หากใครมองหารองเท้าเจ๋ง ๆ ที่เหมาะสมกับความเป็นฮิปสเตอร์ของตัวเอง ลองมาดูรองเท้าคู่นี้ของ Salehe Bembury นักออกแบบรองเท้าสไตล์ ‘Luxurious Streetwear’ ผู้เคยมีส่วนร่วมกับแบรนด์ดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Yeezy, Crocs หรือ Lexus เขาได้ร่วมมือกับ New Balance ในการออกคอลเลคชัน “Universal Communication” สำหรับฤดูกาล Fall/Winter 2021 และได้ทำแคมเปญแฟชันสีสันสดใสที่ได้คนดังหลายคนมาร่วมจอย ไม่ว่าจะเป็น Jesse Williams, Algee Smith และอีกหลายคน “Universal Communication” จะเป็นชุดแฟชันที่นำรองเท้ากิมมิคนกหวีด New Balance 574 “YURT” ของ Salehe Bembury มาเพิ่มสีสันใหม่อีก 5 colorways ได้แก่ “Olive/Navy/Red”, “Gray/White”, Black/Purple, “Teal/Volt” และ “White/Blue/Pink” ซึ่งช่วยให้การผจญภัยของเรามีสีสันมากขึ้นกว่าเดิม ในคอลเลคชันยังมีไอเทมแฟชันอื่นนอกเหนือจากรองเท้าด้วย ไม่ว่าจะเป็น ฮูดดี้
ผ่านเวลามายังไม่ทันจะครบ 2 เดือน เราเชื่อว่า ณ ตอนนี้ หลายคนคงยังจำความรู้สึกภาคภูมิใจกับการที่ทัพนักกีฬาทีมชาติไทยได้ไปสร้างชื่อเสียงระดับโลกในกีฬาโอลิมปิกครั้งล่าสุด ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้เป็นอย่างดี และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการคว้าเหรียญโอลิมปิกแรกในประวัติศาสตร์มวยสากลหญิงไทย นั้นถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สุดตราตรึงใจพี่น้องชาวไทยในมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติครั้งที่ผ่านมา คอลัมน์ ZERO TO HERO วันนี้ จึงอยากนำเสนอเรื่องราวความมุ่งมั่นตั้งใจของ ‘แต้ว-สุดาพร สีสอนดี’ นักชกมวยสากลหญิงทีมชาติไทย ผู้เป็นเจ้าของเหรียญโอลิมปิกประวัติศาสตร์เหรียญที่เราได้กล่าวถึงในตอนต้น ย้อนไปตั้งแต่ก้าวแรกสู่สังเวียนมวยในวัยเด็ก แม้จะมีเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เธอผู้นี้ก็ยังคงมุ่งมั่นอดทนฟันฝ่า จนถึงวันที่ประสบความสำเร็จเป็นฮีโร่ที่สร้างชื่อเสียงในเวทีระดับโลก เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจ ให้ทุกคนสามารถไปสู่เป้าหมายในเวทีชีวิตของตัวเองได้เช่นกัน ก่อนจะมีชื่อเสียง เกียรติยศ รวมถึงเงินรางวัลอัดฉีดจำนวนมากมายอย่างทุกวันนี้ หากย้อนไปราว ๆ 20 กว่าปีที่แล้ว นั่นคือช่วงเวลาที่ ‘แต้ว-สุดาพร’ ยังคงเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ที่บังเอิญได้มีโอกาสคลุกคลีอยู่กับสังเวียนผ้าใบใน “สุดยอดการช่าง” ค่ายมวยไทยเล็ก ๆ ที่คุณพ่อของแต้วเปิดขึ้นมาเพื่อฝึกมวยให้กับเด็ก ๆ ที่อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี บ้านเกิดของเธอ จากความซุกซนตามประสาเด็ก ที่เห็นการปะทะหมัดมวยเป็นเรื่องสนุก จนอยากซ้อม อยากออกหมัด โดยมีคุณพ่อเป็นครูมวย และกระสอบทรายเป็นคู่ซ้อม ในที่สุดเมื่ออายุย่างเข้า 11
