ช่วงก่อนหน้านี้ เมื่อมีหนังฟอร์มใหญ่ที่แสดงนำโดย Leonardo DiCaprio ออกมาทีไร เขามักเป็นที่จับตามองอยู่เสมอ ไม่ใช่เพื่อลุ้นว่าเขาจะสามารถเข้าชิงออสการ์ได้หรือไม่ เพราะบทบาทและการแสดงของเขา นอนมาแบบไม่ต้องลุ้นก็ว่าได้ แต่เป็นลุ้นว่าเขาจะชวดรางวัลเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ต่างหาก จนเขาและออสการ์ที่ไม่เคยมาถึงกลายเป็น Meme บนโลกอินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย (พอ ๆ กับหน้ายิ้มของ Nicolas Cage จากเรื่อง Con Air) แต่ในที่สุดเมื่อปี 2015 อาถรรพ์เรื่องนี้ก็ต้องจบลง เมื่อ The Revenant พาให้เขาไปถึงฝั่งฝัน ได้ตุ๊กตาทองติดมือกลับบ้านไปในที่สุด DiCaprio เอง เป็นนักแสดงที่เราคุ้นหน้ามาตั้งแต่สมัยวัยกระเตาะใน The Basketball Diaries หรือหนุ่มนักรักที่จุดประกายชื่อเสียงในวงการให้เขาอย่าง Romeo + Juliet ลองลืมภาพของเขาในลุคหนุ่มหน้าใสในวันวานกันไปก่อน UNLOCKMEN ชวนมาดู 5 หนังดราม่ารสเข้ม ในช่วงก่อนที่เขาจะได้ออสการ์ไปครอง Blood Diamond (2006) Director: Edward Zwick อัญมณีที่ส่องประกายวิบวับยามเป็นเครื่องประดับล้ำค่าอย่างเพชรเม็ดงาม ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังของสิ่งล้ำค่าเหล่านี้ต้องแลกมาด้วยเลือดอาบแผ่นดิน Sierra Leone แผ่นดินที่กำลังลุกเป็นไฟเพราะผลประโยชน์ของเหมืองเพชร ที่ทำให้เกิดกลุ่มกบฏเอาปืนจ่อหัวชาวบ้านให้เป็นแรงงานในเหมืองเพชร Danny Archer (Leonardo DiCaprio) อดีตทหารรับจ้างที่แสวงหาผลประโยชน์จากการค้าเพชรสีเลือดเหล่านี้ จับพลัดจับผลูไปรู้ว่า Solomon
“ขอบันไดหน่อย” ในยุคหนึ่ง หลายคนร้องเพลงนี้ตามอย่างออกรสชาติ อินไปกับความรักเด็ดดอกฟ้าของหนุ่มวัยรุ่น ชื่อของ “Penguin Villa” เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างและติดหูเหล่าคนฟังเพลงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หลังจากอัลบั้มปกส้มนั้น ทางวงไม่ได้มีอัลบั้มเต็มให้เราได้ฟังอีกเลย มีเพียงซิงเกิ้ลออกมาบ้างประปรายพอให้หายคิดถึงกันได้ในเพลง Good Morning กับเพลง ร้อยล้านวิว นั่งรอนอนรอกันมาเนิ่นนาน นานแค่ไหนน่ะหรอ 14 ปีเต็ม! กว่าอัลบั้มที่สองอย่างอัลบั้ม “J” จะได้ออกมาให้แฟน ๆ ได้กลับมาหลงรักบรรยากาศเดิม ๆ ที่ Penguin Villa เคยทิ้งไว้ให้เราเมื่อสิบกว่าปีก่อนนี้ เราได้มาพูดคุยกับ “พี่เจ เจตมนต์” ที่บ้านของพี่เจเอง บรรยากาศสบาย ๆ และอบอุ่น จากทั้งสภาพแวดล้อมและการต้อนรับ ตั้งแต่สวนหน้าบ้านที่มีพื้นที่ให้นั่งเล่น พร้อมกับกินฝรั่งบ้านพี่เจที่หวานกรอบไปด้วย ชั้นล่างของบ้านเป็นสตูดิโอทำเพลงของพี่เจ ที่ให้ความเป็นส่วนตัวเหมือนกับว่านี่คืออีกโลกหนึ่ง เราเลือกขึ้นมาพูดคุยกับพี่เจที่ระเบียงชั้นบน ที่ให้ความรู้สึกเหมือน Cottage ริมทะเลเอามาก ๆ การพูดคุยของเราเป็นไปแบบง่าย ๆ เหมือนมาพูดคุยกันในวันสบาย ๆ ตอนนี้พี่เจทำอะไรอยู่บ้าง ? “ผลงานล่าสุดคืออัลบั้ม J จาก Penguin Villa เป็นอัลบั้มชุดที่สองของ Penguin Villa งานประจำ
