ข่าวการจากไปอย่างกะทันหันของ Chester Bennington นักร้องนำวง Nu Metal ระดับโลกอย่าง LINKIN PARK ด้วยวัยเพียง 41 ปี ทั้งที่เพิ่งจะออกเพลงใหม่มาให้แฟน ๆ ได้ฟังกันอยู่หมาด ๆ ยังคงทำให้กลุ่มแฟน รวมไปถึงคนฟังเพลงทั่วโลกเสียใจกับการจากไปเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่มีอายุช่วง 20 ปลาย ๆ ด้วยแล้ว สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าแทบทุกคนได้โตขึ้นมาพร้อมกับเสียงร้อง และเนื้อเพลงที่มีความหมายเท่ ๆ ของนักร้องนำผู้ล่วงลับคนนี้ ในขณะที่ทุกคนยังคงเสียดาย และหวังว่าข่าวการฆ่าตัวตายของเขาจะเป็นเพียงข่าวลือ รวมไปถึงคนบางกลุ่มที่ถึงขั้นหลั่งน้ำตาทันทีที่ได้ยินข่าว พร้อมกับสวดภาวนาให้กับผู้ชายที่ชื่อว่า Chester Bennington ไปสู่สุขคติอย่างสงบ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคิดว่า ต่อไปนี้คงไม่มีเสียงร้องแบบนี้ให้ฟังกันอีกต่อไปแล้ว ก็อดใจหายไม่ได้อยู่ดี หากเป็นแฟนเพลง หรือ คนที่รู้ถึงประวัติ และเรื่องราวของ Chester Bennington คงจะรู้ว่าทำไมจึงมีผู้คนมากมาย ต้องหลั่งน้ำตาให้กับการจากไปของผู้ชายคนนี้ ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ทั้ง ๆ ที่เกิดกันคนละทวีป วันนี้เราจะมาร่วมรำลึกถึงนักร้องนำผู้ที่เพิ่งจะกลายเป็นตำนานไปตลอดกาลคนนี้ ด้วยเรื่องราวดี ๆ ที่ยังคงหลงเหลือไว้ ให้เราสามารถนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของเราได้ เช่นเดียวกับเนื้อเพลงที่เขาได้เขียน
Manic Street Preachers คือวงดนตรีร็อกจากเวลส์ที่สร้างชื่อในช่วงยุค 90’s ปัจจุบันมีสมาชิกเหลือเพียง 3 คน ได้แก่ James Dean Bradfield, Nicky Wire และ Sean Moore พวกเขาสร้างตำนานจนเป็นที่พูดถึงไว้มากมาย โดยเฉพาะเหตุการณ์กรีดแขนเป็นคำว่า “4Real” ต่อหน้าสื่อมวลชนของ Richey Edwards อดีตมือกีตาร์ของวงที่ทำเอาแฟนเพลงทั่วโลกต้องตกตะลึงในความโหดของเขามาแล้ว รวมไปถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับของเจ้าตัวเมื่อปี 1995 ก็กลายเป็นปริศนาที่ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่เกริ่นมาอาจจะดูไม่ค่อยโอเคซักเท่าไหร่ แต่ถ้ามองข้ามมันไปแล้วมาเจาะลงที่ตัวดนตรีจะพบว่า Manic Street Preachers สร้างผลงานเพลงล้นคุณภาพประดับวงการเพลงไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น “A Design For Life”, “If You Tolerate This Your Children Will Be Next”, “You Stolen The Sun From My Heart” รวมไปถึงเพลงที่เรากำลังจะพูดถึง “Motorcycle Emptiness” “Motorcycle
“Yesterday” บทเพลงบัลลาดโฟล์กของวง The Beatles ผลงานจากอัลบั้ม Help! ที่วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1965 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งบทเพลงที่ยิ่งใหญ่และเป็นอมตะอยู่เหนือกาลเวลา และยังเป็นเพลงที่มักจะถูกรวมอยู่ใน Greatest Hit ของสี่เต่าทอง รวมไปถึงยังเป็นเพลงช้าที่หลาย ๆ คนคิดถึงเป็นลำดับแรก ๆ หากนึกถึงวงดนตรีระดับตำนานจากเมืองลิเวอร์พูล เพลง “Yesterday” โดดเด่นด้วยซาวด์กีตาร์โปร่งที่ถูกออกแบบเมโดลี้ออกมาได้อย่างไพเราะ เต็มไปด้วยท่วงทำนองของอารมณ์ที่เศร้าหมองที่ถูกบรรเลงไปพร้อมกับเสียงร้องของ Paul McCartney ได้อย่างลงตัว นอกจากนั้นยังมีเสียงเครื่องสายที่ถูกใช้ขับกล่อมคนฟังและยังช่วยเสริมบรรยากาศของเพลงให้ดูดำดิ่งลงไปได้อีกหลายเท่าตัว และมันยังสามารถส่งอารมณ์ไปสู่เนื้อหาของเพลงได้ยอดเยี่ยม ซึ่งมันเป็นเรื่องราวของคน ๆ หนึ่งที่ถูกคนรักบอกลาไป แต่เขายังคงจมปลักอยู่ในวันวานของความรักครั้งเก่าอยู่ แต่เบื้องหลังความไพเราะที่เกิดขึ้นมันไม่ได้มาจากการนั่งทำเพลงในสตูดิโอตามปกติ แต่มันมาจากความฝันของ Paul McCartney ต่างหาก ท่านเซอร์ได้เคยเปิดเผยเรื่องดังกล่าวผ่านทางหนังสือชีวประวัติของตัวเองเอาไว้ดังนี้ คืนหนึ่งทาง Paul McCartney ได้พักอยู่ในย่านถนนวิมโพล สตรีท กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (เป็นบ้านของ Jane Asher อดีตแฟนสาวของท่านเซอร์) พร้อมกับเปียโนที่วางอยู่ข้าง ๆ เตียง ในขณะที่เขานอนหลับเข้าสู่ห้วงนิทราแห่งความฝันมันก็มีเมโลดี้บางอย่างล่องลอยอยู่ในนั้น และเขาก็จดจำมันได้เป็นอย่างดี
ป๊อปพังก์เป็นอีกหนึ่งแนวดนตรีที่เคยได้รับความนิยมอย่างสุดขีดในช่วงยุค 2000’s ด้วยสไตล์ดนตรีที่ฟังง่าย สนุก และไม่หนักจนเกินไป รวมไปถึงยังมีเนื้อหาที่ตรงใจเหล่าบรรดาวัยรุ่น มันก็ทำให้ดนตรีแนวนี้สามารถสื่อสารกับคนกลุ่มใหญ่ได้อย่างสบาย ๆ ดังนั้นเรามานั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปกับเพลย์ลิสต์ของเพลงป๊อปพังก์ยุค 2000’s เพื่อดึงความรู้สึกแห่งความสนุกในช่วงนั้นกลับมากันดีกว่าครับ “FIRST DATE” – BLINK 182 วงป๊อปพังก์ 3 ชิ้นที่ครองโลกด้วยดนตรี 3 คอร์ดง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากจากเพลง “All The Small Things” ส่วนเพลง “First Date” คือผลงานจากอัลบั้ม “Take Off Your Pants and Jacket” ปล่อยให้ฟังครั้งแรกในวันที่ 8 ตุลาคม ปี 2001 มันเต็มไปด้วยจังหวะแห่งการปลุกอะดรีนาลีนของเราให้พุ่งพล่านได้อย่างดีเยี่ยม ส่วน MV ก็สนุกไม่แพ้ดนตรี เพราะทั้ง 3 สมาชิกพาทุกคนย้อนไปเกรียนในแบบยุค 70’s เรียกเสียงฮาจากแฟนเพลงได้เป็นอย่างดี “AMERICAN IDIOT” –
หากจะให้พูดถึงวงคลาสสิคร็อกระดับต้น ๆ ของโลก ชื่อของ Led Zeppelin จะต้องติดมาด้วยอย่างแน่นอน คณะไซคีเดลิกร็อก ที่สร้างซาวด์ดนตรีไว้ได้อย่างมีเอกลักษณ์ จัดจ้านในทุกตัวโน๊ตที่บรรเลงออกมา พวกเขาฝากสุดยอดเพลงระดับมาสเตอร์พีซเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น “Stairway to Heaven”, “Whole Lotta Love“ หรือ “Immigrant Song” เป็นต้น Led Zeppelin สามารถสร้างชื่อได้ทันทีนับตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับวงเมื่อวันที่ 12 มกราคม 1969 ซึ่งโปรดิวซ์โดย Jimmy Page มือกีตาร์ของวง โดยสามารถทำยอดขายได้ในอเมริกาได้มากถึง 8,000,000 ก็อปปี้ (แม้จะเป็นวงจากอังกฤษก็ตาม) รวมไปถึงได้รับการยกย่องจากบรรดาสื่อดนตรีชั้นนำไม่ว่าจะเป็น Rolling Stone, Allmusic, Grammy Awards และอีกมากมาย นอกจากความสำเร็จทางดนตรีของอัลบั้มนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดีคืออาร์ตเวิร์กบนหน้าปกที่เป็นรูปเรือเหาะที่ดูผ่าน ๆ แบบไม่เข้าใจความหมายก็คงดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จริง ๆ แล้วรูปดังกล่าวมันคือเรือเหาะ “Hindenburg” ที่เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้จนล่วงลงสู่พื้นปฐพีในปี 1937 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย จนได้รับขนานนามเหตุการณ์นั้นว่า
Bring Me The Horizon นี่คือชื่อวงร็อกแห่งยุคปัจจุบันที่จะให้บอกว่าพวกเขาคือวงระดับโลกก็กล้าเรียกได้เต็มปากอย่างแน่นอน พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นฮีโร่และขวัญใจของผู้นิยมชมชอบดนตรีอันหนักหน่วงได้ทั่วโลก ทุกเพลง ทุกอัลบั้มต่างได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมอยู่เสมอ แต่เส้นทางการไต่ระดับไขว้คว้าความสำเร็จใช่ว่าจะมาจากโชคช่วย แต่มันมาจากการวางแผนของสมาชิกวงรวมไปถึงค่ายเพลงที่มีส่วนช่วยผลักดันให้อดีตวงเล็ก ๆ ในเมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ เติบโตขึ้นมากลายเป็นวงระดับโลกได้ตามที่เห็นในทุกวันนี้ ซึ่งมันก็มาพร้อมความท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเลือกที่ปรับเปลี่ยนแนวดนตรีมาแทบจะทุกอัลบั้ม ถือเป็นโจทย์ที่โคตรเสี่ยงตายแบบหาตัวแสดงแทนไม่ได้ของจริง แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Bring Me The Horizon ฝ่าฝันอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้ ทาง Unlockmen จัดการถอดรหัสมาให้ดังนี้ ความเป็น ICONIC ของ OLIVER SYKES คำว่า “Iconic” ไม่ใช่ใครก็เป็นได้ แต่ Oliver Sykes นักร้องนำของวงสามารถทำได้สำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปีเลยด้วยซ้ำ และมันมาจากความพยายามของตัวเขาเองแทบจะ 100% เริ่มแรกเลยความได้เปรียบของวง Bring Me The Horizon คือการมีฟรอนต์แมน (หรือนักร้องนำ) หน้าตาดี, มีความสามารถในการร้องเพลง, มีรอยสักที่โคตรเท่ถูกใจชาวร็อก, มีการแต่งตัวเข้ากับแฟชั่นทุกยุคทุกสมัย แถมยังรู้จักวิธีโปรโมตตัวเองด้วยแบรนด์สินค้าที่เขาสร้างมันขึ้นมาเอง ด้วยองค์ประกอบที่ครบแบบนี้มันจึงกลายเป็นแรงดึงดูดให้คนเลือกที่จะเข้ามาติดกับด้วยภาพลักษณ์ก่อนที่จะเข้ามารู้จักตัวเพลง
