ซีรีส์สุดเท่ในดวงใจใครหลายคน การันตีด้วยรางวัลจากเวทีใหญ่อย่าง Golden Globes (และรางวัลอีกเต็มตู้) เนื้อเรื่องขายความดิบ เถื่อน และวิถีไบก์เกอร์ เนื้อเรื่องหลักจะพูดถึง กลุ่ม SAMCRO ที่เป็นไบก์เกอร์สุดเฮี้ยว ทำธุรกิจสีเทาอย่างค้าอาวุธปืน และอื่น ๆ อีกเล็กน้อย แม้จะทำผิดกฎหมายแต่ยังอยู่ได้เพราะให้ความคุ้มครองกับชาวบ้านในเมืองนั้น จนเป็นที่คุ้นเคยกันดี แต่คนเยอะเรื่องก็เยอะตามไปด้วย เบื้องหลังแก๊งแจ็คเกตหนังไม่ได้อยู่ด้วยกันด้วยความสามัคคี 100% สักเท่าไหร่ มีการปะทะกันด้านอุดมการณ์ของ Jax Teller ลูกชายผู้ก่อตั้งกลุ่มนี้ ที่ต้องการให้กลับไปเป็นแบบที่ควรจะเป็น กับ Clay Morrow ผู้บ้าดีเดือด ประธานกลุ่มคนปัจจุบัน ใครที่หลงรัก Harley Davidson และเพลง American Rock ต้องคลั่งไคล้เรื่องนี้แบบโงหัวไม่ขึ้นแน่นอน เพราะเพลงประกอบนั้น โคตรเท่ไม่แพ้ตัวซี่รีส์เองเลย จนเราต้องรวบรวมมาเป็น Playlist ให้ทุกคนได้ฟังกันแบบเต็มอิ่ม 20 เพลงที่คัดมาให้แบบเน้น ๆ สำหรับใครที่สะดวกฟังบน Spotify ตามไป Follow กันได้ที่ Playlist Harley’s Studio Band
แม้จะเป็นเจ้าของบทบาท Jack Reacher มาแล้วถึงสองภาค และหนังแอ็กชั่นที่ดีกรีความระห่ำไม่แพ้ใครมาหลายต่อหลายเรื่อง ก็ไม่ได้ทำให้ Tom Cruise ถูกเลือกให้ไปต่อใน Jack Reacher ภาค TV Reboot เหตุเพราะความสูงของเขาที่ถูกวิจารณ์มาตลอด UNLOCKMEN จะพามาดูกันว่า ทั้ง ๆ ที่เคยแสดงเรื่องนี้มาแล้วถึงสองภาคแท้ ๆ ทำไมเขาส่วนสูงของเขาถึงเพิ่งมีปัญหาเอาตอนนี้ ก่อนอื่นอยากให้ทำความเข้าใจว่า ภาพยนตร์เรื่อง Jack Reacher เนี่ย มันสร้างมาจากหนังสือในชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นผลงานเขียนของ Lee Child พอมันมาจากหนังสือปุ๊บ เราก็คงคุ้นเคยกันอยู่แล้วว่านักเขียนเจ้าของลิขสิทธิ์เนี่ย ก็มักจะออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังที่สร้างจากตัวหนังสือที่เขาเรียบเรียงเป็นปกติ เรื่อง Jack Reacher เองก็เช่นกัน Lee Child ออกโรงเองเลยว่า ต้องการให้แฟน ๆ ช่วยกันเลือกนักแสดงให้ตรงใจที่สุดในเวอร์ชั่น TV Reboot “เพราะ Tom Cruise นั้นเตี้ยเกินไปทำหรับบทนี้” นั่นหมายความว่าเขาที่เคยรับบทนี้ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ในสองภาคที่ผ่านมา อย่าง Jack Reacher (2012) และ Jack Reacher:
