หากเอ่ยชื่อ ‘โอ๊ค Big Ass’ และ ‘สมเมย์ Labanoon’ เชื่อว่าแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะพวกเขาทั้งคู่คือมือเบส และมือกลองที่เป็นหนึ่งในสมาชิกวงร็อกเบอร์ต้น ๆ ของเมืองไทย ที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และสั่งสมชื่อเสียงผ่านเพลงฮิตมาแล้วมากมาย แต่ GARAGE สัปดาห์นี้ เราไม่ได้พาชาว UNLOCKMEN ไปเจาะลึกถึงเส้นทางความสำเร็จที่ผ่านมาของพวกเขา แต่เราจะพาทุกคนไปพบกับเรื่องราวการเดินทางครั้งใหม่ของทั้งคู่ กับ VOM Records ค่ายเพลงเล็ก ๆ ที่พวกเขาทุ่มเททั้งแรงกาย และใช้หัวจิตหัวใจปลุกปั้นขึ้นมา เพื่อเป้าหมายในเปิดโอกาสทางดนตรีให้ใครก็ตามที่มีดี และมีไฟฝันอันแรงกล้าอยู่ในตัว ได้ใช้พื้นที่นี้ปล่อยของออกไปสู่คนฟังให้ได้มากที่สุดโดยพี่โอ๊ค และ พี่สมเมย์ได้เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเล่าย้อนไปยังชีวิตวัยเด็กซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมดทั้งมวลที่พาให้ทั้งคู่ก้าวสู่วิถีคนดนตรี พี่โอ๊ค: ตอนเด็ก ๆ เริ่มจากที่บ้านชอบฟังเพลง ที่บ้านจะมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอะไรแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็จะเปิดพวกเพลงสากลด้วย เพลงไทยด้วย ยุคนั้นก็จะได้ยินเพลงเอลวิส เพลงโฟล์ค อะไรพวกนี้ พอโตขึ้นมาหน่อย พี่ชายเค้าก็จะฟังเพลง ก็จะเปิดพวกฮาร์ดร็อคยุค 70 ยุค 80 เราก็ได้ฟัง ซึมซับมาเรื่อย ๆ ก็เลยชอบฟังเพลง บวกกับพี่ชายเป็นนักดนตรีด้วย พอเขาเริ่มเล่นดนตรีเราก็ดูเขาก็
หลายคนคงรู้จัก ‘เอ้-กุลจิรา’ หรือ ‘เอ้-The Voice’ ในฐานะสาวน้อยเสียงดีมีเอกลักษณ์จากเวทีประกวด The Voice Season 3 แม้จะผ่านเวลามาแล้วกว่า 6 ปี ชื่อนี้ก็ยังคงเป็นที่จดจำแทบทุกพื้นที่สื่อที่เธอปรากฎตัว แต่ถ้าพูดถึง ‘เอ้-Beagle Hug’ เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่านี่คืออีกสเต็ปการเดินทางบนถนนสายดนตรีที่ตอกย้ำอาชีพศิลปินของเธอให้ชัดเจนยิ่งขึ้น กับงานเพลงแนว Experimental Pop และ Trip Hop ที่ เอ้, แบงค์, โบ๊ท และปอม เหล่าพี่น้องสหายดนตรีร่วมกันสร้างสรรค์ในนาม Beagle Hug และ GARAGE สัปดาห์นี้จะพาชาว UNLOCKMEN ไปรู้จักเรื่องราวของเขาและเธอให้มากขึ้น แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องราวของ Beagle Hug เราขอพาทุกท่านย้อนกลับไปทำความรู้จักกับ ‘เอ้’ สุภาพสตรีเพียงคนเดียวของวง กับจุดเริ่มต้นบนเส้นทางดนตรี, การเข้ามาของชื่อเสียง ไปจนถึงการเริ่มต้นสร้างสรรค์ผลที่เป็นตัวเองจริง ๆ ในนามวง Beagle Hug “เราชอบฟังเพลงตั้งแต่เด็ก ๆ เติบโตมากับเพลงเก่า ๆ เพลง Oldies