ปกติคีย์บอร์ดขนาดเล็กส่วนใหญ่มักมาในรูปแบบของ Gaming Gear มากกว่าคีย์บอร์ดปกติ เพราะคียบอร์ดสำหรับเล่นเกมมักนำ Numpad ออก เพื่อให้คียบอร์ดมีขนาดเล็กลงและมีพื้นที่ในการลากเมาส์บนโต๊ะคอมมากขึ้น แต่ตอนนี้เราเริ่มเห็นคีย์บอร์ดขนาดเล็กที่เอาไว้ใช้งานทั่วไปได้แล้ว อย่างเช่น MX Keys Mini keyboard คีย์บอร์ดไร้สายตัวใหม่ของ Logitech ซึ่งมีความพิเศษเรื่องน้ำหนักเบาและขนาดของคีย์บอร์ดอันแสนกะทัดรัด MX Keys Mini เป็นคียบอร์ดไร้สายที่เกิดจากการนำคีย์บอร์ด MX Keys รุ่นออริจินัลมาย่อขนาดลงให้เหลือความกว้างเพียง 295.99 มม. ความสูงเพียง 20.97 มม. และความลึกเพียง 131.95 มม.เรียกได้ว่ากะทัดรัดขึ้นมาก แถมยังพกได้แบบไม่ปวดเมื่อยไหล่และหลัง เพราะมันหนักเพียง 506.4 กรัมเท่านั้น สำหรับปุ่มกดของ MX Keys Mini ยังคงเป็น Perfect Stroke keys (ผสมระหว่าง non-mechanical keys และ dished keys) เหมือนกับ MX Keys รุ่นก่อนหน้า แต่จะมีการเพิ่มคีย์ใหม่ในแถวปุ่มฟังก์ชันที่อยู่ด้านบนสุดของคีย์บอร์ด
คนทำงานประจำ 5 วันต่อสัปดาห์ มักรู้สึกฮึกเหิมในการทำงานในวันศุกร์มากกว่าวันอื่น เพราะวันถัดไป คือ เริ่มต้นวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งมักทำให้เรารู้สึกว่าทำงานอีกนิดเดียวก็จะได้พักผ่อนแล้ว!! หลายคนจึงเกิดแรงบันดาลใจอยากเคลียร์งานทั้งหมดให้จบในวันนี้กัน อย่างไรก็ตาม วันหยุดสุดสัปดาห์จริง ๆ อาจมีแค่วันเสาร์ เพราะวันอาทิตย์อยู่ใกล้กับวันจันทร์ และเป็นเหมือนสัญญาณว่าวันหยุดกำลังจบลง มันจึงทำให้เราได้พักผ่อนน้อย พร้อมกับมีอาการแย่ ๆ ที่เรียกว่า Sunday Blues หรือ ภาวะประสาทกินในวันอาทิตย์ได้เหมือนกัน หากชีวิตของใครกำลังอยู่ในวงจรนี้ อาจได้รับผลกระทบจาก Weekend Effect เสียแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะมันอาจทำให้สุขภาพจิตของคุณเสื่อมเสียเร็วกว่าปกติ จากการที่คุณรู้สึกว่าต้องอดทนทำงานไปวัน ๆ เพื่อให้มีชีวิตรอดถึงสุดสัปดาห์ เราจึงอยากมาแนะนำวิธีการเอาชนะ Weekend Effect เพื่อปลดล็อคความสุขในทุกวัน ทำไมสุดสัปดาห์ถึงเป็นเหมือนสวรรค์ของใครหลายคน แต่ก่อนอื่นเลย เราอยากทำให้ทุกคนเข้าใจสาเหตุที่ทำให้ Weekend Effect เกิดขึ้นก่อน โดยเรามีงานวิจัยเรื่องนี้ในบริบทของการทำงานมาช่วยอธิบายให้ทุกคนฟัง งานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ใน Journal of Social and Clinical Psychology (2010) ได้ติดตามชีวิตของผู้ใหญ่จำนวน 74
หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของ ‘ผู้นำ’ คือ การนำพาทีมหรือองค์กรไปสู่ความสำเร็จให้ได้ในที่สุด ซึ่งการจะไปถึงจุดนั้นต้องอาศัยหลายทักษะ ไม่ว่าจะเป็น ทักษะในกำกับดูแลผู้อื่น ทักษะในการสื่อสารอย่างชัดเจน ไปจนถึง ทักษะในการให้กำลังใจคนอื่น แต่ในองค์กรมักจะมีหัวหน้าประเภทหนึ่ง ที่เมื่อเลือนขั้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำในองค์แล้ว พวกเขากลับไม่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเหมาะสม พวกเขาเลือกที่จะเพิกเฉยต่อทีมทำงานของตัวเอง ไม่ยอมกำกับการทำงาน หรือ ดูแลสารทุกข์สุขดิบของลูกน้องเลย เอาแต่สนใจผลประโยชน์รวมถึงอภิสิทธิ์ที่ได้รับจากตำแหน่ง