ปี 2012 หรือ 10 ปีที่แล้ว วงการดนตรีเริ่มจะเข้าสู่ยุคไร้รูปร่างตายตัว ไม่มีแนวดนตรีไหนที่ยึดหัวหาดความนิยมได้อย่างเหนียวแน่นทนนานเหมือนทศวรรษก่อนๆ แต่สิ่งที่ทดแทนมาคือความหลากหลายที่ทำให้รับรู้ได้ว่า หากเพลงที่ทำดีและเจ๋ง ก็สามารถสร้างความนิยมให้คนฟังได้เสมอ โดยเฉพาะวัฒนธรรม K-Pop ที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน สุดท้ายก็สัมฤทธิ์ผลเป็นกระแสสุดแรงแจ่มชัดในปีนี้ เรามาย้อนเวลากลับไปหาเพลงเหล่านี้กัน มาดูกันว่าเมื่อปี 2012 เพลงไหนที่ฮิตและโดนใจเป็นกระแสในวงกว้างกันบ้าง Arctic Monkeys – R U Mine? ซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้ม AM ที่สุดจะ Garage Rock ของคณะลิงขั้วโลก ในยุคที่ทำเพลงได้มันส์สะเด่าเด็ดดวง โดย R U Mine? ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาที่วงได้เดินสายทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกันกับ The Black Keys โดยฟรอนท์แมนอย่าง Alex Turner ได้บอกถึงที่มาของเพลงนี้ว่า “มันเป็นช่วงเวลายาวนานที่เรากินนอนอยู่บนรถทัวร์ ระหว่างนั้นเราก็ทั้งรู้สึกเหนื่อยล้ากับการเล่นเพลงอัลบั้มก่อนหน้า (Suck It and See ) เราอยากยกระดับการแสดงสดของเราให้คนที่มาดูไม่ยืนหาวหรือเดินออกไปซื้อฮอตด็อกหรือป็อปคอร์นแดกกันขณะที่พวกเรากำลังเล่นสดอยู่” โดย Alex ได้แรงบันดาลใจจากการเขียนเพลงแนวพรรณาโวหารของแร็ปเปอร์
ใครเป็นแฟน Hip Hop น่าจะคุ้นหูกันดีกับชื่อ Death Row Records ค่ายที่ represent West Coast rap ในอดีตนำโดย CEO, Suge Knight Death Row Records เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ผลักดัน Gangster Rap ให้กลายเป็นแนวเพลงที่โด่งดังไปทั่วโลก มีศิลปินระดับตำนานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Tupac, Dr. Dre รวมถึง Snoop Dogg ที่เข้ามาร่วมงานในปี 1993 ส่งผลงานประวัติศาสตร์ด้วยอัลบั้ม Doggystyle ที่มีเพลงอย่าง Gin & Juice, Doggy Dogg World และ Murder Was The Case จนประสบความสำเร็จในระดับ World Class อย่างรวดเร็ว Snoop Dogg เผยถึงเหตุผลในการเข้าซื้อหุ้นใหญ่ Death
Dr.Dre หรือ Andre Romelle Young แฟนเพลงสายฮิปฮอปคงไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ ชายผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตกับเส้นทางที่หลากหลาย ทั้งในฐานะการเป็นโปรดิวซ์เซอร์,การทำค่ายเพลง Aftermath Entertainment และ Death Row Records, เจ้าของบริษัทหูฟัง Beats, นักแสดงภาพยนตร์ และในฐานะศิลปินโดยเฉพาะกับอัลบั้ม “2001” (แต่วางจำหน่ายปี 1999) ที่ทำยอดขายรวมกันทั่วโลกเกิน 10 ล้านก็อปปี้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างมองเห็นในตัว Dr.Dre กันเป็นอย่างดี แต่ความสำเร็จมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากความทุ่มเท, ความเข้าใจในดนตรีฮิปฮอปอย่างถ่องแท้ และที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือสายตาอันเฉียบแหลมของ Dr.Dre ทำให้เขาสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ของวงการเพลงฮิปฮอป จนประวัติศาสตร์ต้องจารึกกับการค้นพบเพชรเม็ดงามที่มีนามว่า “Snoop Dogg” และ “Eminem” เพชรเม็ดแรก : SNOOP DOGG แร็ปเปอร์สายเขียว Snoop Dogg หรือชื่อจริง Calvin Cordozar Broadus Jr. ส่วนชื่อฉายาได้มาจากตัว Snoopy ตัวการ์ตูนเรื่องโปรดในวัยเด็ก ซึ่งคุณแม่ของเขาเป็นตั้งให้
หากจะย้อนไปพูดถึงวงร็อกที่ได้รับความนิยมในช่วงยุค 2000’s ที่โดดเด่นมากมายหลายสิบวง หนึ่งในวงเหล่านั้นต้องยกให้ Ebola วงที่นำเสนอความหนักหน่วงที่ติดพ่วงมาตั้งแต่สมัยอันเดอร์กราวน์ ก่อนจะปรับเปลี่ยนซาวด์เพื่อการเติบโตในวงการดนตรีไทย และอีกสิ่งที่ทุกคนต่างพูดถึง ก็คือเสียงสำรอกสุดทรงพลังของชายที่ชื่อว่า “เอ๋ กิตติศักดิ์ บัวพันธุ์” หรือ “เอ๋ Ebola” ชายผู้ไล่ตามความฝันบนเส้นทางสุดเกรี้ยวกราดของดนตรีมาโดยตลอด ชายผู้ตัดสินใจไปทำงานร้านขายซีดีตามไอดอล และยังเป็นชายที่รวบรวมสมาชิกวงร็อกชื่อดังให้เกิดขึ้นมาจนโด่งดังไปทั่วประเทศ เรามาทำความรู้จักผู้ชายคนนี้ให้มากขึ้น กับมุมมองที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนกันครับ กลับสู่จุดเริ่มต้นกับชีวิตวัยเยาว์ “เท่าที่จำได้เป็นเด็กทั่ว ๆ ไป ครับ เรียนหนังสือใช้ชีวิตปกติ เราจะใช้ชีวิตเรียบง่าย คุณพ่อผมชอบร้องเพลงมาก เขาจะมีวงที่โรงพยาบาลของเขา ชอบซ้อมดนตรีกัน ผมก็ได้ไปกับพ่อบ่อย ๆ ก็อาจจะได้ซึมซับการเป็นนักร้องจากคุณพ่อมาก็ได้ แล้วคุณพ่อชอบเก็บแผ่นเสียง เช่นพวกวง The Beatles, Led Zeppelin วงสมัยก่อนที่เขาฟังกัน ส่วนวงไทยก็เยอะหน่อยพวกเทปคาสเซตเช่น บรั่นดี, คีรีบูน แต่คุณพ่อจะชอบร้องเสียงแบบ คุณลุงธานินทร์ อินทรเทพ มันก็อาจจะกลายเป็นความชอบติดตัวมาในความเป็นนักร้องครับ” “ส่วนช่วงเรียนที่ผมชอบที่สุดคือการเป็นนักฟุตบอล ผมชอบการ์ตูนเรื่องซึบาสะมาก อินจนแบบว่าทุกเช้าวันเสาร์อาทิตย์ผมกับน้องชาย (โอ๋ มือกีตาร์ Ebola)
ช่วงสองปีที่ผ่านมาเราต้องเผชิญกับความหนักหน่วงในการใช้ชีวิตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจากผลกระทบของโรคโควิด ที่ ณ ตอนนี้สถานการณ์ก็ยังไม่ค่อยน่าไว้วางใจซักเท่าไหร่ แต่ชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป แต่การที่เราจะฝ่าฟันมันไปได้บางครั้งก็ต้องหาอะไรมากระตุ้นจิตใจด้วยเช่นกัน ซึ่งเพลงก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ใครหลาย ๆ คนใช้มันแทนความรู้สึก และในบางครั้งมันก็ยังมอบกำลังใจให้เราได้อย่างไม่น่าเชื่อ Unlockmen ขอนำเสนอ 10 เพลงร็อกปลุกใจให้ลุกขึ้นซัดฟัดกับทุกปัญหา ให้เป็นยาชูกำลังให้ทุกคนได้ต่อสู่กับในปี 2022 ครับ 1.SURVIVOR – EBOLA เปิดหัวกันมาด้วยบทเพลงจัดหนักสไตล์นูเมทัลของวง Ebola ที่ใครได้ยินได้ฟังเมื่อไหร่ต้องใจขึ้นกันทุกครั้ง โดยเฉพาะท่อนฮุคที่มาพร้อมเสียงสำรอกสุดสะใจว่า “เราต้องไม่ตาย ไม่ว่าจะยังไง เราต้องไม่ตาย ไม่ว่ายังไง สู้ ต้องสู้ ต้องรอด ไม่สู้ก็ไม่รอด ต้องสู้ ต้องรอด ไม่สู้ก็ไม่รอด ต้องสู้ ต้องรอด ไม่สู้ก็ไม่รอด ต้องสู้ ต้องรอด ไม่สู้ก็จะไม่รอด เราจะต้องสู้ ต้องรอด” สำหรับเพลง “Survivor” เป็นเพลงพิเศษที่ถูกรวมอยู่ในอัลบั้ม Deluxe Edition ของ Enlighten 2.