ฝันของมนุษย์ที่จะท่องไปในอวกาศอันเวิ้งว้างเริ่มดูเป็นรูปเป็นร่างและใกล้ความเป็นจริงเข้าไปอีกขั้น เมื่อไอรอนแมนในโลกแห่งความจริงอย่าง Elon Musk อวดโฉมจรวดทดสอบ Starship ที่มีไว้รองรับการเดินทางทัวร์รอบดวงจันทร์สำหรับเหล่ามหาเศรษฐีที่อยากท่องอวกาศ ก่อนหน้านี้บริษัทขนส่งทางอวกาศชื่อดังอย่าง SpaceX ของนักธุรกิจหนุ่มอัจฉริยะอย่าง Elon Musk เปิดตัวโครงการพามนุษย์เดินทางไปดาวอังคารด้วยระบบขนส่งระหว่างดาวแต่ละดวงในชื่อ ITS หรือ Interplanetary Transportation System โดยใช้กระสวยอวกาศชื่อ BFR หรือ Big Falcon Rocket BFR คือยานพาหนะที่จะพาเราท่องอวกาศที่มาพร้อมเครื่องยนต์ Raptor Engine ที่ใช้พลังงานเป็นมีเทนเหลวมากถึง 42 ตัว เพื่อให้เกิดแรงยกกว่า 126 ล้านนิวตัน เทียบเท่าจรวดรุ่นก่อนหน้าอย่าง Flacon 9 ทั้งหมด 16 ตัว และ BFR สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้กว่า 200 คน เพื่อเดินทางไปยังดาวอังคารและดาวอื่น ๆ ในระบบสุริยะจักรวาล BFR สามารถบินขึ้นจากบริเวณใดก็ได้ในโลกและลงจอดได้ดั่งใจ SpaceX ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถทำได้จริง แม้ขนาดจะใหญ่เทอะทะจนคนเอาไปล้อจาก Big Falcon Rocket เพี้ยนไปเป็น
ขึ้นชื่อว่า “พ่อค้ายาเสพติด”ซึ่งภาพลักษณ์เต็มไปด้วยความเลวร้ายก็ดูไม่มีทางจะไปกันได้กับ “ความดี”หรือ”ความรับผิดชอบต่อสังคม”เลย แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อกลุ่มพ่อค้ายาเสพติดกลุ่มหนึ่งดันกลับตาลปัตรใส่ใจปัญหามลภาวะและพยายามคิดหาวิธีขายโคเคนพร้อมกับรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กันโดยเลือกใช้บรรจุภัณฑ์แบบ Class A ที่สามารถนำกลับมาใช้ในการซื้อยาเสพติดครั้งต่อไปได้อีก เมื่อลูกค้าสั่งยาเสพติดปริมาณน้อย พ่อค้ายามักใส่ยาเสพติดในถุงพลาสติกเล็ก ๆ ที่มีซิปล็อก จากนั้นต้องห่อสองชั้นด้วยกระดาษล็อตตารี่และใช้น้ำมันหรือฟิล์มเพื่อยึดห่อยากับกระดาษไว้ด้วยกัน ก่อนจะนำมาส่งให้ลูกค้า การทำบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งยาเสพติดให้ถึงมือลูกค้าแต่ละครั้งนั้นจึงยุ่งยากและสร้างขยะเป็นจำนวนมาก รายงานฉบับหนึ่งในนิตยสาร The Metro ซึ่งลงพื้นที่สำรวจตลาดยาเสพติดท้องถิ่นพบว่ามีตัวแทนจำหน่ายมากกว่าหนึ่งเจ้าเริ่มขายโคเคนในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้นำกลับมาใช้ซ้ำได้ เพราะการใช้ถุงซิปล็อกแบบเดิมนั้นใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว ผู้ใช้โคเคนรายหนึ่งในเมืองเบอร์มิงแฮมบอกกับสื่อออนไลน์ว่า ตอนแรกคิดว่าพ่อค้ายาของเขาล้อเล่นตอนที่ยื่นโคเคนหนึ่งกรัมในขวดขนาดจิ๋วมาให้ โดยพ่อค้ายาบอกเขาว่าต่อไปนี้จะไม่ใส่โคเคนในถุงซิบล็อกหรือห่อกระดาษอีกต่อไป แต่ให้เก็บขวดนี้ไว้ เมื่อมาซื้อครั้งต่อไปก็ให้เอาขวดมาแลกกับยา ถึงพ่อค้ายาจะบอกแบบนั้น แต่ผู้ซื้อรายนี้ก็ยังคิดว่าเป็นแค่การล้อเล่น ท้ายที่สุดท่าทีของพ่อค้ายากลับจริงจังจนน่าตกใจ อาจเป็นเพราะการส่งยาแต่ละครั้งพวกพ่อค้าใช้ถุงพลาสติกและกระดาษเป็นจำนวนมาก พลาสติกและกระดาษเหล่านี้จึงมีส่วนสร้างมลภาวะ รวมถึงการใส่ยาในขวดช่วยให้จำหน่ายได้รวดเร็วขึ้นเพราะไม่ต้องมานั่งห่อซ้ำแล้วซ้ำอีก