ผู้ชายอย่างเราอาจตีความหมายคำว่า “ผู้นำ” แตกต่างกันออกไป หลายคนมองว่าผู้นำคือบุคคลที่คอยวางแผน ดูแล รวมไปถึงร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ทีมงานหรือกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง แต่สำหรับอีกหลายคนวิถีความเป็นผู้นำก็สามารถนำไปปรับใช้กับเส้นทางชีวิต เพื่อกำหนดและควบคุมชีวิตของตัวเองให้เดินไปพบกับจุดหมายปลายทางดั่งที่มุ่งหวังเอาไว้ และชาย 2 คนนี้ คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการเป็นผู้นำชีวิตให้ตัวเอง จนสามารถก้าวเดินบนเส้นทางแห่งความฝันที่ตั้งใจมาตั้งแต่เด็ก ชื่อของพวกเขาคือ Dimitri Thivaios และ Michael Thivaios หรือที่สาวกเพลงแนว Electronic Dance Music รู้จักกันดีในชื่อ Dimitri Vegas & Like Mike ซึ่งในวันนี้เราจะนำบทสรุปที่น่าสนใจ มาถ่ายทอดมุมมอง ทัศนคติ รวมถึงความหลงใหลในการใช้ชีวิตและการเป็น “ผู้นำของตัวเอง” ก่อนที่ทั้ง 2 คนจะคว้าโอกาสและแสดงฝีมือให้จนได้รับการยอมรับในฐานะดีเจระดับท็อปของโลกมาถึงทุกวันนี้ มาทำความรู้จักกับคู่หูดีเจให้ดีมากขึ้น รวมถึง The Art of Leadership ในแบบฉบับของพวกเขาไปพร้อมกัน Dimitri Vegas & Like Mike คือศิลปินดีเจ 2 พี่น้องคู่หูที่มีชื่อจริงว่า Dimitri Thivaios และ Michael
ต้องบอกว่า ’10 ปี’ คือระยะเวลาไม่ใช่น้อย ๆ กับการที่วงดนตรีสักวงจะยืนหยัดสร้างผลงาน ผ่านเรื่องราวมากมาย จนได้มีโอกาสปักหมุดไมล์ 10 ปีเอาไว้ในหน้าสมุดบันทึกวงการเพลงไทย ยิ่งเป็นวงอย่าง The Yers วงดนตรีที่ยอมรับแต่โดยดีว่า ด้วยแนวเพลง และวิธีนำเสนอของวง เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำให้อาชีพศิลปินนั้นกลายเป็นอาชีพหลักอาชีพเดียวที่สามารถหล่อเลี้ยงสมาชิกทุกคนได้ แล้วอะไรคือแรงผลักสำคัญที่ทำให้วงยังคงเดินหน้าต่อไป และคำถามนี้ที่เราเอง และเชื่อว่าอีกหลายคนกำลังสงสัย คงไม่มีใครให้คำตอบได้ดีไปกว่า อู๋-ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ (Vocal & Guitar), ต่อ-พนิต มนทการติวงค์ (Guitar), โบ๊ท-นิธิศ วารายานนท์ (Bass) และ บูม-ถิรรัฐ ภู่ม่วง (Drum) สมาชิกปัจจุบันของ The Yers ซึ่งพวกเขาจะมาเล่าเรื่องราวของวงตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และอัพเดทความเป็นไปของ The Yers หลังผ่านหลักไมล์ที่ 10 ให้ทุกคนได้อ่านกันในคอลัมน์ GARAGE ส่งท้ายเดือนเมษายนนี้ จุดเริ่มต้น อู๋: แรกเริ่มเลยเป็นการรวมวงของเพื่อนสมัยประถมของผมมีแค่ 3
ด้วยผลพวงจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้สภาพเศรษฐกิจ และวิถีชีวิตผู้คนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก การเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing กลายเป็น New Normal หรือสิ่งใหม่ที่กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา กับการที่ผู้คนหลายล้านชีวิตทั่วโลกต่างกักตัวใช้เวลาอยู่ในบ้านเป็นส่วนใหญ่ จะออกไปข้างนอกแต่ละทีก็ต้องเป็นเหตุจำเป็นเท่านั้น และเพื่อไม่ให้การที่วิถีชีวิตต้องเปลี่ยนไปแบบกะทันหันด้วย