อีกต้นกำเนิดแห่งความชิล ชนิดที่ว่าเปิดเมื่อไหร่เป็นอันต้องขยับตัว เอนกายไปข้างหลังเล็กน้อย แล้วดื่มด่ำบรรยากาศรอบตัวไปกับเพลง Indie Folk ที่รับเอากลิ่นอายจากดนตรีหลายแนวมาไว้ในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Folk, Country, Indie Rock ล้วนแต่สร้างบรรยากาศสุดชิลให้เราได้ทั้งนั้น UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาปล่อยตัวปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงโฟล์กที่เราเลือกมาให้ อาจจะคุ้นบ้างไม่คุ้นบ้าง ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ แลกเปลี่ยนเพลงกันฟัง และเพิ่มเติมเพลงใหม่ ๆ ให้ Playlist ของเราเองไปในตัว สำหรับใครที่สะดวกฟังบน Spotify เราจัด Playlist ไว้ให้แล้วเหมือนเดิม Bon Iver – for Emma Fleet Foxes – He Doesn’t Know Why Iron & Wine – Passing Afternoon Elliott Smith – Twilight Iron & Wine –
Bruno Mars ศิลปินมากความสามารถผู้มีความมั่งคั่งกว่า $150 ล้านเหรียญ (เกือบ 5 พันล้านบาท) จากผลงานเพลงที่ประสบความสำเร็จเกือบทุก Single และ World Tour Concert ที่คนดูเต็มทุกที่นั่งในทุกประเทศที่ไป ซึ่งเบื้องหลังของ Bruno Mars ย่อมต้องมีสมาชิก Back Up และนักดนตรีที่ออกทัวร์ด้วยกันเสมอในชื่อ “Hooligans” แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงเทียบเท่านักร้องคนดัง แต่ก็เป็นความภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง ทำให้ทุกคนใส่เต็มที่เสมอในทุกโชว์ และเพื่อเป็นการขอบคุณที่ “24K Magic World Tour” ล่าสุดผ่านไปได้ด้วยดี พร้อมฉลองปีใหม่ 2019 Bruno Mars จึงแสดงความป๋าเต็มที่ แจกนาฬิกาหรู Audemars Piguet Extra-Thin ‘Jumbo’ Royal Oak เรือนทองจำนวน 8 เรือน ให้สมาชิกทุกคนได้ใส่กันทั่วหน้า ความหล่อครั้งนี้เกิดขึ้นในทัวร์ปลายทางสุดท้ายของ “24K Magic World Tour” ณ Las Vegas ซึ่งตรงกับวัน New Year
เคยมีคำพูดที่ฟังดูน่ากลัวกว่าวไว้ว่า วันนึงธรรมชาติจะคัดสรรผู้รอดชีวิตเอง ในวัยเด็กเราอาจจะฟังไม่เข้าใจ แต่ตั้งแต่มี Social Media ขึ้นมาบนโลก ทำให้เราได้เห็นเทรนด์กระแสการท้าทายประหลาด ๆ ที่หลายคนทำตามกันแบบไม่มีสาเหตุ ซึ่งหลายครั้งมันก็อันตรายจนคนปกติต้องสงสัยว่า “ทำไปได้ไง” อยู่เสมอ ตั้งแต่กระแสกินน้ำยาปรับผ่านุ่ม Tide Pod challenge ไปจนถึงกระแสการจุดไฟเผาตัวเอง คือ…. ไม่ต้องฉลาดมากนักก็พอจะรู้ว่ามันอันตรายถึงชีวิต ไม่คุ้มเลยสักนิดที่จะเสี่ยงตายแลก View และ Like ซึ่งในจุดนี้ต้องบอกว่าฝรั่งเค้ายอมเสี่ยงมากกว่าคนไทยหลายเท่า