พ่อค้ายายังทิ้งท้ายไว้ว่าเขามั่นใจว่าจะต้องมีลูกค้าหัวใหม่ที่ชอบทั้งโคเคนและชอบแนวคิดรักษ์โลกแบบนี้แน่นอน อย่างไรก็ตามการรักษาสิ่งแวดล้อมของพ่อค้ายาจำนวนหนึ่งคงไม่สามารถชดเชยความเสียหายจากการสร้างมลภาวะได้ทั้งหมด จากการวิจัยเรื่องสิ่งแวดล้อมในปี 2011 โดย State University of New York System พบว่าการผลิตยาเสพติดไม่ว่าจะชนิดไหนก็มีส่วนในการตัดไม้ทำลายป่าโดยเฉพาะกับประเทศโคลอมเบียที่เป็นแหล่งวัตถุดิบเจ้าใหญ่ของโลก นอกจากนี้ Liliana M. Dávalos นักนิเวศวิทยาที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมกล่าวว่าทางตอนใต้ของโคลอมเบียสูญเสียป่าจำนวนมากใกล้กับแหล่งเพาะปลูกต้นโคคาซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตโคเคน ยิ่งมีโคเคนอยู่มากเท่าไหร่ จำนวนป่าก็จะลดลงเท่านั้น แม้การเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของยาเสพติดแบบผงจะช่วยลดมลภาวะได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ยังดีกว่าการไม่เริ่มทำอะไรเลยจริงไหมล่ะครับ ที่น่าสนใจคือเรื่องการซ้อนทับระหว่างความเป็นพ่อค้ายาที่ดูจะเป็นผู้ร้ายของสังคมสุด ๆ
พ่อแม่ลุงป้าที่เคยบ่นเคยห้ามไม่ให้เราติดมือถือมากไป วินาทีหันไปจะคุยกับพวกท่าทีไรกลายเป็นว่า “โถ ติดมือถือหนักกว่าเราไปอีก!” เรียกได้ว่าตอนนี้ผู้สูงอายุใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น Line หรือ Facebook ก็ตามแต่ ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือการทำให้ช่องว่างระหว่างวัยของสมาชิกในครอบครัวลดน้อยลง ผู้สูงอายุเหงาน้อยลงและได้ติดต่อกับเพื่อนมากขึ้น แต่ข้อเสียนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะเหล่าผู้สูงอายุมักจะชอบแชร์ข่าวสารข้อมูลผิด ๆ ที่ส่งต่อกันโดยไม่รู้ว่าข่าวที่ตัวเองอ่านนั้นเป็นความจริงหรือไม่ การติดมือถือมากไปยังพอเยียวยาได้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่หนักขึ้นมาอย่าง การแชร์ข้อมูลเรื่องสุขภาพแบบผิด ๆ ที่จะส่งผลต่อชีวิต หรือข่าวของเหล่าคนดังที่จะส่งผลให้เกิดการปลุกระดมเรื่องของความเกลียดชังอย่างไม่ถูกต้อง ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงไม่น้อย ปัญหานี้ไม่ได้มีให้เห็นแค่ในประเทศไทยเท่านั้น ในสหรัฐฯ เองก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ผู้สูงอายุมักมีแนวโน้มที่ชอบแบ่งปันข่าวปลอมต่าง ๆ ใน Facebook และโซเชียลมีเดียอื่น ๆ กันเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยจาก New York Universitiy และ Princeton Universitiy ได้ร่วมกันค้นหาคำตอบจากการทำวิจัยและสำรวจว่ากลุ่มคนในช่วงอายุใดมักจะแชร์ข่าวปลอมมากกกว่ากัน งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ลงใน Science Advance แสดงให้เห็นถึงการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยรวบรวมผู้คนกว่า 3,500 คนที่ใช้งาน Facebook ไม่แบ่งเพศและอายุและขอให้เปิด Public เพื่อให้เหล่านักวิจัยสามารถเข้าถึงฟีดทั้งหมดได้ว่ากลุ่มตัวอย่างนั้นได้แชร์เรื่องราวอะไรกับเพื่อนใน Facebook บ้าง เป็นเรื่องน่าตกใจเมื่อผลสำรวจพบว่าผู้ใช้งาน Facebook ที่มีอายุ