ทุกวินาทีที่วิ่งผ่านเข้ามาในชีวิต ผลักดันให้เราเติบโตขึ้นอย่างน้อยก็ในจำนวนของอายุ ในแต่ละวันที่เราห่างไกลช่วงวัยที่เราเคยมีความสุขกับมัน ของใช้ในบ้านที่ประกอบกันออกมาเป็นบรรยากาศที่แสนคุ้นเคย อาหารกลิ่นหอมกรุ่น เครื่องดื่มแก้วโปรด หรือแม้แต่ประตูบ้านที่เราเคยเดินเข้าออกอยู่ทุกวัน แม้ว่ามันจะเคยเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำของเราขนาดไหนก็ตาม เราอาจจะหลงลืมเรื่องราวหลายอย่างไป แต่ไม่ใช่กับที่นี่ ‘HEI JII’ คาเฟ่ที่ประกอบเอารายละเอียดจากความทรงจำที่แสนอบอุ่น ให้เหมือนเราได้นั่งจิบกาแฟอยู่ในบ้านหลังเดิมอีกครั้ง จากปากซอยเจริญกรุง 43 เข้ามาเพียงไม่กี่ก้าว เราจะสังเกตเห็นร้าน ‘HEI JII’ ที่กลมกลืนอยู่กับชุมชนย่านนั้น แต่ไม่ได้จมหายลงไป ยังคงโดดเด่นด้วยไฟสีเหลืองอบอุ่นภายในร้าน ตัดกับประตูไม้บานเฟี้ยมสีดำได้อย่างลงตัว ด้านในผนังทั้งสองด้านจะโชว์ความดิบของปูนเปลือยและอิฐมอญแบบเก่า ล้อไปกับเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นของเก่าทุกชิ้น ไม่ใช่เป็นของใหม่จากโรงงานที่วินเทจเพียงดีไซน์อย่างแน่นอน ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในร้าน เสียงช้อนกระทบแก้วจากการชงเครื่องดื่ม ดังก้องอยู่ตลอดเวลา เหมือนมีเมโทรนอมให้จังหวะอยู่ตลอดเวลา นั่นหมายความว่า เครื่องดื่มทุกแก้ว จะถูกชงใหม่ทุกครั้งด้วยความตั้งใจ ไม่รีบร้อน ตวงกันแก้วต่อแก้ว เปี่ยมไปด้วยความละเมียดละไม ราวกับทุกแก้วคือผลงานมาสเตอร์พีซ เสียงพูดคุยกับลูกค้าที่ผ่านไปมา ที่เป็นเหมือนการส่งต่อพลังบวกให้กันมากกว่าการซื้อขายสินค้า บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่นนี้ทั้งหมดนี้ มาจากไอเดียของ “คุณมิก ประภาส ระสินานนท์” หนึ่งในหุ้นส่วนจากทั้งหมด 7 หุ้นของที่นี่ ได้เล่าถึงเรื่องราวของร้านนี้ว่า มาจากความประทับใจของเขาเมื่อครั้งไปเยือนคาเฟ่แห่งหนึ่งในเมือง Seattle เลยอยากจะมีสถานที่ไว้ส่งต่อความสุขแบบนี้บ้าง จึงเลือกเป็นทำเลที่อยู่ท่ามกลางชุมชนมากกว่าทำเลทองในที่อื่น ๆ เพราะอีกสิ่งที่เป็น Passion สำคัญในการผลักดันให้เขาหยิบจับแต่ละอย่างเข้ามาประกอบกันเป็นร้านนี้คือ ความทรงจำในวัยเด็ก ที่ใครหลายคนอาจหลงลืมมันไป
ไม่ว่าจะนิยมความหวือหวาหรือความเรียบง่าย เชื่อว่าทุกคนจะต้องเสิร์ฟท่า Missionary ไว้เป็น Main Course ที่ขาดไม่ได้ เพราะมันคือท่าสุดแสนเบสิกที่จะว่าเรียบง่ายก็เรียบง่าย แต่ความร้อนแรงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่าอื่นเลย มันเลยสามารถอยู่ได้ในทุกฟีลลิ่งของเซ็กซ์ไม่ว่าเราอยากจะ Vanilla หวานหอมเบสิก หรืออยากจะเป็นรสชาติที่ซาบซ่านขึ้นมาอีกหน่อยก็ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าหากเริ่มเบื่อกับ Missionary แบบเดิม ๆ UNLOCKMEN ขอแนะนำเทคนิคดี ๆ ที่จะมาเพิ่มไฟรักให้ลุกโชนแม้จะเป็นท่าเบสิกที่เคยทำมาตลอดก็ตาม พูดคุยกันนิดหน่อย ใช้สายตาเยอะ ๆ ในท่านี้ที่เราได้หันหน้ามาเจอกันแบบจัง ๆ ทำให้เรามีโอกาสได้โฟกัสที่อีกฝ่ายมากขึ้น ทั้งเรื่องของการพูดคุยและการถ่ายทอดความรู้สึกผ่านสายตาที่หลายคนมองข้ามไป พอมีโอกาสได้หันหน้ามาเจอกันแบบนี้แล้ว อย่าเพิ่งรีบร้อน อุ่นเครื่องด้วยสายตาเย้ายวน เร่าร้อน หรือความรู้สึกอ่อนโยนก็ได้ทั้งนั้น มองหน้าอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ หยอดคำชมว่าวันนี้เธอสวยแค่ไหน พูดคุยให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย ถามถึงวันที่เหน็ดเหนื่อยของเธอ บอกให้เธอซาบซ่านด้วยคำแสนซุกซน เซ็กซ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้จะได้ช่วยผ่อนคลายความเครียดให้เธอมากกว่าเดิม อย่าละเลย Oral Sex พูดคุยกับประมาณนึงแล้ว เริ่มต้นอุ่นเครื่องเล้าโลมกันได้เลย ทำตามความชอบและความถนัดของทุกคน แต่สิ่งหนึ่งที่ห้ามลืมคือ Oral Sex ถึงอย่างนั้นก็อย่ามัวแต่ฟาดฟันกับพื้นที่ชุ่มน้ำจนมันฝืนเกินไป ลองกระตุ้นที่จุดอ่อนไหวอย่าง ท้องน้อยหรือหน้าท้อง ต้นขาด้านใน ไม่ว่าจะเป็นนิ้วมือไล่เลียงทีละนิ้ว หรือลิ้นที่ชุ่มฉ่ำของเราก็ได้ทั้งนั้น ให้มันเดินทางไปเรื่อย ๆ
ฟังคำพูดมาเป็นร้อยเป็นพันคำ แต่ก็แยกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นจริงสักกี่เปอร์เซ็นต์ เลยต้องมาตกตะกอนกันว่าไอ้หมอนั่นพูดจริงสักแค่ไหน แต่การเอ่ยปากถามตรง ๆ ว่ามึงโม้ป่าววะ ? มันช่างดูไม่มีชั้นเชิงเอาเสียเลย UNLOCKMEN ขอเสนอเทคนิคเจ๋ง ๆ ที่เราไม่ต้องเป็นนักสืบมือดี FBI ตัวท็อป ไม่ต้องมีลูกไม้หลอกล่ออะไร ก็สามารถประเมินความจริงจากปากฝ่ายตรงข้ามได้ ด้วยการ “มองตา” นั่นเอง มาดูกันว่า นอกจากดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจแล้ว มันจะสามารถบอกความจริงในคำพูดได้ยังไงกันบ้าง Word Don’t But Eye Contact Says เราอาจจะคุ้นชินกับประโยค Cliché ที่ว่า “ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” และตอนนี้ University of Tampere Conducted ก็ได้ยืนยันเรื่องนี้เช่นกัน จากการศึกษาเกี่ยวกับ Eye Contact ของคนเราโดยตรง แล้วพบว่านอกจากการสังเกตอาการต่าง ๆ ของดวงตาว่าอีกฝ่ายพูดจริงแค่ไหน เรายังสามารถบังคับอีกฝ่ายแบบทางอ้อมได้ด้วยการมองตา เท่ากับว่า นี่ไม่ใช่แค่การหาความจริงแต่สามารถบีบบังคับให้อีกฝ่ายพูดความจริงได้ด้วยสายตาอีกด้วย การศึกษาที่ว่านี้ ทำการทดสอบด้วยกลุ่มทดลอง 51 คน อายุตั้งแต่วัยเลือดร้อน 19 ปีไปจนถึงวัยทำงาน 37 ปี มาเล่นเกมกัน ในเกมนี้พวกเขาได้รับอนุญาตให้สามารถโกหกได้