COVID-19 มันชวนหงุดหงิดไปมากกว่านี้ 4 วงร็อกดังระดับโลก ในฐานะเอนเตอร์เทนเนอร์มืออาชีพ คงเล็งเห็นว่าเสียงเพลงและลีลาในบันทึกการแสดงสดจากทัวร์คอนเสิร์ตสุดอลังฯ ของพวกเขา น่าจะช่วยผ่อนคลายอารมณ์เบื่อเหงาเศร้ากังวลทั้งหลายให้กลายเป็นความมันส์ แถมยังช่วยรณรงค์ให้ผู้คนใช้เวลาอยู่กับบ้านได้นานขึ้น ทำให้ที่ผ่านมาทั้ง Metallica, Slipknot, Radiohead และ Pink Floyd วงร็อกระดับหัวแถวของโลก ต่างทยอยอัพคอนเสิร์ตขึ้น YouTube โดยไม่ได้นัดหมาย แต่มีเป้าประสงค์ปลายทางเดียวกัน คือต้องการให้สาวกชาวร็อกได้มันส์กับเสียงดนตรีแบบฟรี ๆ จากที่บ้านท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19 แบบนี้ ซึ่งแต่ละวงจะขนเอาโชว์สุดตราตรึงครั้งไหนมาให้ชมฟรีบนโลกออนไลน์บ้าง วันนี้เราขออาสารับหน้าที่พรีวิวให้ชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายได้ทราบกัน จะได้จัดคิวถูกว่าจะดูคอนเสิร์ตไหนก่อน-หลังดี METALLICA เริ่มต้นด้วยวงดนตรีขวัญใจสายร็อกเฮฟวี่เมทัลรุ่นเก๋าอย่าง Metallica ที่นำร่องปล่อยคอนเสิร์ตให้ชมฟรีบน YouTube มาตั้งแต่วันที่ 24 มีนา
ณ เวลานี้ คอเกมทั้งหลายคงไม่มีใครไม่รู้จัก Garena Free Fire สุดยอดเกม Action เอาตัวรอดบนมือถือ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย และกว่า 130 ประเทศทั่วโลก ที่เปิดตัวมาด้วยเวลาเพียงแค่ 2 ปี แต่กวาดสถิติไปแล้วมากมาย ไม่ว่าจะยอดดาวน์โหลดกว่า 450 ล้านครั้ง, มีจำนวนผู้เล่นออนไลน์พร้อมกันสูงสุดทั่วโลกกว่า 50 ล้านคน รั้งตำแหน่งสุดยอดเกมที่มีผู้เล่นดาวน์โหลดเยอะที่สุดทั่วโลกในปี 2019 แถมยัง เป็นเกมมือถือที่ทุบสถิติยอดผู้ชมการแข่งขัน eSports ออนไลน์พร้อมกันสูงสุดในโลกจากรายการ Free Fire Worlds Series 2019 แต่ถึงแม้จะยืนหนึ่งเป็นเกมมือถือยอดฮิตถล่มทลาย ทาง Garena Free Fire ก็ไม่ได้นอนกอดความสำเร็จแบบนิ่งดูดาย เพราะนอกจากจะตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาเกมให้มันส์สะใจ ก็ยังมีโปรเจ็กต์พิเศษมากมายออกมาเอาใจเหล่าเกมเมอร์ทั้งหลายให้อินกับเกม Garena Free Fire มากขึ้น ล่าสุดสาวก Garena Free Fire รวมถึงใครที่ติดตามวงการเพลง Hip Hop กันอยู่ น่าจะพอทราบถึงข่าวคราวของโคตรโปรเจ็กต์ ที่ต้องยอมรับเลยว่า ทีมงาน Garena
ในปัจจุบันนี้หน้ากากอาจกลายเป็นสิ่งที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อรวมไปถึงฝุ่น PM 2.5 ซึ่งใคร ๆ เขาก็ทำกัน แต่หากมองย้อนกลับไม่กี่ปีที่ผ่านมา การใส่หน้ากากคงไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไปที่ใคร ๆ ก็ใส่กัน โดยเฉพาะในกลุ่มนักดนตรีระดับโลกทั้งหลาย ที่ส่วนใหญ่จะมาถึงจุดที่เรียกว่าโด่งดังได้นั้น อาจจะต้องใช้ใบหน้าอันหล่อเหลาเข้าช่วยบวกกับความต้องการให้คนทั่วไปจดจำใบหน้าของตัวเองได้ซึ่งก็ไม่ได้ผิดแปลกอะไร