แม้เป็นเรื่องยากจะยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหล่าพ่อค้ายานั้นมีอิทธิพลทั้งในธุรกิจบนดินและใต้ดิน แถมยังมีส่วนในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่บางครั้งกฎหมายก็ยากที่จะต้านทานอำนาจของเม็ดเงินที่เหล่าพ่อค้ายามี แต่ความราบรื่นก็ไม่ได้เป็นของทุกคนที่ทำอาชีพนี้ มีน้อยคนนักที่จะร่ำรวยมหาศาล จำนวนมากต้องล้มตายหรือจบชีวิตลงในคุก UNLOCKMEN จึงจะพาไปทำความรู้จักกับเหล่าพ่อค้ายาที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ว่าเขาได้เงินเหล่านั้นมาจากไหน และเอาเงินเหล่านั้นไปทำอะไรบ้าง 5. KHUN SA ทรัพย์สินราว 5 พันล้านเหรียญ ขุนส่า หรือ จางชีฟูที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ จันทร์ จางตระกูล ราชายาเฮโรอีนผู้ล่วงลับที่ครอบครองเขตพื้นที่แถบสามเหลี่ยมทองคำทางภาคเหนือของไทยและใช้เป็นฐานการผลิตยาเสพติด ได้รับการจัดอันดับให้เป็นพ่อค้ายาที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอันดับ 5 ด้วยเม็ดเงินที่ได้มาจากการค้าฝิ่น เฮโรอีน รวมถึงธุรกิจใต้ดินต่าง ๆ ขุนส่ามีอิทธิพลมากต่อระบบการเมืองของพม่าเพราะเขาคือผู้นำกองทัพเมิงไตที่ร่วมต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้กับชนกลุ่มน้อยชาวไทใหญ่ในประเทศพม่า จนกระทั่งลุกลามเป็นสงครามฝิ่น ค.ศ. 1967 ถึงแม้ว่าจะมีรายได้มากมายจากการค้ายา แต่ขุนส่าได้กล่าวถึงธุรกิจของตัวเองว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะต้องการจะปลดแอกตัวเองจากการกดขี่ของกองทัพพม่าตั้งแต่ปี 1947 และเฮโรอีนคือหนทางทำเงินที่รวดเร็วที่สุดเพื่อนำเงินทั้งหมดทุ่มไปกับการซื้ออาวุธสงครามเพื่อต่อสู้ 4. Jorge Luis Ochoa Vásquez ทรัพย์สินราว 6 พันล้านเหรียญ สามพี่น้องตระกูล Ochoa นำโดย Jorge Luis
สำหรับคู่รักที่คบกันมายาวนานหวานชื่น บ่อยครั้งที่ผู้คนพยายามค้นหาคำตอบว่าอะไรคือเคล็ดลับที่ซ่อนอยู่ในเบื้องหลังของความสัมพันธ์ที่ประสบความสำเร็จ และคำตอบที่ได้ก็คือคำตอบทั่วไปอย่างความรัก ความเข้าใจ ความอดทน รวมไปถึงคำตอบที่ไม่คาดคิดอย่างแอลกอฮอล์! งานวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ชิ้นหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสารผู้สูงอายุอย่าง The Journal of Gerontology Series B: Psychological Series ได้ศึกษาความสัมพันธ์ของคู่รักสูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และพบว่าคู่รักที่ยังโรแมนติกกันถึงปัจจุบันมักออกไปดื่มด้วยกันเสมอ นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยจาก Reuters ได้สำรวจผู้คนกว่า 4,864 คน ที่เป็นคู่แต่งงานกว่า 2,767 คู่ และพบว่าคู่รักมากกว่า 50% มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่ออกไปดื่มแอลกอฮอล์ด้วยกัน แต่ถ้าหากปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไปดื่มเพียงลำพัง หรือไปกับเพื่อนมากกว่าไปด้วยกันมักจะส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ที่แย่ลง เนื่องจากความหวาดระแวงและไม่ไว้ใจกัน Dr. Kira Birditt จาก University of Michigan กล่าวว่า