นักแสดงคือคนที่มารับบทเป็นตัวละครนั้น ๆ ถ่ายทอดตัวตนของตัวละครให้ออกมาใกล้เคียงกับภาพในหัวของผู้กำกับที่สุด เราจึงมักซูฮกนักแสดงที่สามารถเปลี่ยนบทบาทของตัวเองไปได้หลากหลายตามตัวละครที่ตัวเองได้รับบท ซึ่งนักแสดงมากฝีมืออย่าง JOHNNY DEPP ก็คงเป็นชื่ออันดับต้น ๆ ที่ใครหลายคนนึกถึง บทที่โด่งดังที่สุดของเขาคงไม่พ้นกัปตันสุดเพี้ยนจาก Pirates of the Caribbean ที่ทำให้ใครหลายคนติดภาพการแสดงเพี้ยน ๆ ของเขาในเรื่องอื่นไปด้วย แต่ถ้าย้อนไปดูผลงานของเขาจะพบว่า เขาเป็นนักแสดงอีกคนที่ได้บทที่ท้าทาย เพราะมีความหลากหลายในคาแร็กเตอร์มาก ๆ ตั้งแต่นักเขียนประสาทหลอน ช่างตัดผมสุดอำมหิต แวมไพร์สุดเพี้ยน หรือแม้แต่ตัวประหลาดที่มีมือเป็นกรรไกร UNLOCKMEN เลยขอเลือกหนังเจ๋ง ๆ ที่นำแสดงโดย JOHNNY DEPP ให้เราได้เสพบทบาทของเขาในรูปแบบที่ไม่ซ้ำกัน (โดยไม่ได้เป็นการจัดอันดับหนังดีแต่อย่างใด เลือกเอาตามความชอบเหมือนเพื่อนแลกหนังกันดู) Cry-Baby (1990) Director : John Waters เราจะได้เห็น Depp วัยละอ่อนที่ความหล่อกำลังเปล่งประกาย เช่นเดียวกับตัวละครในเรื่องนี้ Cry-Baby หนุ่มสุดฮอตของโรงเรียน ที่เสน่ห์ของเขามีตั้งแต่หน้าตา คารม บุคลิก ซึ่งเขาสามารถเอาชนะใจ Allison Vernon-Williams สาวหัวโบราณที่เหมือนหลุดมาจากสังคมชั้นสูง เรื่องนี้จะได้เห็นเขาเล่นเป็นคาสโนว่า ซึ่งเหมาะกับเขามากกว่าบทเพี้ยน ๆ เสียอีก และเรื่องนี้เองที่ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาในช่วงนั้น เนื้อเรื่องก็เป็นหนังวัยรุ่นธรรมดา ไม่ได้หวือหวาอะไรมากนัก
“Don’t F*ck With Peaky Blinders” ประโยคยอดฮิตในเรื่องนี้ ซีรีย์ที่แจก F*ck เยอะที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง Peaky Blinders ว่าด้วยเรื่องราว Gangster ยิปซีเมืองเบอมิงแฮมในอังกฤษที่ทำธุรกิจสีเทา ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยอำนาจของกระบอกปืน ฉากหลังของเรื่องจะดำเนินไปในช่วงยุค 20’s ทำให้มู้ดแอนด์โทนของเรื่อง เสื้อผ้าหน้าผม รถ บ้านเมือง ผู้คน ถูกถ่ายทอดออกมาแบบโคตรเท่ นอกจากคาแร็กเตอร์สุดเท่ของตัวละครแล้ว เพลงประกอบก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน UNLOCKMEN เลยรวบรวมเพลงที่ให้มู้ดเหมือนเราเดินอยู่ในละแวกเบอมิงแฮม แต่เพลงที่เราเลือกมานั้น จะไม่ได้เป็น Theme Song แต่เป็นเพลงที่ทางซีรีส์เลือกเอามาใช้ในเรื่อง สำหรับใครที่สะดวกฟังบน Spotify เราจัด Playlist ไว้ให้ Follow กันเหมือนเดิม ทำความรู้จักกับ Peaky Blinders เรื่องราวของ Gangster ในอังกฤษที่ทำธุรกิจสีเทาสารพัดอย่างที่เราพอจะนึกออก แต่หลัก ๆ คือการแทงม้า ธุรกิจนี้ขับเคลื่อนด้วยระบบคล้ายกับระบบกงสี โดยครอบครัว Shelby ที่แต่ละคนนั้นเป็นตัวจี๊ดมี DNA ของความดิบ เถื่อนอยู่ในตัวกันทุกคน แต่อย่าคิดว่าทุกคนจะเป็นนักเลงหัวไม้ เก่งแต่เรื่องต่อยตีเท่านั้น พวกเขายังไหวพริบเป็นเลิศ ต่อรองเก่ง อยู่เป็นกันแทบทุกคน เรียกง่าย