เราเรียกหัวหน้าประเภทนี้ว่าเป็น absentee leader ซึ่งเป็นผู้นำประเภทที่ทำลายองค์กรได้อย่างร้ายกาจ ความร้ายกาจของ absentee leader หลายคนคิดว่า หัวหน้าที่ปล่อยให้ลูกน้องทำอะไรตามอำเภอใจ ไม่ค่อยจู้จี้จุกจิก หรือ สนใจการทำงานของลูกน้องมาก จะทำให้ลูกน้องมีความสุขมากขึ้น แต่ในความเป็นจริง absentee leader อาจทำให้ลูกน้องไม่มีความสุขในการทำงานเลย เพราะพฤติกรรมต่าง ๆ ของพวกเขา (เช่น ไม่ยอมควบคุม หรือ กำกับการทำงานของลูกน้องในระดับที่น้อยมาก มักตัดสินใจล่าช้าอยู่ ไม่มี performance feedback หรือ ไม่เคยกระตุ้นให้พนักงานทำงาน เป็นต้น) สามารถทำให้ลูกน้องเจอกับปัญหากับเพื่อนร่วมงานบ่อยขึ้น เกิดความคลุมเครือในบทบาทหน้าที่ของตัวเองได้ง่ายขึ้น ถูกกลั่นแกล้งได้มากขึ้น และรู้สึกหมดไฟกับการทำงานได้ง่ายขึ้น เมื่อปัญหาเหล่านี้
เวลาเราดูหนังฮีโร่ เรามักเห็นเรื่องราวของวายร้ายที่ไม่ได้มีนิสัยเลวร้ายมาแต่กำเนิด บางคนก่อนหน้านั้นเป็นคนดีด้วยซ้ำ แต่พวกเขาได้เจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตของเขาดิ่งลงอย่างช้า ๆ เช่น ถูกทารุณกรรม ถูกกลั่นแกล้ง หรือ ถูกล่วงละเมิดทางเพศในวัยเด็กมาเป็นเวลานาน เหตุการณ์ฝั่งใจเรานั้นกลายเป็นแรงบันดาลใจที่พาพวกเขาเข้าสู่โลกสีดำมืดในที่สุด ในโลกความจริง เราก็มีอาชญากรที่เกิดจากปมด้อยหลายคนเหมือนกัน หนึ่งในนั้น คือ Jason Vukovich ชายผู้เข้าสู่เส้นทางของอาชญากร เพราะถูกผู้ปกครองล่วงละเมิดในวัยเด็ก และฮีโร่ผู้นำความยุติธรรมมาสู่เด็กที่โดนละล่วงละเมิดทางเพศในสายตาของใครหลายคน เขาได้รับสมญานามว่า “Alaska Avenger” จากการตามล่าพวกไคร่เด็ก 3 คนในรัฐอลาสก้า ซึ่ง UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับเขาให้มากขึ้น บาดแผลในใจของ Jason Vukovich เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1975 หนุ่มน้อย Jason Vukovich ได้ถือกำเนิดขึ้นในเมืองแองเคอเรจของรัฐอลาสก้า เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่เคร่งศาสนาคริสต์อย่างมาก (มักเข้าโบสถ์เป็นเวลา 2 -3 ครั้งต่อสัปดาห์) โดยมีแม่ของเป็นผู้ปกครองคนแรก และเลี้ยงเขาด้วยตัวคนเดียวมาตลอด จนกระทั่งพ่อบุญธรรม Larry Lee Fulton ได้เข้ามาเป็นคนรับเลี้ยง Vukovich ในเวลาต่อมา
ในชีวิตนี้เราคงผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้เรามีความสุขมามากมาย เช่น ตอนที่ได้ของขวัญวันเกิด ตอนที่ได้รางวัลใหญ่ ตอนที่จีบสาวติด หรือ ตอนที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จ เหตุการณ์เหล่านั้นคงทำให้หลายคนเกิดอาการดีใจเบิกบาน ร่าเริง และมีกำลังใจในการใช้ชีวิตไปอีกหลายวัน แม้ความสุขดูจะเป็นสิ่งที่ดีจนทำให้หลายคนพยายามตามหามัน แต่วิทยาศาสตร์กลับบอกเราว่า การให้ความสำคัญกับความสุขมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อเราได้ในหลายด้านเหมือนกัน เช่น ทำให้เราเผชิญหน้ากับปัญหาได้แย่ลง ทำให้เราไม่มีความสุข ร้ายที่สุดมันอาจทำให้เราตายไวขึ้นด้วย ความสุขที่มากเกินไปอาจไม่ดีต่อหัวใจ ความสุขที่มากเกินไปอาจส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจของเราอ่อนแรงลงได้ไม่ต่างจากคนอกหัก ทีมวิจัยจาก University Hospital Zurich พบว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขอาจทำให้เราเกิด ภาวะใจแหลกสลาย (Takotsubo syndrome) หรือ ภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงแบบเฉียบพลันได้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วย Takotsubo syndrome จำนวน 485 ราย แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยจำนวนกว่า 96% มีเหตุการณ์เศร้าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการ ส่วนอีก 4% มีอาการจากเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาดีใจสุดขีด งานวิจัยชิ้นนี้ทำให้เห็นว่าไม่ใช่แค่ความเศร้าที่เป็นภัยต่อหัวใจ แต่ความสุขก็ทำให้ชีวิตตกอยู่ในอันตรายได้เหมือนกัน ความสุขที่มากเกินไปอาจทำให้เราแก้ปัญหาได้แย่ลง แม้ความปิติยินดีจะเป็นแรงผลักดันให้เราใช้ชีวิต และทำให้เราทำอะไรหลายอย่างได้ดีขึ้น แต่ถ้าเราถูกครอบงำด้วยความสุขมากเกินไป ผลที่เกิดขึ้นอาจมีร้ายมากกว่าดี งานวิจัยเมื่อปี 2008 ได้ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์ คือ
เวลาเปิดไอจี หรือ ดูเฟสบุ๊ค เรามักจะได้เห็นเรื่องราวดี ๆ ของเพื่อน และเปรียบเทียบตัวเองกับพวกเขาอยู่เสมอ บางทีเราอาจรู้สึกอิจฉาเพื่อนที่ได้ไปเที่ยว หรือ ประสบความสำเร็จในชีวิต ในขณะที่เรากำลังนั่งทำงานอย่างหลังขดหลังแข็งตั้งแต่เช้ายันเย็นทุกวัน บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าเพื่อนของเราห่างไกลออกไป หรือ เริ่มอยู่คนละโลกกับเรามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเราเริ่มเกิดความโดดเดี่ยว และทุกข์ใจตามมา เมื่อชีวิตที่แสนธรรมดากำลังทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกทิ้ง รู้สึกกำลังไล่ตามหลังคนอื่นอยู่ หรือ รู้สึกไม่ได้รับการยอมรับจากคนอื่น เราก็เริ่มก็เริ่มกลัวการใช้ชีวิตของตัวเอง และพยายามทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าจะทำให้ตัวเองเป็นคนพิเศษมากขึ้น เช่น ทำตามความคาดหวังของคนอื่น จู้จี้จุกจิก หรือ เป็น perfectionist ทั้งเรื่องงานและการใช้ชีวิต หรือ พยายามเอาชนะคนอื่นในทุก ฯลฯ แต่พอทำไปได้สักพัก เรากลับยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม เพราะเราฝืนตัวเองไปไกลจนกู่ไม่กลับ เราเรียกอาการกลัวชีวิตที่แสนธรรมดานี้ว่า ‘Koinophobia’ ซึ่งบางสิ่งที่เราทำเพื่อเอาชนะความกลัวก็สามารถกลับมาทำลายชีวิตของเราได้เหมือนกัน อย่างการเป็น perfectionist ก็อาจทำให้เราทำงานช้าลงจนส่งงานไม่ทันเดดไลน์ หรือ ทำให้โลกหมุนรอบตัวเรามากขึ้น จนเราหัวแข็งและฟังคนอื่นน้อยลง สุดท้ายก็ไม่มีใครอยากคบกับเราในที่สุด หากคุณกำลังกลัวชีวิตที่แสนธรรมดาของตัวเอง และความกลัวนั้นทำให้คุณรู้สึกแย่ รู้สึกเครียด หรือ ได้รับความทรมานจากมัน ข่าวดี คือ มันมีสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อก้าวข้ามความกลัวของตัวเอง และกลายเป็นคนที่ดีขึ้น