ตัวเขาที่ได้ทำวิจัยนั้นก็ยังไม่สามารถได้คำตอบที่แน่ชัดว่าเพราะอะไรถึงทำให้แอลกอฮอล์กลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักดีขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าเพราะทั้งสองคนออกไปใช้เวลาด้วยกันลำพัง โดยมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสื่อกลางในการแชร์เรื่องราวต่าง ๆ ของกันและกัน อย่างไรก็ตามการวิจัยดังกล่าวนั้นไม่ได้กล่าวถึงว่าจะต้องดื่มในปริมาณที่มากแค่ไหน แต่เป็นวิจัยที่โฟกัสในเรื่องของคู่รักที่ดื่มด้วยกันและไม่ได้ดื่มด้วยกันมากกว่า การนั่งดื่มกันสองต่อสองจะทำให้ทั้งคู่โฟกัสกันและกัน พร้อมกับหาเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อมาเล่าระหว่างที่ดื่มแอลกอฮอล์และสร้างความสัมพันธ์ของคู่รักที่ดีกว่าการดูหนังเพราะจะต้องโฟกัสกับเนื้อเรื่องมากกว่าคนข้างกาย รวมถึงฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้เราเข้าสู่สภาวะมึน ๆ
ในบางครั้งเมื่อเราเข้าสู่โซเชียลมีเดียสารพัดรูปแบบ เช่น Facebook หรือ Instagram ก็มักเห็นบางคนที่มีแฟนแล้วแต่ชอบโพสต์รูปตัวเองอยู่เป็นประจำและลงรูปคู่กับคนรักน้อยมาก ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนั้นสามารถบอกได้ว่าผู้ที่ชอบโพสต์แต่รูปเซลฟี่ของตัวเองลงโซเชียลมีเดีย ในชีวิตจริงมักมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับคนรัก งานวิจัยจาก Florida State University ระบุว่าการเซลฟี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคู่รัก เพราะเมื่อออกไปเดตแล้วคนรักมักลงแต่รูปเซลฟี่ของตัวเองแต่ไม่ลงรูปคู่ จะทำให้อีกฝ่ายเกิดคำถามในใจมากมายว่าเพราะอะไรแฟนถึงไม่ลงรูปคู่ และคิดไปจนถึงขั้นว่าการมาเดตในแต่ละครั้งไม่สามารถสร้างความทรงจำที่ดีให้กับคนรักได้ รวมถึงไปความหวาดระแวงเรื่องของมือที่สาม ส่วนฝ่ายที่คลั่งการเซลฟี่ก็จะให้ความสนใจกับกระแสตอบรับจากโลกออนไลน์เวลาที่โพสต์ในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นยอดไลก์หรือคอมเมนต์ต่าง ๆ มากกว่าที่จะให้ความสนใจกับคู่ชีวิตที่อยู่ใกล้ตัว โดยงานวิจัยได้บอกเพิ่มเติมอีกว่า อาการชื่นชอบการเซลฟี่เป็นชีวิตจิตใจนั้นสามารถเป็นทั้งเพศชายและเพศหญิง นอกจากนี้ Dr.Nikki Goldstein ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยากล่าวว่า เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังไม่มั่นใจในความสัมพันธ์จึงมักจะแสดงออกถึงความต้องการจะแบ่งปันเรื่องราวชีวิตของตัวเองให้คนอื่นได้รับรู้มากกว่าการโพสต์รูปคู่กับแฟน หรือเขียนสเตตัสว่าไปไหนมาไหนกับคนรัก และเสพติดการเล่นโซเชียลมีเดียเป็นชีวิตจิตใจ จากการเฝ้าศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์มาเป็นเวลานาน Dr. Goldstein ได้บันทึกเรื่องราวที่เธอพบเจอไว้ว่า ในแต่ละวันเธอมักจะเห็นคู่รักหลายคู่โพสต์เรื่องราวต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะมีความสุข ที่เน้นบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง แต่สิ่งที่ Dr. Goldstein ได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวเบื้องหลังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่รักนักเซลฟี่นั้นไม่ได้มีความสุขอย่างที่แชร์ลงในโซเชียลมีเดีย