หนังสืบสวนยังคงรั้งอันดับเป็นหมวดแรก ๆ ของลิสต์หนังที่ชื่นชอบของใครหลายคน เพราะมันทำให้เราได้สวมวิญญาณนักสืบผู้ปราดเปรื่อง เฝ้าจับผิดดูพิรุธ หาผู้ต้องสงสัย แกะรอยไปตามคำใบ้ที่คนร้ายทิ้งไว้ และเรื่องราวการสืบสวนแบบนี้ จะขาดฆาตกรต่อเนื่องไปไม่ได้เลย UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาดูหนัง SERIAL KILLER ที่เราแนะนำให้รีบหาตัวฆาตกรให้เจอก่อนใคร ก่อนที่เหยื่อรายต่อไปจะเป็นคุณ! Taxi Driver (1976) Director: Martin Scorsese พลิกไปดูอีกด้านของมหานครนิวยอร์ก เมืองที่ไม่เคยหลับไหลเช่นเดียวกับ Travis (Robert De Niro) ทหารผ่านศึกผู้ได้รับผลกระทบจากสงคราม จนมีปัญหาสุขภาพอย่างอาการนอนไม่หลับ รวมไปถึงบาดแผลในจิตใจที่ทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่อาจเข้ากับคนอื่นได้ง่ายนัก เมื่อยามค่ำคืนไม่เคยขับกล่อมให้เขาล้มตัวลงนอนได้ จึงหันมาขับแท็กซี่แก้เซ็งไปพลาง ๆ แถมได้เงินอีกต่างหาก และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้เห็นอีกด้านของเมืองที่แสนศิวิไลซ์ว่าส่วนที่ดำมืดของมันนั้นช่างเน่าเฟะแค่ไหน โสเภณี ยาเสพติด และอาชญากรรมสารพัดรูปแบบ ที่ค่อย ๆ กลืนกินจิตใจของเขาไปเรื่อย ๆ จนเขาเองเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของความดำมืดในมหานครแห่งนี้ เป็นหนังเชิงเสียดสีสังคม บ้านเมือง ที่มีดีที่ไดอะล็อกเฉียบคมบวกกับการแสดงโคตรเฉียบแหลมของนักแสดงนำ ยิ่งขับให้เรารู้สึกสะใจไปกับทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งที่มันจะเป็นเรื่องไม่ถูกต้องในชีวิตจริงก็ตาม Se7en (1995) Director : David Fincher ยังคงติดในลิสต์หนังของเรากันอย่างต่อเนื่อง กับหนังสืบสวนตามหาฆาตกรต่อเนื่องแห่งยุค
นอนดูหนังที่บ้านยาม Weekend คงจะเป็นกิจกรรมในใจของผู้ชายหลายคน ที่เบื่อกับการออกไปพริ้วไหวนอกบ้านแล้ว จอกี่นิ้วก็ดูเหมือนจะสนอง Need เราได้ไม่พอ อยากจะได้ใหญ่ขึ้นอีกเรื่อย ๆ แต่ไม่ใช่ว่าของเล่นทุกชิ้น ราคามันจะอยู่ในหลักที่เราเอื้อมได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะทีวีจอยักษ์ที่รุ่นท็อปหน่อยก็ไปแตะที่หกหลักกันแล้ว ลองเปลี่ยนมู้ดจากจอใหญ่ยักษ์มาเป็น Feel แบบโรงหนังด้วย Home Projector กันดูบ้าง ได้ยินอย่างนี้บางคนรีบส่ายหน้าหนีให้กับความเทอะทะของกล่องโปรเจ็กต์เตอร์สี่เหลี่ยม ดีไซน์เชยระเบิด UNLOCKMEN อยากให้ลืมโปรเจ็กต์เตอร์แสนเชยแบบนั้นไป แล้วมาทำความรู้จักกับ Home Projector ของ “PHOS” ที่มาในดีไซน์สวยล้ำ ตั้งตรงไหนก็ช่วยให้ดูเท่ขึ้นเป็นกอง