือนเราว่า งานที่เราทำอยู่อาจไม่ทำให้เราบรรลุเป้าหมายในการทำงานของตัวเอง (เช่น มีเงินเก็บมากพอที่จะซื้อรถยนต์ภายใน 2 ปี หรือ ไต่เต้าขึ้นไปทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้นไม่ได้ เป็นต้น
เราควรตัดสินใจด้วยอารมณ์ไหม? . . คำถามนี้หลายคนพยายามหาคำตอบกันมาตั้งแต่อดีต และปัจจุบัน เริ่มมีคำตอบที่ชัดเจนมากขึ้นว่า การตัดสินใจด้วยเหตุผลอย่างเดียวอาจไม่เวิร์ก… ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น UNLOCKMEN จะอธิบายให้ฟัง ความเป็นเหตุผลเป็นผลทำให้เราสามารถตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ อยู่บนฐานของความเป็นจริงมากที่สุด เช่น หลักฐานหรือข้อมูล หลายคนจึงพยายามข่มอารมณ์ เมื่อต้องตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ อย่างที่คิดว่าควรจะเป็น แต่ที่จริงอารมณ์ก็ช่วยให้ความสามารถในการตัดสินใจของเราเพิ่มขึ้นได้เหมือนกันนะ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการรับรองทางวิทยาศาสตร์แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ความสุข (ช่วยให้เราเห็นตัวเลือกในการตัดสินใจที่มากขึ้น และทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น) หรือความกลัว (ทำให้เราตัดสินใจได้อย่างระมัดระวังมากขึ้น) นอกจากนี้ อารมณ์ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้เฝ้าระวังความผิดปกติด้วย ซึ่งจะทำให้เรารับรู้ปัญหาและแก้ไขได้ตรงจุด เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ขอยกตัวอย่างสถานการณ์หนึ่ง เป็นการนำเสนอโปรเจกต์ของคนอื่นที่เราต้องนำไปต่อยอด และเราในฐานะผู้ชี้เป็นชี้ตายโปรเจคนั้น ขณะฟังและคิดตาม อยู่ ๆ ก็รู้สึกอึดอัดแบบไม่ทราบสาเหตุ นั่นคืออารมณ์กำลังเตือนเราว่ากำลังมีสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้น และเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องหาที่มาและวิธีการแก้ไข อาจเริ่มจากการตั้งคำถาม เช่น เรามีอคติกับคนพูดหรือเปล่า? หรือ การบรรยายโปรเจกต์นั้นมีข้อผิดพลาดอะไรรึเปล่า? เมื่อเราเข้าใจ เราก็จะตัดสินใจเกี่ยวกับโปรเจกต์นั้นได้อย่างถี่ถ้วนมากขึ้น เช่น ถ้าเรารู้ว่าตัวเองมีอคติกับคนพูด เราก็อาจจะถามความเห็นจากคนอื่นเกี่ยวกับโปรเจ็กต์นั้นมากขึ้น หรือ ถ้ารู้ว่าโปรเจ็กต์นั้นมีข้อผิดพลาด ก็อาจจะยังไม่ลงมือทำ แต่พยายามคิดหาทางแก้ไข หรือ
“เดดไลน์” คำนี้เป็นได้ทั้งแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ และเป็นมวลอารมณ์แห่งความสยองพองขนสำหรับใครหลายคน ตอนยังไม่ใกล้กำหนดส่งความชิลทั้งหลายจะเกาะกุมหัวใจของเรา บางทีก็ปัด ๆ การทำงานไว้ก่อนบ้าง และบางหนก็เพราะว่ายังไม่ใกล้เดดไลน์ไอเดียอะไร ๆ ก็ยังไม่พุ่งกระฉูด แต่เมื่อเดดไลน์คลืบคลานเข้ามา จนถึงขั้นไล่ล่า แม้ทางหนึ่งไอเดียจะพรั่งพรูทะลักล้น แต่อีกทางหนึ่งความเครียดก็สับขารัวตามมาติด ๆ ด้วยเช่นกัน แต่ไม่ต้องตื่นตระหนกไปความเครียดจากเดดไลน์นั้นไม่ใช่สิ่งที่เรารู้สึกอยู่เพียงลำพัง แต่จากผลสำรวจผู้คนวัยทำงานพบว่า 38% ล้วนต้องเผชิญกับความเครียดอันเนื่องมาจากการปั่นงานให้ทันกำหนดส่งกันแทบทั้งนั้น แล้วเราพอจะรับมือกับมันอย่างไรได้บ้าง? การบอกให้ “ก็ทำงานให้เสร็จก่อนกำหนดนาน ๆ สิ” ดูเหมือนจะเป็นคำแนะนำง่าย ๆ ที่ใครก็แนะนำได้ แต่จะให้ทำจริงนั้นยากแสนยาก (ก็เพราะไอเดียดี ๆ มันมาตอนใกล้จะส่งงานไง!) ดังนั้น UNLOCKMEN ภูมิใจนำเสนอวิธีรับมือกับความเครียดจากเดดไลน์แบบอยู่หมัด ปั่นงานส่งครั้งหน้าอย่างน้อยถ้าจิตใจยังไหว จะอะไรก็สู้! อย่าประมาทความคาดหวัง ยังไม่ลงมือทำก็ได้ แต่ต้องเข้าใจตัวเองให้ดี ความเครียดว่าจะทำงานเสร็จทันหรือไม่ (อาจเพราะลงมือทำช้า) เป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เรามักเครียดเมื่อเดดไลน์ใกล้เข้ามา คือการที่เราค้นพบว่าสิ่งที่โปรเจกต์นี้ต้องการจากเรามันช่างมากล้น มากล้นจนไม่ใช่แค่เวลาก็ไม่พอ แต่ศักยภาพเราไปไม่ถึงงานนี้ การสำรวจความคาดหวังของเราต่องานหนึ่ง ๆ ที่รับมาแต่แรกจึงสำคัญมาก เราไม่ได้กำลังแนะนำให้คุณต้องรีบลงมือทำงานเพื่อให้ทันเดดไลน์ แต่เรากำลังบอกคุณว่าตั้งแต่ตอนรับงานเราต้องชัดเจนแต่แรกว่าเราคาดหวังอะไรจากงานนี้? เราต้องชัดเจนกับตัวเอง เพื่อที่ถ้ารู้แต่ต้นว่างานนี้มันเกินศักยภาพของเรา เราจะได้ปฏิเสธ
หลายคนอาจไม่ค่อยชอบสิ่งที่เรียกว่า ‘ความกลัว’ เท่าไหร่ เพราะมันทำให้เราทุกข์ และบางครั้งมันก็รบกวนชีวิตเราจนเราไม่เป็นอันทำอะไร แต่รู้ไหมว่า ความกลัวส่วนใหญ่มักไม่เกิดขึ้นจริง เป็นเพียงสิ่งที่เราคิดไปเอง และความกลัวก็มีประโยชน์ถ้าเรารู้จักใช้ประโยชน์จากมัน ซึ่งในบทความนี้ UNLOCKMEN อยากให้อธิบายเรื่องเหล่านี้ให้ทุกคนฟัง หลายคนอาจคุ้นเคยกับแนวคิดที่ว่า ‘ความกลัวเป็นสิ่งที่ไม่จริง’ เพราะเคยดูภาพยนตร์แนวไซไฟเรื่อง ‘After Earth (2013)’ ซึ่งมีฉากหนึ่งที่ ตัวละครเอก Cypher Raige (Will Smith) ผู้บัญชาการหน่วยยูไนเต็ด เรนเจอร์ ได้สั่งสอนลูกชายของเขา Kitai Raige (Jaden Smith) ถึงเรื่องของความกลัวไว้ได้อย่างคมคายว่า “ความกลัวเป็นสิ่งที่ไม่จริง ความกลัวอยู่ได้แค่ในการคิดถึงอนาคตของเราเอง มันเป็นผลผลิตของจินตนาการ ทำให้เรากลัวในสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยในปัจจุบัน และอาจจะไม่มีวันเกิดขึ้น (Fear is not real. The only place that fear can exist is in our thoughts of the future.
หลายคนคงเคยมีช่วงเวลาที่เรียกตัวเองว่าเป็น ไอ้ขี้แพ้ (Losers) อยู่บ้าง บางคนอาจจะเรียกตัวเองแบบนั้นเพียงชั่วคราว เพราะเจอกับความล้มเหลวมา แต่พอเวลาผ่านไปสักพักก็อาจลืมมันไป แต่สำหรับบางคนอาจเจอกับปัญหาที่ซับซ้อนกว่านั้น จนอาจตัดสินไปแล้วว่าตัวเองเป็นไอ้ขี้แพ้ตัวจริง และไม่มีวันที่จะเป็นผู้ชนะได้ (winners) หรือ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ซึ่งในบทความนี้ UNLOCKMEN อยากอธิบายให้ฟังทุกคนเข้าใจว่า ไอ้ขี้แพ้ อาจเป็นสิ่งที่เราสร้างกันขึ้นมาเอง และสามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ ก่อนอื่นเราอยากให้ทุกคนเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ไอ้ขี้แพ้’ (Losers) ตรงกันก่อน ในบทความนี้เราหมายถึง “คนที่อยากเป็นเหมือนกับคนอื่นที่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ยอมลงมือทำอะไรเพื่อให้ตัวเองไปอยู่ในจุดเดียวกับคนเหล่านั้น อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ หรือความสามารถเหมือนคนอื่น (แต่ก็ไม่ยอมพัฒนาตัวเอง) กล่าวโทษเรื่องนั้น เรื่องนี้ว่าเป็นอุปสรรค์ (แต่ก็ไม่ยอมลงมือแก้ไข)” ซึ่งที่มาของ losers เราเชื่อว่า ไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับนิสัยขี้แพ้ แต่พวกเขาล้วนเคยผ่านประสบการณ์แย่ๆ มาก่อน เช่น เคยถูกผู้ที่มีอำนาจ (เช่น ครู หรือผู้ปกครอง) คุกคาม เคยถูกกลั่นแกล้งในวัยเด็ก เคยอกหักจากคนรัก หรืออาจเคยพยายามทำงานที่ยิ่งใหญ่ให้ประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายต่อให้พยายามยังไงก็ล้มเหลวอยู่ดี เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นปมในใจของเขา และทำให้เขาสูญเสียความทะเยอทะยานในการทำสิ่งต่างๆ ไป เป็นต้น ประสบการณ์แย่ ๆ เหล่านี้ได้หล่อหลอมให้พวกเขากลายเป็นไอ้ขี้แพ้