และการโพสต์เรื่องราวต่าง ๆ เพียงด้านเดียวแบบนี้ต่อไปจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รักไม่มั่นคงมากกว่าเดิม การชื่นชอบเซลฟี่เกินควรนอกจากจะส่งผลกระทบกับชีวิตคู่แล้วก็ยังส่งผลเสียกับตัวเองเช่นกัน เพราะพฤติกรรมการชื่นชอบเซลฟี่จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า Generation me คล้ายกับอาการหลงตัวเองของวัยรุ่นที่เวลารูปที่ลงในโซเชียลแล้วได้รับการตอบรับเยอะก็จะรู้สึกมั่นใจ แต่เมื่อยิ่งได้รับฟีดแบคที่ดี คนรักของผู้ที่ชื่นชอบเซลฟี่มักจะเกิดความรู้สึกไม่พอใจและหึงหวง ก็จะเป็นการย้อนกลับมาในเรื่องของปัญหาความสัมพันธ์อีกครั้งแบบไม่รู้จบ ดังนั้นคำถามที่เหล่านักเซลฟี่จะต้องถามตัวเองให้ชัดเจนคือ สิ่งที่ตัวเองจะต้องให้ความสำคัญนั้นคือความสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริงหรือสนใจฟีดแบคในโลกออนไลน์มากกว่ากัน
เหล่านักดื่มอาจต้องสับสนกันอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้ผลวิจัยได้บอกว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วันละน้อยจะช่วยเรื่องสุขภาพ แต่มาวันนี้ก็ได้มีงานวิจัยที่มาหักล้างกันอีกครั้ง แถมยังบอกอีกด้วยว่าการดื่มเพียงเล็กน้อยนั้นก็คือสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสียกันเลยทีเดียว ข้อหักล้างที่ว่าด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยจะช่วยบำรุงสุขภาพนั้นถูกนำเสนอผ่านเว็บไซต์ข่าวชื่อดังอย่าง BBC กับการวิจัยที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการการศึกษาภาระปัญหาของโลกว่าด้วยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บหรือ Global Burden of Disease ผลวิจัยชิ้นนี้สำรวจพฤติกรรมการดื่มของนักดื่มกว่า 195 ประเทศ ตั้งแต่ช่วงอายุ 19-95 ปี เป็นจำนวนกว่า 28 ล้านคนทั่วโลก ด้วยระยะเวลายาวนานกว่า 26 ปี โดยวิจัยนี้เริ่มลงสนามสำรวจตั้งแต่ปี 1990-2016 ถือว่าเป็นงานวิจัยที่ใช้เวลาศึกษาเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมถึงจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่มีมากถึงหลักหลายสิบล้านตัวอย่าง ผลการวิจัยครั้งนี้เผยให้เห็นถึงอัตราความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ อย่างมะเร็ง ตับแข็ง หรือระดับการเกิดอุบัติเหตุเพราะเมานั้นมีตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้นตามปริมาณที่ดื่มแอลกอฮอล์ที่เราดื่มในแต่ละวัน เช่น วันหนึ่งเราดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ 1 หน่วย หรือประมาณ 10 กรัม ก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุสูงกว่าคนที่ไม่ดื่มเลย 0.5% ในขณะที่ถ้าดื่มวันละ 2 หน่วย ก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น 7% หรือถ้าดื่มวันละ 5 หน่วย ความเสี่ยงก็จะพุ่งสูงถึง 37% ผลวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารการแพทย์ Lancet และได้ชี้แนะให้หน่วยงานสาธรณสุขของประเทศอังกฤษควรออกคำเตือนให้ประชาชนลดการดื่ม เพราะปัจจุบันในอังกฤษได้แนะนำให้ประชาชนบริโภคแอลกอฮอล์ไม่เกิน