ผลงานการออกแบบจาก Jacopo Mauro ผู้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการดื่มด่ำช่วงเวลาอันมีค่าของการดูภาพยนตร์ที่บ้าน ว่าควรได้รับประสบการณ์ที่ให้ความรู้สึกที่ดีไม่แพ้การไปดูที่โรงภาพยนตร์ เลยได้มาเป็นเจ้าตัวนี้ ที่ออกแบบมาเน้นทั้งดีไซน์และฟังก์ชั่นให้ไปควบคู่กัน ดีไซน์ที่สวยล้ำจนเราแทบเดาไม่ออกว่านี่คือโปรเจ็กต์เตอร์อย่างที่เราเคยรู้จัก ทุกอย่างออกมาในรูปแบบที่เรียบง่าย สะอาดตา ไม่มีปุ่มหรือพอร์ตเสียบสายอะไรให้เกะกะตา เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน หรือเมื่อใช้งานเสร็จก็สามารถวางไว้เป็น Gadget ล้ำ ๆ ไม่ต้องคอยยกเก็บ ยกเข้ายกออกอย่างเคย วัสดุจากโลหะพ่นทรายให้ผิวสัมผัสแบบด้าน พร้อมฐานวางหินอ่อน ยิ่งทำให้ดูเป็นของตกแต่งบ้านเข้าไปใหญ่ ด้วยทรงกระบอกที่สามารถหมุนใช้งาน 180 องศา เราจึงสามารถควบคุมองศาของการฉายภาพได้แบบตามใจเราที่แท้จริง พร้อมการใช้งานที่รองรับ Wireless
“My mama called, seen you on TV, son.” ประโยคติดหูกันตั้งแต่อินโทรสำหรับเพลงนี้ของ Post Malone ด้วยอายุเพียง 23 ปี แต่ตอนนี้เขาก้าวขึ้นมาเป็นแร็ปเปอร์ที่โคตรจะมาแรงแห่งยุค เจ้าของเพลงฮิตมากมายที่ทำลายสถิติติดชาร์ตแทบทุกสำนัก ภาพลักษณ์สุดทะเล้นนั่นยิ่งทำให้เขาเป็นที่จดจำของคนดู เบื้องหลังของความสำเร็จของเขาใครจะเชื่อว่ามันเริ่มจากเกมกีต้าร์ฮีโร่เท่านั้น มาดูเรื่องราวกว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ของวงการ ก่อนจะมาเป็นแรปเปอร์เลือดใหม่ไฟแรงของวงการ เขาเริ่มต้นมาจากอะไร มีแรงผลักดันอะไรให้มาถึงตรงนี้ได้ Post’s Timeline ความสนใจในด้านดนตรีของเขาได้รับการส่งเสริมตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ เมื่อพ่อของเขาที่มีอาชีพเป็น DJ จุดประกายด้วยการแนะนำเพลงหลากหลายแนวให้กับเขา และดนตรีที่เข้าทางที่สุดในตอนนั้นเป็นดนตรีอีโม (ที่หลายคนคงรู้กันดีว่า Post Malone เองมีวงโปรดทั้งร็อก อีโม และเมทัล) ในช่วงวัยรุ่นเขาก็เล่นดนตรีเรื่อยเปื่อยตามประสา ไม่ได้เล่นจริงจังอะไรหรือไปตั้งวงเข้าห้องซ้อมแบบชีวิตวัยเด็กของศิลปินคนอื่น เพราะกิจกรรมสุดโปรดของเขาคือการเล่นเกมกีต้าร์ฮีโร่นั่นเอง เขาเล่นมันอย่างบ้าคลั่ง จนเขาได้ห้าดาวในทุกด่านของระดับ Expert เรียกง่าย ๆ คือเล่นจนเวลตันแล้ว เมื่อหมดความตื่นเต้นกับกีต้าร์ฮีโร่ไปแล้ว จุดนี้แหละที่ไปจุด Inspired ให้เขาลุกขึ้นมาเล่นกีต้าร์ของจริงแบบจริงจัง ในเมื่อเขาเล่นเกมกีต้าร์นี้จนตันไปแล้ว ทำไมถึงไม่เล่นของจริงวะ ? เขาเลยหันมาหยิบจับกีต้าร์แบบจริงจังและกำเนิดเป็นวงเมทัลของเขาเอง แต่แล้วเขาก็เริ่มหันเหไปที่ดนตรี Hip Hop ด้วยการทำ