เพียงแต่มันอาจใช้ไม่ได้กับวงดนตรีทั้ง 8 วงนี้ เพราะนอกจากพวกเขาเลือกจะใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองแล้ว การปกปิดตัวตนและใบหน้าให้ลึกลับกลับช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จ และเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้นอีก วันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่าพวกเขาเหล่านี้ว่าจะเป็นวงอะไรกันบ้าง ทำไมพวกเขาต้องใส่หน้ากากทุกครั้งที่ออกสู่สาธารณชน 1. The Residents 44 ปี มาแล้วสำหรับวงดนตรีที่ชื่อว่า The Residents กับการเก็บตัวตนสุดลึกลับของพวกเขาเอาไว้ภายใต้หน้ากาก The Residents ก่อตั้งขึ้นในโรงเรียนมัธยม Shreveport รัฐ Louisiana และขยับขยายย้ายถิ่นไปมีชื่อเสียงอยู่ที่ California อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงรักษาความลึกลับของหน้าตาที่แท้จริงเอาไว้ภายใต้หน้ากากรูปลูกตากับหมวกนักมายากลมาเสมอ เพราะเขาต้องการให้คนสนใจที่ผลงานเพลงมากกว่าที่จะมาสนใจที่ตัวพวกเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมา The Residents ปล่อยผลงานเพลงออกมาแบบบ้าพลังถึง 40 ชุด รวมไปถึง Multimedia Collection อีกมากมาย 2. Slipknot วง
มีใครสักคนเคยกล่าวไว้ว่า บทเพลงไพเราะช่วยทำให้บรรยากาศในแต่ละสถานการณ์ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ UNLOCKMEN ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้งเพราะพวกเราก็เป็นคอดนตรี บางคนชอบฟังเพลงในกระแส บางคนชอบฟังเพลงนอกกระแส บางคนชอบฟังเพลงสากลไปจนถึงเพลงของไอดอลเคป๊อป พวกเรามักสลับกันเปิดเพลงเพื่อสร้างบรรยากาศในออฟฟิศ และหลายครั้งหลายคราวที่เลือกฟังเพลงของวงดนตรีวงหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง วงที่ว่าก็คือ eletric.neon.lamp เราได้ฟังเพลงของ eletric.neon.lamp มาประมาณหนึ่ง และในที่สุดก็มีโอกาสร่วมวงสร้างบทสนทนากับสมาชิกในวงทั้ง เจน (ร้องนำ) แทน (กีตาร์) อุน (กีตาร์) เต้ (เบส) และแป๊ก (กลอง) เราพบว่า eletric.neon.lamp คือวงดนตรีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจ วิธีการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ มุกตลกกวน ๆ อย่าง “ถ้าเทียบกับหมา eletric.neon.lamp ก็แก่มากแล้ว” และถ่ายทอดเรื่องราวอย่างจริงใจว่ากว่า 14 ปี พวกเขาพบเจออะไรบ้างระหว่างที่นั่งอยู่บนรถไฟแห่งความฝัน การเดินทางจากเชียงใหม่สู่ใจกลางของวงการเพลงไทย วงดนตรีนามว่า eletric.neon.lamp ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มคนที่หลงรักเสียงเพลงและอยากสร้างสรรค์ผลงานด้านดนตรีในสไตล์ของตัวเอง เริ่มจากพ.ศ. 2549 ที่พยายามค้นหาตัวเอง ลองผิดลองถูก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนวันนี้นานถึง 14 ปี ระยะเวลานานขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ UNLOCKMEN