พลังแสงอาทิตย์ – SWEET MULLET ผลงานจากอัลบั้ม
กระแสดนตรีบางครั้งมันก็ไม่ต่างจากแฟชั่น จากสิ่งที่เคยได้รับความนิยมจนกลายเป็นไม่ได้รับความนิยมตกยุคไป แต่ไม่ได้หมายความว่ามันตายจากไปเพราะมันกำลังรอเวลาและจังหวะที่เหมาะสมในการกลับออกมาเฉิดฉายอีกครั้ง ตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุดในปัจจุบันคงต้องยกให้ดนตรี “City Pop” ที่กลับมาเกิดใหม่หลังเคยสร้างสีสันและบูมอย่างสุดขีดในยุค 80’s “City Pop” คือผลผลิตซาวด์อันมีเอกลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น เป็นการผสมผสานจากแนวดนตรีที่หลากหลาย ทั้ง ดิสโก้, ฟังก์, แจ๊ซ, อาร์แอนด์บี, ซอฟต์ร็อก และอิเลกทรอกนิกส์ ขับเคลื่อนด้วยจังหวะชวนสนุกจนต้องลุกขึ้นมาขยับร่างกายไปตามเสียงเพลง โดดเด่นด้วยจังหวะกรูฟที่เป็นหัวใจสำคัญของดนตรีแนวนี้ จะเห็นได้ว่าอิทธิพลทางดนตรจริง ๆ แล้วก็มาจากฝั่งตะวันตกทั้งนั้น ทั้งนี้มีการอ้างอิงไปถึงวงอย่าง The Doobie Brothers, Steely Dan หรือแม้กระทั่ง Toto ซึ่งเมื่อลองได้ไปนั่งฟังก็จะพบว่ามันมีซาวด์ที่ถูกนำใช้เป็นวัตถุดิบของ City Pop ค่อนข้างมากเลยทีเดียว ส่วนศิลปินผู้ปูรากฐานให้กับดนตรีแนวนี้ของประเทศญี่ปุ่นประกอบไปด้วย Happy End, Tin Pan Alley, Haruomi Hosono และ Tatsuro Yamashita จนมาถึง Mariya Takeuchi กับซิงเกิ้ลฮิตวาร์ปข้ามเวลา “Plastic Love” และ Miki
Kings Of Leon วงดนตรีสไตล์อัลเทอร์เนทีฟร็อก กับสี่สมาชิกพี่น้องตระกูล Followill พวกเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากกับอัลบั้มที่ 4 ของวงที่มีชื่อว่า “Only By The Night” ซึ่งสามารถทำยอดขายได้ถล่มทลายทั่วโลก อีกทั้งยังกวาดรางวัลสายดนตรีมาอีกหลายสำนัก มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเท่าไหร่ เพราะดนตรีในอัลบั้มนี้มันช่างเข้มข้มและกลมกล่อม ราวกับกาแฟอเมริกาโน่ที่ดำเข้มกลมกล่อมลงตัว ใบเบิกทางความร้อนแรงของ “Only By The Night” มาจากบทเพลงสุดร้อนแรงแฝงด้วยความอีโรติกนามว่า “Sex On Fire” แค่เห็นชื่อเพลงก็สัมผัสได้ถึงความร้อนแรงแล้ว เพลงนี้ถูกปล่อยมาเป็นซิงเกิ้ลแรกที่ถูกโปรโมตเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2008 และมันก็พุ่งทะยานไปติดชาร์ตอันดับ 1 เกือบทั่วโลก ทุกคนต่างมองภาพและความหมายไปทางเรื่องเซกส์ทั้งหมด แต่จริง ๆ แล้วจุดเริ่มต้นของเพลงมันกลับไม่ใช่แบบนั้น Nathan Followill มือกลองของวงได้เคยให้สัมภาษณ์ถึงจุดเริ่มต้นในการตั้งชื่อเพลงและ เนื้อหาของเพลงนี้ที่ได้มาอย่างไม่ตั้งใจ “เนื้อเพลงทั้งหมดมันจะความแตกต่างโดยสิ้นเชิง ขึ้นอยู่กับว่าเพลงมันจะขึ้นมาจากตัวเมโลดี้หรือเนื้อเพลงก่อน” “ถ้าเกิดขึ้นด้วยเมโลดี้เราก็จะเล่นซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าจะลงตัวและหาเนื้อ เพลงที่เหมาะสมใส่ลงไปได้” “คือจริง ๆ แล้วตอนแรกเพลงนี้มันจะชื่อว่า ‘Set Us On Fire’ แต่ดันมีคนมิกซ์ซาวด์คนหนึ่งเดินเข้ามาในสตูดิโอตอนที่พวกเราเล่นเพลงนี้กันแล้วพูดว่า ‘มันชื่อเพลง
“Look Up The Stars, Look How They Shine For You, And Everything You Do, Yeah, They Were Yellow” ขึ้นต้นด้วยประโยคนี้มาแฟนเพลงสากลคงร้องตามยาวได้จนจบเพลง เพราะมันคือซิงเกิ้ลระดับเมก้าฮิตของวง Coldplay ที่มีชื่อว่า “Yellow” ผลงานจากอัลบั้มแรก ‘Parachutes’ ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2000’s บทเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงระหว่างในค่ำคืนที่สิ้นสุดการบันทึกเสียงเพลง “Shiver” ณ Rockfield Quardrangle Studio พวกเขาได้ออกมายืนด้านนอกสตูดิโอและเห็นดวงดาวส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า จนทำให้ Chris Martin ฟรอนต์แมนเสียงพราวเสน่ห์ เกิดปิ๊งไอเดียของเพลงขึ้นมาในหัว แต่ในตอนแรก Chris ไม่ได้จริงจังกับเพลงนี้ซักเท่าไหร่ หลังจากได้เมโลดี้เพลงนี้เขายังล้อเลียนร้องมันด้วยเสียงของ Neil Young ศิลปินคันทรีระดับตำนานอีกต่างหาก แต่นั่นมันได้กลายเป็นสารตั้งต้นของเพลงนี้ เพราะมันมีคำว่า “Star” อยู่นั่นเอง แม้ไอเดียจะป๊อปอัพพรั่งพรูออกมาอย่างรวดเร็ว แต่การจะจบเพลงนี้ได้กลับยากกว่าที่คิด เพราะหาคำที่เหมาะสมในการจบประโยคท่อนเวิร์สไม่ได้ “Look Up
การจะนั่งฟังเพลงที่มีความยาวเกิน 5 นาที ดูจะเป็นอะไรที่ไม่คุ้นชินและดูเหมือนว่าเราจะต้องใช้ความอดทนมากกว่าปกติเพื่อฟังให้จบ เพราะโดยปกติทั่วไปแล้วเพลงที่ฮิต ๆ ติดตลาดมักจะมีความยาวที่ไม่เกิน 3 หรือ 4 นาที แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่วง Oasis เลือกที่จะทำตาม พวกเขาเลือกจะฉีกกฎเพื่อแสดงความเป็นตัวเองออกมาในเพลงบัลลาดสุดคลาสสิคอย่าง “Champagne Supernova” ผลงานจากอัลบั้ม (What’s the Story) Morning Glory? ที่มีความยาวมากถึง 7:27 นาที และที่สำคัญพวกเขาทำเพลงนี้ให้กลายเป็นเพลงฮิตขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจ อะไรคือความลับที่ซ่อนอยู่ในเพลงนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญอย่างแน่นอน โครงสร้างเพลงเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา โครงสร้างของเพลงนี้คือการวางแบบสูตรตายตัวทั่ว ๆ ไปคือมีท่อนเวิร์ส, พรีฮุก และฮุก ตามปกติ เป็นของเบสิคที่วงไหน ๆ ก็ใช้กัน แต่ความแตกต่างมันขึ้นอยู่กับที่คนใช้งานมันมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อมันผ่านมันสมองการเขียนเพลงสุดอัจฉริยะของ Noel Gallagher