มาถึงกระแสการท้าทายล่าสุดที่ฮิตขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ โดยมีต้นเหตุมาจากซีรีส์ดังของคนห้ามมอง “Bird Box” บน Netflix ที่สร้างสถิติมีสมาชิกดูมากถึง 45 ล้านบัญชีอย่างรวดเร็วภายใน 7 วัน ซึ่งถือเป็นที่สุดของสถิติจาก Netflix เลยทีเดียว สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Bird Box มันคือซีรีส์ที่ว่าด้วยอาการแปลกประหลาดจากผีปีศาจที่มองไม่เห็น เพราะถ้าใครเห็นก็จะเกิดอาการฆ่าตัวตายโดยไม่มีสาเหตุจนโลกวุ่นวายไปหมด วิธีรอดก็ตรงตัวคือการไม่มอง โดยครอบครัวตัวเอกของเรื่อง Sandra Bullock และลูก ๆ ที่ใช้ผ้าปิดตาเอาตัวรอดนอกบ้านระหว่างเดินทางไปหาที่ปลอดภัย ไม่นานนักหลังจากที่ซีรีส์เข้าฉาย ก็มี Memes จาก Social Media
ไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือภาพยนตร์ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการทำตามสูตรสำเร็จกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์ก็ตาม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรถ้าไม่ได้ยกมาเลียนแบบทั้งโครงเรื่อง และจากกระแสซีรีส์ฮิตบน Netflix ที่เป็นตัวกำหนดเทรนด์การเขียนเนื้อเรื่องได้บ้างว่าต้องทำยังไงถึงจะสร้างยอดรับชมได้ถล่มทลายหลายล้านครัวเรือน หนึ่งในหลักสูตรนั้นคือการสร้างความตื่นเต้นอัดอั้นใจให้ผู้รับชมต้องใจจดจ่อเพื่อติดตามเรื่องราวที่ห้ามใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อความอยู่รอด ไปดูกันว่าจะเป็นอย่างไรถ้าหากสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำเป็นปกติในชีวิตกลับกลายเป็นสิ่งต้องห้าม กับภาพยนตร์และซีรีส์ 5 เรื่อง 5 สไตล์ ที่เมื่อดูจบแล้วจะทำให้เราฉุกคิดได้ว่า ถ้าต้องอยู่ในสภานการณ์แบบเดียวกัน เราจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์เหล่านั้นได้อย่างไร ห้ามมอง : Bird Box (2018) แค่ปิดตามเดินไม่กี่ก้าวยังน่ากลัว แล้วถ้าหากวันหนึ่งเราไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างเคยทั้งที่ตาก็ไม่ได้บอด แต่เพราะเหตุผลบางอย่างที่ทำให้มองไม่ได้ พร้อมหาคำตอบการเอาชีวิตรอดในโลกที่ห้ามมองเห็นไปพร้อมกับ Bird Box ซีรีส์ของ Netflix ที่เล่นกับดวงตาและความกลัวของมนุษย์ได้อย่างเหนือชั้น เพราะเมื่อเปิดตามองแล้วจะเห็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือตัวอะไร และเมื่อมองเห็นมันจะกลายร่างเป็นสิ่งที่เรากลัวที่สุด ซึ่งภาพหลอนดังกล่าวจะสร้างความปั่นป่วนให้กับทั้งโลกเพราะทุกคนจะอยากฆ่าตัวตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นทางรอดเดียวก็คือการห้ามเปิดตาอย่างเด็ดขาด Bird Box เป็นซีรีส์ที่ทำลายสถิติ Netflix อย่างถล่มทลายด้วยจำนวนผู้รับชมถึง 45 ล้านบัญชีแม้จะไม่มีใครเห็นหน้าตาของผู้ร้าย หรือแม้แต่เหตุผลว่ามันเกิดขึ้นเพื่ออะไร และจบลงด้วยความหมายอะไร แต่ก็ฮิตพอที่จะมีวัยรุ่นนำไปทำเป็น Bird Box Challenge จน Netflix