“นอนน้อยแต่นอนนะ แล้วเดี๋ยวค่อยนอนชดเชย” แนวคิดที่คนส่วนใหญ่วันนี้เชื่อเหมือนกันทั่วโลก แต่หลายคนอาจสังสัย ทำไมนอนยาว ๆ มาหลายคืน แต่ตื่นเช้ามากลับไม่รู้สึกสดชื่นแจ่มใสเลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังเหนื่อยล้าสะสมจนกระทบทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจกลายเป็นคนห่อเหี่ยว ทั้งหมดเกิดจาก “ปัญหาการนอน” ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตของคน 45% ในโลกมีปัญหา บอกก่อนเลยว่าปัญหานี้ไม่เกี่ยวกับอายุ แม้จะมีความเชื่อผิด ๆ ว่าวัยรุ่นมีพลังการฟื้นตัวที่ดีกว่าผู้ใหญ่ เพราะในผลวิจัย “Observing changes in human functioning during induced sleep deficiency and recovery periods” ทดลองกับวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่มีเวลานอนพักผ่อนน้อยกว่ามาตรฐานราว 30% เป็นเวลา 10 คืนต่อเนื่อง พบว่ามีผลข้างเคียงคือสติและการประมวลผลมีประสิทธิภาพต่ำกว่าปกติ สมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย ไม่สามารถรับอะไรใหม่ ๆ เข้าหัวได้ คิดอะไรสร้างสรรค์ไม่ออก ความสามารถในการแก้ปัญหาและตัดสินใจไม่เฉียบคมเหมือนปกติ แม้จะนอนให้เพียงพอเพื่อชดเชยถึง 7 วันแล้ว ก็ยังไม่สามารถกลับมาสดชื่นเหมือนเดิมได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมบางคนถึงรู้สึกง่วงไร้เรี่ยวแรงตลอดเวลา ในขณะที่บางคนมีพลังงานเต็มถังอยู่เสมอ ตามรายงานจาก US
นับเป็นการแจ้งเกิดในวงการเทนนิสที่สร้างความฮือฮามาก ๆ เมื่ออยู่ดี ๆ นักกีฬาเทนนิสหน้าใหม่ปรากฎตัวในการแข่งขันระดับโลกแค่ไม่กี่ครั้งคนหนึ่ง จะสามารถโค่นล้มนักกีฬามืออาชีพได้แบบขาดลอย และคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นหญิงเดียวมาครอบครองได้ในที่สุด สาวน้อยมหัศจรรย์คนนี้มีชื่อว่า Emma Raducanu นักเทนนิสสาววัย 18 ปี ที่มาพร้อมกับความสามารถอันโดดเด่น ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นดาวรุ่งในวงการเทนนิสอย่างรวดเร็ว UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับเธอให้มากขึ้นกัน พื้นเพและผลงานของ Emma Raducanu Emma Raducanu เกิดเมื่อปี 2002 ในบ้านเกิดที่เมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา ครอบครัวของเธอเป็นชาวต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ในต่างแดน พออายุได้ 2 ขวบ เธอก็ย้ายไปอยู่ที่กรุงลอนดอนพร้อมกับครอบครัว ทำให้เธอได้รับ 2 สัญชาติ (ได้แก่ แคนาดา และ บริติช) ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ในวัยเด็กเธอได้เล่นกีฬาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น กอล์ฟ แข่งรถคาร์ท สกี ขี่ม้า รวมถึง บัลเล่ต์ และ แท็ปแดนซ์ ส่วนเทนนิส เธอเริ่มเล่นมันตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จนกระทั่งในปีอีกสิบปีต่อมา หลังจากที่เธอฝึกฝนและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านเทนนิสมานมนาน