“บางทีฉันแค่อยากจะหนีออกไป อยากออกไปใช้ชีวิต ไม่ได้อยากตาย บางทีฉันก็แค่อยากหายใจ บางทีฉันก็แค่ไม่อยากเชื่ออะไรเลย บางทีเธอน่าจะเป็นเหมือนฉัน พวกเราได้มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่มีวันได้เห็น เธอกับฉันจะอยู่ด้วยกันไปตลอดกาล” นี่คือวรรคทองของเพลง “Live Forever” ผลงานของวง Oasis จากอัลบั้มเดบิวต์ Definitely Maybe (1994) เป็นเพลงที่ถูกยกย่องว่าดีที่สุดตลอดกาลของวงร็อกจากเมืองแมนเชสเตอร์ อีกทั้งมันยังเต็มไปด้วยซาวด์ดนตรีที่เปรียบเสมือนการปูแนวทางของวงตลอดระยะเวลา 18 ปีที่โลดแล่นอยู่ในวงการ และยังเป็นเพลงที่ทั้ง Liam และ Noel Gallagher (ที่ตอนนี้เป็นศิลปินเดี่ยว) จะต้องยัดเอาไว้ในเซตลิสต์อยู่เสมอ จุดเริ่มต้นของเพลง “Live Forever” เกิดขึ้นในปี 1991 ซึ่งในตอนนั้น Noel ยังทำงานเป็นกรรมกรคนใช้แรงงานอยู่กับบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งในบ้านเกิด แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายเพราะ Gallagher ผู้พี่เกิดประสบอุบัติเหตุโดนท่อเหล็กชนเข้าที่ข้อเท้า ผลคือเขาถูกส่งไปทำงานเบา ๆ อยู่ในห้องเก็บของ ซึ่งเป็นงานที่สบายและมีเวลาว่างกว่าเดิมมาก ทำให้เขามีเวลาเขียนเพลงแบบเต็ม ๆ ส่วนแรงบันดาลใจของเพลงนี้มันก็ได้รับมาจากทั้งจากวง The Rolling Stones, Nirvana และชีวิตวัยเด็กของพี่น้อง Gallagher “SHINE THE LIGHT” “Shine The
นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับนักเลงสายเนื้อ เมื่อมีการประกาศปลดล็อคกัญชา ที่ทุกคนสามารถปลูกพืชนี้ในครัวเรือนได้อย่างเสรี เรียกได้ว่าตอนนี้หลายคนคงตลบอบอวลไปด้วยควันแห่งความสุขกันอย่างแน่นอน แต่ในวงการดนตรีแล้ว กัญชากับดนตรี เป็นของคู่กันมานานแสนนาน มาตั้งแต่ยุคสมัยร็อคแอนด์โรลรุ่งเรือง ยันไปถึงยุคของเพลงฮิปฮอป เรียกได้ว่าสมุนไพรนี้เป็นบัดดี้กับดนตรีก็ว่าได้ UNLOCKMEN จึงขอใช้วาระสำคัญนี้ เสนอ 10 บทเพลงเกี่ยวกับกัญชาที่ดีที่สุดมาเล่าสู่กันฟัง Miley Cyrus, “Dooo It!” (2015) “ฉันคิดว่ากัญชาคือยาที่ดีที่สุดในโลก” คือคำกล่าวที่ Miley Cyrus ได้บอกไว้เมื่อปี 2013 “แม้ว่าฮอลลีวู้ดจะเป็นเมืองแห่งโคเคน แต่กัญชาคือเดอะเบสต์” Miley หันมาใช้กัญชาบำบัดหลังจากที่เธอตัดสินใจเลิกบุหรี่ มันทำให้เธอรู้สึกอยู่ติดบ้านมากยิ่งขึ้น สาวแซ่บที่ถือกำเนิดมาจากซีรีส์สำหรับเด็กอย่าง Hannah Montana จึงได้อวยยศสมุนไพรนี้อย่างเป็นทางการด้วยเพลง “Dooo It!” ที่ได้ยอดฝีมือจาก The Flaming Lips มาช่วยแต่งในโปรเจกต์ Miley Cyrus & Her Dead Petz ของเธอ ที่เจือด้วยกลิ่นของไซคีเดลลิกเต็มขั้น ผสานด้วยเนื้อเพลงที่เทิดทูนบูชากัญชาด้วยถ้อยคำว่า “Sing about love /