ภาพลักษณ์แสนดุดันและน้ำเสียงทรงพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของ Corey Taylor ทำให้เขาเป็นเหมือน Trademark ของทั้งสองวงที่เขาเป็นสมาชิก ทั้ง Stone Sour และ Slipknot แม้เขาจะไม่ได้เป็นฟรอนต์แมนคนแรกแบบดั้งเดิมของวง แต่พอก้าวเข้ามารับตำแหน่งเขากลายเป็นที่รักของแฟน ๆ และเพื่อน ๆ ในวงชนิดที่ไม่มีใครกังขาในจุดที่เขายืนอยู่เลยแม้แต่น้อย ทว่าทุกอย่างบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่ด้านเดียว เบื้องหลังความสำเร็จและภาพลักษณ์อันดุดัน ยังมีมุมมืดที่เขาต้องเผชิญและก้าวผ่านมันมาได้ด้วยตัวเอง มาดูเรื่องราวในอีกมุมที่ปลุกปั้นให้เขาเป็น Corey Taylor อย่างในวันนี้ หลายคนคงเคยทราบกันมาบ้างว่า Corey เอง เคยต่อสู้กับโรคซึมเศร้ามานาน สาเหตุมาจากเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจในวัยเด็กอย่างการถูกล่วงละเมิดทางเพศในช่วงวัยรุ่นเหมือนกับคนอื่น เขากลายเป็น “เหยื่อ” ของผู้ไม่หวังดี ที่แฝงตัวมาในรูปแบบของเพื่อนบ้านที่แสนดี เขาเป็นเพื่อนที่สนิทกันอย่างรวดเร็ว กิน เที่ยว ดื่ม เล่นดนตรีด้วยกัน จนกระทั่งวันที่เปลี่ยนทุกอย่างไป หลังจากเหตุการณ์นั้น เขาเลือกที่จะปิดปากให้สนิทเพื่อแลกกับความปลอดภัยของตัวเองและแม่ จนมันกลายเป็นแผลในใจของเขาเสมอมา เรื่องราวเหล่านั้นเป็นเหมือนฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนเขาเรื่อยมา จนทำให้เขาค้นพบว่าการมองหาแสงสว่างให้กับตัวเองส่งผลให้ตัวเขาดีขึ้นรวมถึงผลงานเพลงของเขาด้วยเช่นกัน สำหรับบางคนเรื่องราวเหล่านี้อาจเป็นบาดแผลที่ยังคงคอยทิ่มแทงให้จมอยู่กับฝันร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ Corey เลือกทางที่แตกต่างออกไป เขาเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาหล่อหลอมให้ตัวเองแข็งแกร่ง ให้มันเป็นอุปสรรคที่หินที่สุดแล้วก้าวออกจากมันมาให้ได้ แล้วมันจะกลายเป็นเพียงด่านง่าย ๆ ที่เราเคยก้าวผ่านมันมาแล้ว และทำให้เขาแข็งแกร่งอย่างที่เป็นในทุกวันนี้ “ผมมองโลกด้วยสายตาที่ชัดเจนมากขึ้น” “ผมเริ่มมองหาความสงบให้ตัวเอง
หลายคนคงเคยมีความรักที่สวยงาม เป็นเหมือนภาพอบอุ่นแสนประทับใจที่ยังคงฝังลึกอยู่ในความรู้สึก แต่ด้วยชีวิตที่การเติบโตบังคับให้เราเลือกทางที่ถูกต้องมากกว่าถูกใจ จึงจำต้องทิ้งใครบางคน สิ่งบางสิ่งไว้ข้างหลัง ไม่เว้นแม้แต่คนรักของเราเอง UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาดูเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้ ที่ถูกบีบบังคับให้เลือกระหว่างความฝันและความรัก