เท่าที่พอจำความได้มีวงดนตรีเพียงไม่กี่วงที่ถูกบรรจุในความทรงจำวัยเด็กของเรา และยังแน่วแน่ทำเพลงใหม่อย่างไม่เคยหมดมุขหรือเหน็ดเหนื่อยจนถึงปัจจุบัน แล้วคงพูดได้เต็มปากว่า ‘Scrubb’ (สครับ) เป็นหนึ่งในไม่กี่วงนั้น Scrubb คือวงดนตรีป๊อปร็อกอายุ 20 ปี ของ บอล – ต่อพงศ์ จันทบุบผา และ เมื่อย – ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ คู่หูต่างชั้นปีจากรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน พวกเขาสร้างสรรค์ดนตรีหลากสไตล์ กลั่นกรองคำร้องและท่วงทำนองที่บางครั้งก็อบอุ่นฟังสบาย แต่บางทีก็ลึกซึ้งราวกับพาเราดำดิ่งไปสัมผัสอารมณ์โคตรเศร้าที่เป็นหนึ่งส่วนของความสัมพันธ์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่โตมากับเพลงเธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ ฟังเพลงกลัวและผ่านไปแล้วตอนเศร้าหม่น เปิดเพลงใกล้และรอยยิ้มฟังเพลิน ๆ ตอนแอบชอบใครสักคน หรือเคยใช้เพลงคู่กัน คนนี้ และเข้ากันดีมอบให้แฟนคนใดคนหนึ่ง เราอยากให้คุณรู้จักและหลงรัก Scrubb อีกครั้ง ผ่านบทสนทนาของสองหนุ่มต่างสไตล์ที่โลดแล่นบนเส้นทางดนตรีมา 20 ปี ซึ่งสิ่งที่เหมือนกันและยังทำมาจนถึงทุกวันนี้คือ ‘การทำเพลง’ หลายคน ‘ยังอยากรู้’ ว่าจุดเริ่มต้นของ Scrubb เกิดขึ้นตอนไหน? เมื่อย: เราเจอกันในมหาวิทยาลัยศิลปากร อยู่ในชมรมดนตรีเหมือนกัน จนวันนึงอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง เลยพยายามไปเสนอค่าย แต่ก็ไม่มีใครเอา (หัวเราะ) ก็เลยลองทำเพลงใต้ดินกันเอง มีเครื่องอัดสี่แทร็ก
สำหรับคอดนตรีร็อกในเมืองไทย เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงของ “The Rock Pub” หนึ่งในแหล่งรวมตัวคนชอบดนตรีร็อกที่จัดว่ามีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ในกรุงเทพฯ รวมถึงในบ้านเราเลยทีเดียว ชาวร็อกหลายคนอาจจะเคยไปมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง แต่สำหรับบางคนที่ยังไม่รู้ว่าร้านนี้ตั้งอยู่ส่วนไหนในประเทศ ลองคิดดูดี ๆ ว่าคุณเคยเห็นตึกอิฐที่ดูน่าเกรงขามข้าง Coco Walk ติด BTS ราชเทวี ตึกนั้นหรือไม่? ใช่ครับที่นั่นคือที่ตั้งของ The Rock Pub ภายนอกสถานที่แห่งนี้อาจทำให้หลายคนคิดว่า ‘ดูเก่า’ ไม่ก็อาจจะคิดว่าดูน่ากลัว แต่สำหรับคนที่เคยเข้าไปคลุกคลีเสพดนตรีทั้งคืนจนถึงร้านปิดอย่างเราแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย ที่เข้ามาเต้น มาร้อง มากระโดด มาพูดคุย บ้างก็นั่งเฉย ๆ ฟังดนตรีกันอย่างตั้งอกตั้งใจ เป็นสถานที่สำหรับผู้ที่มีใจรักต่อดนตรีร็อกอย่างแท้จริง บางครั้งก็อาจจะมากกว่าเครื่องดื่มที่พวกเขาถือในมือเสียอีก ด้วยความที่เห็น The Rock Pub มาอย่างช้านาน เราจึงเกิดคำถามว่าใครเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้? และเขาทำอย่างไรให้ร้านเป็นดนตรีเฉพาะกลุ่มลักษณะนี้ให้ดำรงอยู่ได้? วันนี้ UNLOCKMEN จึงเข้ามาสนทนากับ “คุณเต๋า – นนทเดช บูรณะสิทธิพร” ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของคนปัจจุบันของร้าน และเราก็ได้พบว่า The