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ท่ามกลางความขัดแย้งและความรุนแรงของสังคมในปัจจุบัน ดนตรี Punk มักถูกพูดถึงอยู่เสมอในฐานะอาวุธในคราบเสียงดนตรี ที่มาพร้อมการสั่นสะเทือนสังคม แม้ในปัจจุบัน วัฒนธรรม Punk จะโดนแปรรูปไปด้วยรูปแบบที่หลากหลาย จนกลายเป็นเพียงความขบถอันแสนเจือจางไปแล้ว แต่ประวัติศาสตร์ของดนตรี ก็ยังกล่าวถึงความ Punk อยู่เสมอ ในฐานะผู้บุกเบิก / ปฏิวัติ และทำลายล้างขนบเก่า ๆ ให้สิ้นซากไปซึ่งอายุอานามของแนวนี้มีมาได้ครึ่งศตวรรษแล้ว และสำหรับคนที่ยังรู้จักดนตรีแนวนี้ไม่เพียงพอ เราขอเวลาคุณสักครู่ มาทำความรู้จักความ Punk ผ่าน 10 บทเพลงนี้ รับรองมันส์ถึงแก่นอย่างแน่นอน The Stooges – “Search and Destroy” (1973) การปรากฏตัวของ The Stooges ท่ามกลางความมึนงงของแฟนเพลงที่ในช่วงเวลานั้นยังไม่คุ้นเคยกับคำว่า “Punk” เนื่องจากช่วงนั้นดนตรี Hard Rock ยังคงยึดหัวหาดอยู่ จนทำให้วงพบความล้มเหลวของ 2 อัลบั้มแรกติด ๆ กัน จึงตัดสินใจแยกทางเพราะคิดว่าฝืนไปก็ไม่น่ารอด จนกระทั่ง David Bowie เห็นแววและพลังทำลายล้างที่มีอยู่ในตัวสูง
เมื่อปี 2016 พวกเราเคยพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Bomb At Track วงแร็ป ร็อก/เมทัล สุดร้อนแรงที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์สังคมไทยอย่างตรงไปตรงมาแบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม จนทำให้พวกเขากลายเป็นวงที่ถูกพูดถึงและเข้าไปยึดพื้นที่ความชื่นชอบของบรรดาคนรุ่นใหม่ที่นิยมเสพเพลงนอกกระแส เวลาผ่านไป 6 ปี ทุกสิ่งทุกอย่างในวง Bomb At Track ก็ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามวัยและวุฒิภาวะที่เติบโตขึ้น ในวันนี้สมาชิกทั้ง 5 ได้แก่ เต้ (ร้องนำ), เมษ (กีตาร์), ปุ้ย (กีตาร์), ข้น (เบส) และนิล (กลอง) อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลและศิลปากร ได้พาดนตรีของพวกเขาข้ามไปอีกขั้นด้วยการก้าวเข้ามาสู่สังกัดใหญ่อย่าง Genie records ภายใต้เครือ GMM Grammy และล่าสุดพวกเขาเพิ่งจะส่งอัลบั้มใหม่ลำดับที่ 2 “Bomb The System” ออกมาให้แฟน ๆ ได้เสพกันเป็นที่เรียบร้อย แต่ในระหว่างทางพวกเขาได้ระเบิดระบบความคิดไปในทิศทางใดกันบ้าง คำตอบมีรอทุกคนอยู่แล้วครับ “อำนาจเจริญ” ความหมาย ณ ที่นี้ไม่ใช่จังหวัดในภาคอีสาน แต่มันคือซิงเกิลแรกของวง