เมื่อทั้งสองสิ่งอาจไม่ใช่สิ่งสามารถเดินไปได้บนทางเดียวกัน มาดูกันว่าพวกเขาจะตัดสินใจกับเส้นทางของชีวิตเขายังไง Match Point (2005) Director : Woody Allen เรื่องราวของ Chris Wilton ครูสอนเทนนิสที่พยายามไต่เต้าตัวเองด้วยการเข้าหาสาวในสังคม Upper-Class อย่าง Chloe Hewett เมื่อความทะเยอะทะยานผลักดันให้เขาใช้ความรักเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อถีบตัวเองให้สูงขึ้น เมื่อความรักที่ไม่ได้เริ่มจากรักตั้งแต่แรกจึงทำให้เขาไปพัวพันกับสาวอื่นจนเกิดเรื่องยุ่งขึ้นมา เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปิดเรื่องนี้ไว้ เพื่อไม่ให้โดนถีบหัวส่งออกจาก Upper-Class ที่กระเสือกกระสนขึ้นมาได้ มาดูกันว่าเขาจะเลือกหนทางไหนระหว่างชีวิตที่มั่นคงหรือความฝันอันแสนหวานที่มีสาวเซ็กซี่คอยมอบความสวาทให้ทุกเมื่อเชื่อวัน รับประกันความเจ็บแสบของหนังด้วยชื่อของ Woody Allen ที่จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง แล้วมาดูกันว่าคนเรามันจะเห็นแก่ตัวได้สักแค่ไหนกัน Revolutionary Road (2008) Director : Sam Mendes เมื่อความรักและความฝันมันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เราจะเลือกทางไหน ? โปรยมาแบบนี้เราอาจจะคิดถึงเรื่อง La La Land กันเป็นเรื่องแรก แต่ขอบอกว่าไม่อยากให้มองข้ามเรื่องนี้เลย เพราะนอกจากเนื้อหาที่เข้มข้นแล้ว เราจะได้ดูนักแสดงนำคู่บุญ Kate Winslet และ Leonardo DiCaprio
ช่วงเทศกาลหลายคนก็อยากหาความสนุกกับเสียงเพลงมันส์ ๆ แต่หลายคนก็เบื่อจะโยกหัวไปกับเพลงตื๊ดที่ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา หรืออยากนอนอยู่บ้านนับ สาม สอง หนึ่ง แบบชิล ๆ ลองเอนหลัง แล้วปล่อยสมองผ่อนคลายไปกับ Playlist นี้ของเราที่คัดเพลง DREAMPOP มาขับกล่อมให้คืนข้ามปีของคุณ ได้เป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายสมกับเป็น Holiday อย่างแท้จริง ตามไปเสพเพลงสุดชิลในคืนข้ามปีกันได้ที่ Playlist บน Spotify เหมือนเดิม George Clanton – Dumb The Undercover Dream Lovers – Come Home Foliage – It’s Time Say Sue Me – Dreaming Barrie – Tal Uno The KVB –
เราเชื่อว่าไม่ใช่เราแค่คนเดียวที่จำภาพสาวน้อยตาหยีกับเสียงหวานใสราวกับมีมนตร์สะกดวัย 16 ปีบนเวทีเดอะวอยซ์ไทยแลนด์เมื่อ 4 ปีก่อนได้ติดตา ไม่ใช่แค่เสียงหวานใส ความตั้งใจและความน่ารักเท่านั้นที่ทำให้เธอมีความหมายในความทรงจำของเรา แต่เพราะยิ่งกาลเวลาผ่านไป ยิ่งเธอเติบโต เรายิ่งเห็นว่าภายใต้กรอบแว่น เสียงหวานใสยังเต็มไปด้วยตัวตน วิธีคิดและการมองโลกที่หนักแน่นน่าสนใจ ใช่ เรากำลังหมายถึง “อิมเมจ-สุธิตา ชนะชัยสุวรรณ” หญิงสาวผู้หลงใหลการร้องเพลงและรู้สึกโชคดีทุกครั้งที่ได้จับไมค์และเปล่งเสียงเล่าเรื่องราวออกมาผ่านเสียงดนตรี