เคยสงสัยไหมว่าทำไมเราเห็นคนยากคนจน หรือคนป่วยหนักจนใช้ชีวิตลำบากแล้วรู้สึกสงสาร พร้อมจะควักเงินในกระเป๋ามอบให้เพื่อช่วยเหลือทันที หรือเห็นคอมเม้นด้านลบในโพส Facebook ของเพื่อนเราแล้วอยากช่วยปกป้อง พฤติกรรมเหล่านี้คือการช่วยเหลือคนอื่น หรือ Altruism ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งวันนี้ UNLOCKMEN จะอธิบายให้ฟังว่า Altruism คืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร? และจะพัฒนาให้ช่วยเหลืออย่างเหมาะสมจนไม่เดือนร้อนตัวเองได้อย่างไร? Altruism คือ ลักษณะของมนุษย์ที่ใส่ใขความอยู่เย็นเป็นสุข และทำในสิ่งที่ช่วยเหลือผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่น อาจจะยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องคนอื่น หรือ บริจาคเงินช่วยเหลือให้มูลนิธิต่างๆ เป็นต้น โดย altruism มักจะมาพร้อมกับลักษณะของมนุษย์อีกอย่างหนึ่ง คือ ความเห็นอกเห็นใจ (empathy) ที่เกิดควบคู่กัน ในสถานการณ์ที่เราพบกับคนที่ตกอยู่ในสถานการณที่ยากลำบาก เราเกิดความเข้าอกเข้าใจเขา พร้อมความรู้สึกอยากช่วยเหลือ ส่วนเหตุผลที่ทำให้เราเป็นคนที่มี altruism นั่นมีหลากหลาย โดย นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ยกทฤษฎี และหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ มาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น – เหตุผลทางชีววิทยา (biological reasons) ตามที่หลักทฤษฏีวิวัฒนาการว่าด้วยการคัดเลือกโดยญาติ (Kin Selection) ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์มักช่วยเหลือคนที่มีสายเลือดเดียวกันมากกว่าคนอื่น เพราะมีความต้องการที่จะส่งต่อพันธุกรรมของเผ่าพันธ์ุตัวเองไปยังคนรุ่นถัดไป ดังนั้น
หลายคนคงเคยหรือกำลังรู้สึกกังวลกับอาการ ‘คิดมาก’ ของตัวเอง เพราะมันช่างรบกวนชีวิตของเราเหลือเกิน เวลาทำงานก็ไม่ค่อยมีสมาธิ เพราะเอาแต่คิดเรื่องอื่น เวลาจะนอนก็นอนไม่หลับ เพราะสมองยังไม่หยุดคิดสักที UNLOCKMEN เห็นว่าอาการคิดมากเป็นปัญหาใหญ่ของหลายคน และอยากให้ทุกคนก้าวข้ามมันไปได้ จึงอยากเล่าให้ฟังว่า ต้นเหตุของการคิดมากเกิดมาจากอะไร และเราจะแก้ไขมันอย่างไรได้บ้าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจนิยามของคำว่า คิดมาก (Overthinking) ก่อน มันหมายถึงพฤติกรรมของมนุษย์ที่หมกหมุ่นกับการคิดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานเกินไป ซึ่งปกติอาการคิดมากจะจำแนกได้เป็น 2 แบบ ได้แก่ แบบแรกคือ “ครุ่นคิด (rumination)” ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตซ้ำไปซ้ำมา และ แบบที่สอง “คือความกังวลอย่างหนักต่อเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” บางคนอาจจะเป็นแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือบางคนอาจจะเป็นทั้งสองแบบ โดยสาเหตุหลักของการคิดมากเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น การขาดความมั่นใจในความสามารถของตัวเอง(self-doubt), ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง (self-esteem), เคยเจอกับเรื่องร้ายๆ ในอดีต และกลัวว่าจะทำผิดซ้ำซากอีกครั้ง รวมไปถึง นิสัยชอบวิตกกังวลในเรื่องต่างๆ ด้วย ความสามารถในการคิด (thinking) เป็นคุณสมบัติที่ทำให้มนุษย์โดดเด่นกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มันทำให้มนุษย์สามารถประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และทำการตัดสินใจได้เหมาะกับสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม คนที่มีอาการคิดมากจะได้รับผลกระทบจากการคิดมากกว่าคนทั่วไป เพราะพวกเขามักจะจมอยู่กับปัญหามากกว่าคิดหาทางออกให้กับปัญหานั้น (problem-solving)