ในช่วงต้นยุค 2000’s หรือยุคมิลเลเนียม ดนตรีร็อกในอเมริกามีกระแสดนตรีหลากหลายแนวที่ได้รับความนิยม แต่หลัก ๆ ต้องยกให้ นูเมทัล, ป๊อปพังก์ และโพสต์กรันจ์ แม้วงเหล่านี้จะนิยมเล่นดนตรีที่หนักหน่วงและเกรี้ยวกราด แต่พวกเขาก็มีเพลงช้าไว้ใช้สำหรับการโปรโมตเป็นอาวุธติดตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งเพลงเหล่านี้ที่ทำให้ชื่อเสียงของวงในยุคนั้นต่างโด่งดังและประสบความสำเร็จ Unlockmen Playlist จึงขอนำเสนอบเพลงร็อกจากฝั่งอเมริกาแห่งยุค 2000’s ที่อยู่ในความทรงจำของทุกคน มาร่วมย้อนเวลาไปหาความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้นกันครับ 1.IN THE END LINKIN PARK ผลงานจากอัลบั้มแรกนามว่า Hybrid Theory ของวง Linkin Park ซึ่งถือได้ว่าเป็นเพลงที่ทำให้ทั่วโลกได้รู้จักชื่อของพวกเขาอย่างกว้างขวางกับดนตรีสไตล์แร็ป/ร็อก นูเมทัล ที่มาพร้อมกับเมโลดี้ทั้งดนตรีและเสียงร้องสุดติดหู ชนิดที่ว่าฟังครั้งเดียวก็ติดหนึบในโสตประสาทแบบแกะไม่ออกเลยทีเดียว 2.MY SACRIFICE CREED วง Creed ถือเป็นวงที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดเพลงร็อกในอเมริกากับดนตรีสไตล์โพสต์กรันจ์ที่เน้นเนื้อหาเอาใจชาวคริสเตียน แต่ถ้าจะให้พูดถึงบทเพลงที่โด่ดังที่สุดตลอดกาลคงต้องยกให้กับ “My Sacrifice” ที่นอกจากดนตรีจะตราตรึงใจ ตัว MV ก็กลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทุกคนต่างจดจำโดยเฉพาะซีนที่ Scott Stapp อยู่บนเเรือและได้ดึงตัวเองอีกคนที่จมน้ำขึ้นมา 3.WHERE EVER
Blur คือหนึ่งในวงร็อกแห่งอาณาจักรบริตป๊อปที่รุ่งเรืองสุดขีดในช่วงยุค 90’s พวกเขาฝากผลงานไว้ทั้งหมด 8 อัลบั้มพร้อมด้วยเพลงฮิตติดหูผู้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “Girls And Boys”, “Beetlebum”, “Coffee And Tv” และอีกหนึ่งเพลงที่แม้ไม่ใช่แฟนของวง Blur ก็ต่างรู้จักกันดี มันคือเพลง “Song 2” นั่นเอง “Song 2” เป็นเพลงที่รวมอยู่ในอัลบั้มที่มีชื่อเดียวกับวง ถูกปล่อยให้ฟังครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน ปี 1997 หรือ 25 ปีที่ผ่านมา ตัวดนตรีแม้จะดูง่าย ๆ ไม่มีความซับซ้อนแต่ก็มีความโดดเด่นด้วยความมันส์กับซาวด์กีตาร์แตกสนั่น เสียงร้องยียวนกวนประสาท และมีความกระชับด้วยความยาวเพียง 2:02 นาที พร้อมด้วยการบิวด์ท่อนฮุคที่จดจำง่ายด้วยคำว่า “วู้ฮู้” เป็นตัวเลือกในการปลดปล่อยอารมณ์ความสนุกออกมาได้ดีมาก จนสุดท้ายมันได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งผลงานเพลงที่ประสบความสำเร็จของวง Blur แต่รู้หรือไม่จริง ๆ แล้วเราเกือบจะไม่ได้ฟังเพลง “Song 2” ในเวอร์ชั่นที่มันส์สะใจ เพราะจุดเริ่มต้นของเพลงนี้มันมาจากดนตรีที่บรรเลงด้วยอะคูสติคกีตาร์ที่มีคำร้องในท่อนคอรัสว่า “วู้ฮู้” แถมยังมาในรูปแบบเพลงช้าอีกต่างหาก แต่โชคดีที่ทาง Graham