เมื่อถึงช่วงสิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ อันดับและสถิติต่าง ๆ ก็จะดาหน้าออกมาให้เราได้รับชมกัน นิตยสารธุรกิจและการเงินชื่อดังของสหรัฐฯ อย่าง Forbes ก็ไม่พลาดที่จะจัดอันดับในหัวข้อเซเลบริตี้ที่มีรายได้มากที่สุดในโลกประจำปี 2018 โดยวัดจากรายได้ก่อนหักภาษีและค่าธรรมเนียม รวมถึงอ้างอิงจากเว็บไซต์การเงิน และผู้เชี่ยวชาญในวงการต่าง ๆ ซึ่ง UNLOCKMEN จะพาไปดูว่าเหล่าเซเลบฯ ที่รวยที่สุด 5 อันดับแรกสร้างรายได้มหาศาลจากอะไรกันบ้าง 5. Dwayne Johnson มูลค่าทรัพย์สิน 124 ล้านเหรียญ หรือราว 4,040,000,000 บาท ในปีนี้ Dwayne Johnson คือหนึ่งในนักแสดงชายที่ทำงานหนักตลอดทั้งปี จนปีนี้นอกจากจะติดในอันดับ 5 เซเลบฯ ที่มีรายได้มากที่สุดในโลกแล้ว เขายังกลายเป็นนักแสดงฮอลลีวูดที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่มีการจัดอันดับมากว่า 20 ปี เจ้าตัวก็เคยให้สัมภาษณ์ว่าจากนักมวยปล้ำที่ได้ค่าตัว 40 เหรียญ (ประมาณ 1,300 บาท) ต่อการแข่งหนึ่งแมท ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะมาได้ถึงขนาดนี้ Dwayne Johnson ยังบอกอีกว่าเขามีวันนี้ได้แม้ไม่ใช่นักธุรกิจที่จบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่เขาตั้งใจทำงานทุกครั้ง และเรียนรู้ถึงความผิดพลาด จนในที่สุดก็สามารถประสบความสำเร็จได้ 4.
ก่อนหน้านี้ UNLOCKMEN นำเสนอเรื่องราวของชาย(อีกคน)ที่ถูกขนานนามว่าซามูไรคนสุดท้ายไว้ที่ วิถีซามูไร ฮาราคีรี และมิชิมะ ยูกิโอะ ผู้ที่เรียกตัวเองว่าซามูไรคนสุดท้าย ในนั้น เรากล่าวถึง “ไซโง ทากาโมริ” ไปแล้วเล็กน้อย ใครหลายคนที่กระหายจะเสพเรื่องราวของเขา วันนี้ไม่ต้องรออีกต่อไป เราพร้อมตีแผ่ชีวิตของเขาเพื่อค้นหาคำตอบว่าเพราะเหตุใดไซโงถึงได้เป็นซามูไรที่ครองใจชาวญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน ไซโง ทากาโมริ คือหนึ่งในซามูไรผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เหล่านักประวัติศาสตร์และนักวิชาการต่างก็ยอมรับ และเรียกเขาว่าเป็น The Last True Samurai หรือ ซามูไรที่แท้จริงคนสุดท้าย เขามีจุดเริ่มต้นธรรมดาทั่วไปจากการเป็นซามูไรระดับล่างที่ผลักดันตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในซามูไรผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค บุคลิกเข้มแข็ง ความตรงไปตรงมา ความเป็นผู้นำ และเอาจริงเอาจังกับงานของตัวเองเสมอ ไซโง ทากาโมริจึงได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงที่ญี่ปุ่นแบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ต่อสู้ฟาดฟันกันเองและเกิดกบฏอยู่บ่อยครั้ง ไซโง ทากาโมริตั้งกลุ่มพันธมิตรซามูไรเพื่อสร้างความแน่นแฟ้นในหมู่พรรคพวกของตัวเอง สิ่งที่ไซโงต้องการคือการตั้งกลุ่มยอดฝีมือเพื่อป้องกันซามูไรกลุ่มอื่นที่จะบุกโจมตีพระราชวังหลวงในกรุงเกียวโต เขาได้รับการแต่งตั้งจากโชกุนให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพเพื่อปราบกบฏตามเมืองต่าง ๆ เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างชื่อเสียงให้กับไซโงเป็นอย่างมาก เพราะกลุ่มกองกำลังฝ่ายกบฏถูกตีแตกพ่ายภายในเวลาไม่กี่วัน แต่เพราะความรอบคอบและเฉลียวฉลาดของเขา