เมื่อก่อน ‘กัญชา’ สมุนไพรแห่งความผ่อนคลายที่โลกรู้จักสรรพคุณมาอย่างนานนม มักถูกกล่าวโทษด้วยคำพูดต่าง ๆ นา ๆ อยู่เสมอ เช่น ทำให้ก่ออาชญากรรมได้ง่ายขึ้นหรือ ทำให้คนขี้เกียจและไร้เรี่ยวแรงในการทำงาน เป็นต้น ปัจจุบันเริ่มมีการพิสูจน์แล้วว่าข้อเสียของกัญชาบางข้ออาจไม่ได้เป็นความจริงเสมอไป เช่น งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร SAGE Journals (2020) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการสูบกัญชาหลังเลิกงานไม่ส่งผลเสียต่อการทำงานในวันรุ่งขึ้น การทดลองที่เริ่มต้นโดย Jeremy B. Bernerth และ H. Jack Walker นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยซานดิเอโกสเตท และ มหาวิทยาลัยออเบิร์น ประเทศสหรัฐฯ ต้องการศึกษาเอฟเฟคของกัญชาที่มีต่อความสามารถในการทำงานของคน (เช่น พฤติกรรมที่แสดงออกต่อเพื่อนร่วมงาน หรือ ทัศนคติที่มีต่องาน เป็นต้น) โดยการสอบถามคนทำงานจากสถานที่ทำงานทั่วไปจำนวนกว่า 281 คนถึงพฤติกรรมการใช้กัญชา พร้อมให้หัวหน้าของพนักงานเหล่านั้นประเมินผลการทำงานของพวกเขา พนักงานทุกคนจะต้องรายงานเรื่องการใช้กัญชาแก่นักวิจัย (เช่น ความถี่และช่วงเวลาในการบริโภคกัญชา) ส่วนหัวหน้าจะเป็นคนประเมินผลการทำงานของพนักงานเหล่านั้นโดยใช้ 3 เกณฑ์ ได้แก่ ความสามารถในการทำงานให้สำเร็จ ทัศนคติที่มีต่อเพื่อนร่วมงาน และทัศนคติที่มีต่อตัวงาน เมื่อได้ข้อมูลครบแล้ว สุดท้ายนักวิจัยก็จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์และสรุปผลการทดลอง ผลการวิจัยพบว่า
ความสุขของผู้ชายมักมีที่มาจากความสำเร็จในชีวิตของพวกเขา เช่น หน้าที่การงานก้าวหน้า (ได้เลือนขั้น หรือ ธุรกิจประสบความสำเร็จ) ได้ซื้อรถยนต์คันใหม่ หรือ เจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้กลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนอย่างการถูกลอตเตอรี่ เป็นต้น แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขยาวนานเลย นานวันไป ความรู้สึกดีก็ค่อย ๆ ลดลงไปตามกาลเวลา จนสุดท้ายเราก็รู้สึกเฉยชากับมันในที่สุด เราเรียกปรากฎการณ์ที่ความสุขค่อยลดลงตามกาลเวลาว่าเป็น ลู่วิ่งแห่งความสุข (Hedonic Treadmill) Hedonic Treadmill เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ในช่วงยุค 1970s สองนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Philip Brickman และ Donald Thomas Campbell ได้แนะนำให้โลกได้รู้จักกับคอนเซ็ปท์ของ Hedonic Adaptation หรือ ความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัวให้เข้ากับความสุขที่ตัวเองได้รับ จนรู้สึกไม่ยินดียินร้ายกับมันในที่สุด กล่าวคือ เวลาที่เราเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้หัวใจเราพองโต อารมณ์และความรู้สึกจากเหตุการณ์นั้นจะค่อย ๆ จางหายไป จนสุดท้าย เราจะรู้เฉยชาเหมือนก่อนเกิดเหตุการณ์นั้นในที่สุด สาเหตุที่ทำให้กลไกนี้อยู่คู่กับมนุษย์ อาจเกี่ยวข้องกับการเอาตัวรอด ถ้าเรามีความรู้สึกที่มากเกินไป เช่น ดีใจเกินไป หรือ