มันก็ยิ่งทำให้เพลงนี้ดูมีความพิเศษและมีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาดใจ เมโลดี้สะกดคนฟัง บรรยากาศของเพลงค่อนข้างจะไปทางเนิบ ๆ ลอย ๆ เหงา ๆ อินโทรด้วยเสียงคลื่นน้ำกระทบฝั่ง ตามมาด้วยซาวด์กีตาร์ที่มีเมโลดี้สวยงาม ทันทีที่นิ้วกรีดกรายลงไปบนเส้นลวดกีตาร์จนเกิดเป็นโน้ตตัวแรกมันก็สัมผัสได้ถึงพลังอะไรบางอย่างที่พาเราหลุดเข้าไปในโลกของบทเพลงนี้โดยทันที ริฟฟ์กีตาร์คิดไลน์ออกมาได้ไพเราะมีมิติ
หลายคน รู้จักเขาจากในฐานะผู้เปิดกระแสดนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ในยุคที่ Britpop ครองเมือง หลายคน คุ้นเคยในฐานะ Virtual Band สุดเท่ Gorillaz และหลายคนจดจำเขาในบทบาทของเจ้าพ่อโปรเจกต์ที่สร้างงานหลากสไตล์หลายรูปแบบที่นับไม่หวาดไม่ไหว แน่นอนว่าคำว่า “ดนตรีในหัวใจ” อาจจะเป็นคำที่ดูแสนเชย แต่สำหรับ Damon Albarn แล้ว กว่า 30 ปี ในวงการดนตรีแล้ว ไม่มีคำไหนจะเหมาะสมเท่ากับคำๆนี้แล้ว Blur ผู้เปิดศักราชใหม่แห่งดนตรี Britpop สำหรับแฟน ๆ ยุค 90s แฟนเพลงร็อคหลายคน ไม่มีใครไม่รู้จักวง Blur หนึ่งในวงดนตรีที่เปิดศักราชแห่งยุคสมัยของ Britpop Era ให้กลายเป็นกระแสหลักของโลก ด้วยการหยิบจับอัตลักษณ์ของชาวอังกฤษในซาวด์ผู้ดีสุดเนี๊ยบ ผสมผสานกับการขี้แซะและประชดประชัน จนทำให้แนวดนตรีนี้สามารถยึดหัวหาดของกระแสให้กับนักฟังเพลง และทำให้วงการดนตรีอังกฤษคึกคักเป็นอย่างมากในยุคนั้น แต่มันไม่ง่ายเลยกว่าจะถึงจุด ๆ นั้น เขาและเพื่อนพ้องวง Blur ต่างดิ้นรนขวนขวายในการสร้างวงดนตรี กว่าจะเป็นที่จดจำในวงกว้างนั้นยากลำบากมาก Damon ร่วมกับเพื่อนพ้องทำวง Blur ในช่วงปลายยุค ’80s กับ
ตอนนี้ วลี “จริงๆแล้ว ฉันเป็นประธานบริษัท” ดูจะฮิตในโลกโซเชียลเป็นพิเศษ ซึ่งในวงการดนตรี มีศิลปินหลายคนที่นอกจากเป็นนักร้องสุดฮอตรุ่นใหญ่ของวงการแล้ว เขาและเธอเหล่านี้ยังควบตำแหน่งประธานค่ายเพลง ผลักดันและต่อยอดศิลปินรุ่นใหม่ให้โดดเด่นในวงการเพิ่มขึ้นไปอีก มาดูกันว่า มีใครบ้างในวงการ ที่สร้างชื่อในฐานะเจ้าของค่ายเพลงกัน แล้วคุณจะอึ้งถึงศักยภาพที่พวกเขามีอย่างเหลือเชื่อ Madonna – Maverick ในช่วงปลายทศวรรษที่ 80s Madonna เจ๊ใหญ่แห่งวงการพ็อพ รู้สึกอึดอัดที่การ Performance อย่างโจ้งแจ้งของเธอนั้นถูกปิดกั้นจากค่ายเพลงที่เธอสังกัด ปี 1992 เธอจึงจัดการค่ายเพลงของตัวเองเสียเลย เพื่อสร้างอิสระในการทำเพลง รวมไปถึงภาพลักษณ์อันแสน sexy ของเธอ โดยชื่อ Maverick นั้นมาจากการรวมตัวหุ้นส่วนทั้ง 3 คน (ซึ่ง Ma นั้นก็มาจากชื่อ Madonna ของเธอนั่นเอง) โดยผลงานชิ้นแรกที่ออกมานั่นก็คืออัลบั้ม Erotica (1992) อัลบั้มสุดอื้อฉาวที่ออกพร้อมหนังสือภาพ Sex อันลือลั่นนั่นเอง และผลงานของศิลปินที่สร้างชื่อมากๆของค่าย Maverick ก็คือ Alanis Morissette ศิลปิน Alternative Rock ที่ฮอตสุดในยุค
มาทำความรู้จักกับ Alex Turner หัวหอกวงลิงซน ที่เขาว่ากันว่าเป็นอัจฉริยะของการเขียนเพลง