วันนี้อิมเมจไม่ใช่สาวน้อยคนเดิมบนเวทีเดอะวอยซ์ แต่คือหญิงสาววัย 20 ปีที่มาพร้อมความฝันเต็มเปี่ยม บางฝันดูไม่ยากจะคว้ามา บางฝันดูห่างออกไปหน่อยแต่เธอก็พร้อมฝ่าไป ที่แน่ ๆ ปีนี้เธอมาพร้อมการออกซิงเกิลอย่างเป็นทางการของตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต ถ้านับว่าเธอร้องเพลงตั้งแต่อนุบาล เริ่มแต่งเพลงตั้งแต่ ม.3 ซิงเกิลสองซิงเกิลแรกในชีวิตของเธอนี้ก็นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่เราเองก็อยากบันทึกความเป็นเธอไว้ในรูปแบบบทสนทนาในฐานะคนที่เฝ้ามองการเติบโตของเธอมาตลอด เราเจอกันในวันแดดจ้า ตาหยี ๆ ของอิมเมจหรี่ลงจากแสงแดดจัด แต่กลับส่องประกายสดใสมาที่เราได้อย่างไม่น่าเชื่อ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมที่เธอได้พักจากการเรียน สีหน้าเธอบ่งบอกถึงความสุขของคนเพิ่งสอบเสร็จมาหมาด ๆ แต่ในมหาวิทยาลัยชีวิตและการทำเพลงเหมือนตอนนี้เพิ่งจะเป็นปีการศึกษาใหม่อันหอมหวาน จนเราอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ ว่าอิมเมจแบ่งเวลาในมหาวิทยาลัยจริง ๆ กับมหาวิทยาลัยแห่งการทำงานอย่างไร ? “อิมแบ่งไม่ได้ อิมทำได้ดีที่สุดคือจัดตารางให้งานไม่ชนเวลาเรียน เพราะอิมเป็นคนขี้เกียจ ไม่ค่อยได้ทบทวนบทเรียน แต่ก็พยายามเอาตัวรอด” เราชอบเธอตั้งแต่คำตอบแรก หมายถึงชอบมากกว่าที่ชอบอยู่แล้วไปอีก เพราะบางทีการที่เราจะสามารถจะจัดการอะไรได้ มันอาจต้องเริ่มต้นที่เรากล้าจะยอมรับก่อนว่าเราจัดการไม่ได้ เราขี้เกียจ
มุมมองที่เรามีต่อชีวิต กำหนดว่าเราพอใจแล้ว ยังอยากขับเคี่ยวให้มันเข้มข้นกว่านี้ หรืออยากจะผ่อนคลายให้มันลื่นไหลกว่าที่เป็น ในขณะที่มุมมองของคนอื่นมีต่อเราจะเป็นเหมือน Hint ที่คอยแนะนำเราอยู่ห่าง ๆ ในวันที่เราไม่อาจมองเห็นตัวเองได้ชัดเจนนัก ดังนั้นไม่ว่าเรามีมุมมองต่อตัวเราแบบไหน การได้เห็นมุมมองของคนอื่น อาจจะเป็น Case Study ที่ดีสำหรับการใช้ชีวิตของเรา แม้ว่าชีวิตคนเราไม่อาจใช้บทเรียนของคนอื่นได้ 100% ก็ตาม ลองมาดูมุมมองเข้มข้นของชีวิตผ่านซีรีส์บน Netflix ที่จะมาพลิกมุมมองของเราให้ได้ลองไปยืนในด้านอื่นที่ไม่คุ้นเคยกันบ้าง Black Mirror เทคโนโลยีที่ช่วยโอบอุ้มเราให้อยู่บนความสะดวกสบาย ให้เราได้ใช้ชีวิตลื่นไหลกว่าแต่ก่อน ในตอนที่ยังคงพึ่งพาระบบ Manual หรือ Analog กันอยู่ เราอาจมองว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้อมรอบแบบนี้มันช่างสมบูรณ์แบบ จนนึกภาพไม่ออกว่า ถ้าเราขาดสิ่งเหล่านี้ไปเราจะใช้ชีวิตยังไงไหว ลองมาดูเรื่องนี้ เรื่องราวของเทคโนโลยีในอีกด้านที่คอยกลืนกินเราอย่างช้า ๆ เหมาะกับคนเวลาน้อยมาก ๆ เพราะเท่ากับว่าใช้เวลาดูตอนนึงแค่ 40 นาที แถมเนื้อเรื่องยังจบในตอนอีกต่างหาก