หากจะกล่าวถึงวงดนตรีแนว Goth-Rock ที่ขึ้นหิ้งเป็นระดับตำนานไปแล้ว เชื่อว่า The Cure จะเป็นชื่อแรก ๆ ที่ใครหลายคนคิดถึง พวกเขาก่อตั้งวงมาตั้งแต่ปี 1976 สมาชิกในวงเข้า ๆ ออก ๆ ผลัดเปลี่ยนมาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย มีผลงานสตูดิโออัลบั้มมากถึง 13 ชุด ถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมาพวกเขาจะออกทัวร์อยู่เนือง ๆ และเพิ่งจะจัดคอนเสิร์ตใหญ่ครบรอบ 30 ปีอัลบั้ม Disintegration ไป แต่อัลบั้มล่าสุดอย่าง 4:13 Dream มันก็ผ่านมานานกว่า 12 ปีแล้ว เพราะถูกปล่อยออกมาตั้งแต่ปี 2008 หลังจากที่ปล่อยข่าวออกมาสักพักแล้วว่า The Cure กำลังอยู่ในกระบวนการทำอัลบั้มใหม่ แต่ก็รอกันเนิ่นนานจนแฟนเพลงแซวว่า Robeth Smith แกล้งอำให้แฟนเพลงดีใจเล่น ล่าสุดฟรอนต์แมนวัยเก๋าท่านนี้ก็ออกมาคอนเฟิร์มเรื่องนี้ที่งาน NME Awards เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2020 ที่ผ่านมา โดยเขากล่าวว่า “เดี๋ยวเพลงแรกจะถูกปล่อยออกมาเร็ว ๆ นี้แหละครับ เราอัดกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เชื่อว่าชาวร็อกหลายคนต้องคุ้นเคยกับชื่อนี้ ‘Ozzy Osbourne’ เพราะเขาคือบุรุษแห่งความมืดมิด อดีตนักร้องนำ Black Sabbath วงดนตรีวงแรก ๆ ของโลกที่บุกเบิกดนตรีแนวเฮฟวีเมทัล เขาเป็นหนึ่งในคนที่ใช้ชีวิตคุ้มมาก เหล้า ยา ปาร์ตี้ พี่แกเอาหมด จนหลาย ๆ คนถึงกับสงสัยว่าพี่แกรอดชีวิตมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ห้อยพระอะไรถึงหนังเหนียวเสียเหลือเกิน ใครจะไปคาดคิดว่า Osbourne ในวัย 71 ปี จะออกมาเผยว่าตัวเองต้องทนต่อสู้กับโรคพาร์กินสัน (ภาวะอาการในกลุ่มการเคลื่อนไหวผิดปกติ) มาตั้งแต่ปี 2003 แล้ว เล่นเอาแฟนเพลงทั้งโลกตะลึงเพราะไม่เคยมารู้มาก่อน แถมเจ้าตัวยังออกทัวร์และไปร่วมงานกับศิลปินท่านอื่น ๆ ดูเป็นปกติสุขมาตลอด ถึงจะมีอาการมาตั้งแต่ปี 2003 แต่เพิ่งจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้จริง ๆ หลังประสบอุบัติเหตุหกล้มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อนนี้เอง และเมื่อเดือนมกราคม 2020 ที่ผ่านมา เขาก็ได้ออกมาเผยเรื่องนี้ต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกในรายการ Good Morning America โดยเขาได้กล่าวว่า “ผมไม่ตายเพราะพาร์กินสันหรอก ผมอยู่กับมันมาเกือบทั้งชีวิต ผมโกงความตายมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ถ้าพรุ่งนี้คุณเจอข่าว Ozzy Osbourne ไปสบายแล้วในเช้าวันนี้ คุณคงจะไม่ตื่นเต้นแบบ ‘โอ้พระเจ้า!’ แต่คุณจะแบบ