ในศึกบางครั้งแทนที่จะใช้กำลังเข้าห้ำหั่นปราบปราบเพียงอย่างเดียว เขาเลือกเจรจาลับกับกลุ่มซามูไรที่เป็นกบฏนับเป็นกลยุทธ์ที่ลดความสูญเสียได้มาก ต่อมาเมื่อโชกุนโทกุงาวะประกาศสละอำนาจและคืนสิทธิทุกอย่างให้กับสมเด็จพระจักรพรรดิเพื่อเป็นการรวมญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่นและเปิดประเทศและถือเป็นการสิ้นสุดระบอบโชกุน เข้าสู่การฟื้นฟูประเทศในสมัยเมจิ ไซโง มากาโมริ มีท่าทีไม่เห็นด้วยเพราะเขาไม่ต้องการให้ชาติตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในญี่ปุ่น รวมไปถึงหากเกิดการปฏิรูปประเทศ บทบาทของซามูไรจะต้องลดน้อยลง เขาจึงจัดเตรียมทัพเพื่อบุกเข้าปราสาทเอโดะ แต่รัฐบาลได้ส่งคนมาขอทำเรื่องสงบศึกโดยการเจรจาเป็นการส่วนตัว ผลคือไซโงยอมจำนนต่อเหตุผลของรัฐบาลอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ผลที่ดีที่สุดจากการเจรจาในครั้งนี้คือการทำให้บ้านเมืองรอดพ้นจากสงครามครั้งใหญ่ไปอีกครั้ง เมื่อญี่ปุ่นเริ่มดำเนินนโยบายทำประเทศให้ทันสมัย
ไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือภาพยนตร์ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการทำตามสูตรสำเร็จกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์ก็ตาม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรถ้าไม่ได้ยกมาเลียนแบบทั้งโครงเรื่อง และจากกระแสซีรีส์ฮิตบน Netflix ที่เป็นตัวกำหนดเทรนด์การเขียนเนื้อเรื่องได้บ้างว่าต้องทำยังไงถึงจะสร้างยอดรับชมได้ถล่มทลายหลายล้านครัวเรือน หนึ่งในหลักสูตรนั้นคือการสร้างความตื่นเต้นอัดอั้นใจให้ผู้รับชมต้องใจจดจ่อเพื่อติดตามเรื่องราวที่ห้ามใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อความอยู่รอด ไปดูกันว่าจะเป็นอย่างไรถ้าหากสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำเป็นปกติในชีวิตกลับกลายเป็นสิ่งต้องห้าม กับภาพยนตร์และซีรีส์ 5 เรื่อง 5 สไตล์ ที่เมื่อดูจบแล้วจะทำให้เราฉุกคิดได้ว่า ถ้าต้องอยู่ในสภานการณ์แบบเดียวกัน เราจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์เหล่านั้นได้อย่างไร ห้ามมอง : Bird Box (2018) แค่ปิดตามเดินไม่กี่ก้าวยังน่ากลัว แล้วถ้าหากวันหนึ่งเราไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างเคยทั้งที่ตาก็ไม่ได้บอด แต่เพราะเหตุผลบางอย่างที่ทำให้มองไม่ได้ พร้อมหาคำตอบการเอาชีวิตรอดในโลกที่ห้ามมองเห็นไปพร้อมกับ Bird Box ซีรีส์ของ Netflix ที่เล่นกับดวงตาและความกลัวของมนุษย์ได้อย่างเหนือชั้น เพราะเมื่อเปิดตามองแล้วจะเห็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือตัวอะไร และเมื่อมองเห็นมันจะกลายร่างเป็นสิ่งที่เรากลัวที่สุด ซึ่งภาพหลอนดังกล่าวจะสร้างความปั่นป่วนให้กับทั้งโลกเพราะทุกคนจะอยากฆ่าตัวตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นทางรอดเดียวก็คือการห้ามเปิดตาอย่างเด็ดขาด Bird Box เป็นซีรีส์ที่ทำลายสถิติ Netflix อย่างถล่มทลายด้วยจำนวนผู้รับชมถึง 45 ล้านบัญชีแม้จะไม่มีใครเห็นหน้าตาของผู้ร้าย หรือแม้แต่เหตุผลว่ามันเกิดขึ้นเพื่ออะไร และจบลงด้วยความหมายอะไร แต่ก็ฮิตพอที่จะมีวัยรุ่นนำไปทำเป็น Bird Box Challenge จน Netflix