แกนเรื่องหลักของทุกซีซั่นคือการใช้เทคโนโลยีในทางที่ชวนให้เกิดความหมิ่นเหม่ทางศีลธรรม จนเกิดคำถามเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีในชีวิตของเราว่าขอบเขตของมันควรอยู่แค่ไหน เราหรือมันกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายควบคุม เป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า อาจจะฟังดู Sci-Fi เสียเหลือเกิน แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาได้ดี เข้าใจง่าย และออกมาในเชิงการตั้งคำถามกับชีวิตไม่ได้มีเนื้อหาเฉพาะ Geek IT เท่านั้น
ที่สุดของตำนานนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ ซามูไรหาญกล้าผู้ออกรบอย่างดุดันแม้จะมีตาเพียงดวงเดียว สำหรับชายผู้ที่ชื่นชอบความเท่แบบญี่ปุ่นและชื่นชอบซามูไร คงไม่มีใครไม่รู้จักกับยุค เซ็นโงคุ ที่สร้างชื่อให้กับเหล่านักรบผู้เก่งกาจ และนักสู้คู่ยุคเดือด ซามูไรนาม ดาเตะ มาซามุเนะ ชายที่เกิดมาพร้อมกับความบกพกพร่องทางสายตา แต่ด้วยความสามารถที่ไม่เป็นสองรองใคร รวมถึงความแข็งเกร่งที่แสดงให้ทุกคนได้สัมผัสมากกว่าแค่ชื่อเสียง จนได้รับการขนานนามว่าเป็น มังกรตาเดียวแห่งเซ็นโงคุ ดาเตะ มาซามุเนะ เกิดเมื่อปีค.ศ. 1567 ในปราสาทของตระกูลโยเนซาวะ เขาเป็นลูกชายคนโตของไดเมียว (ผู้ครองนคร) แคว้นมุตสึ มาซามุเนะสูญเสียตาขวาตั้งแต่กำเนิดด้วยโรคไข้ทรพิษ (Smallpox) แต่บางตำนานก็ได้เล่าขานเรื่องราวของเขาอย่างแปลก ๆ เช่น ผู้เป็นพ่อสั่งให้คนรับใช้ประจำตัวเป็นผู้ควักลูกตาออก แต่ยังไร้ซึ่งเหตุผลที่หนักแน่นพอมารองรับข้อสันนิษฐานนี้ และก็มองไม่เห็นถึงความจำเป็นที่คนเราจะต้องควักลูกตาออกข้างหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามแต่ ดาเตะ มาซามุเนะ เป็นเด็กผู้ชายที่มีตาข้างเดียว ซึ่งความไม่สมบูรณ์นี้เองที่ถึงแม้จะเป็นพี่ชายคนโตของตระกูลก็ตาม กลับไม่ได้เป็นที่รักของมารดาเท่าไหร่นัก และถูกมองว่าไม่คู่ควรกับการได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งไดเมียวแห่งโยเซนาวะผู้ครองแคว้นมุตสึ ด้วยนิสัยหาญกล้าบ้าบิ่น ชื่นชอบการแข่งขัน กระหายชัยชนะ จึงทำให้ มาซามุเนะ เป็นที่ถูกพูดถึงตั้งแต่ยังเด็ก มีตำนานเล่าขานความโหดเหี้ยมเด็ดขาดของมาซามุเนะว่า เมื่อตอนอายุ 11 ปี และต้องแต่งงานกับ ทามูระ เมโงฮิเมะ แต่มาซามุเนะเกิดความหวาดระแวงว่าตระกูลทามูระจะพยายามหักหลัง เขาได้ลงมือสังหารคนรับใช้ของภรรยาตัวเองเสียสิ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่าในสังคมญี่ปุ่นสมัยก่อนยังมีมุมมองเรื่องอายุที่ต่างกับยุคปัจจุบัน เด็กเกือบทั่วทั้งเอเชียมักแต่งงานเร็วเป็นเรื่องธรรมดา และเด็กอายุสิบกว่าขวบก็มีเรื่องครอบครัวและความรับผิดชอบมาให้คิดมากกว่าเด็กอายุรุ่นเดียวกันอย่างในปัจจุบัน หลังจากนั้นต่อมาในปี 1581