ในปัจจุบันนี้แม้ภาพของเศรษฐกิจโดยรวมอาจดูไม่ค่อยจะคึกคักมากนัก แต่ทางฟากฝั่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยังคงมีการแข่งขันในตลาดที่เข้มข้น ยืนยันได้จากโครงการที่อยู่อาศัยหลากหลายโครงการที่ยังคงเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และสามารถทำยอดขายได้ดีสวนกระแสทิศทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดอสังหาฯ ที่กำลังร้อนแรง บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA หนึ่งในผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทยยังคงเดินหน้ารุกหนัก ด้วยการเปิดบริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด บริษัทที่เกิดจากการผนึกกำลังร่วมทุนระหว่าง SENA และ บริษัท ฮันคิว เรียลตี้ (ประเทศญี่ปุ่น) จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัท Hankyu Hanshin Holding Group ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอสังหาฯ จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีประสบการณ์การพัฒนาที่อยู่อาศัยมายาวนานกว่า 100 ปี กับความเคลื่อนไหวที่ต้องยอมรับว่าเป็นอีกก้าวสำคัญของวงการอสังหาริมทรัพย์ในไทย UNLOCKMEN จึงไม่พลาดที่จะเข้าไปพูดคุยกับผู้บริหารหญิงแกร่ง ‘ดร.ยุ้ย – ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์’ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และ ‘มร.ริวอิจิ โมโรโทมิ’ ประธานบริษัท ฮันคิว
หากพูดถึงร้านขายอุปกรณ์กีฬาที่ไม่ใช่แบรนด์สโตร์แล้วละก็ ในประเทศไทยคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Ari (อาริ) ร้านคอนเซ็ปต์สโตร์ที่เปิดขึ้นมารองรับสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องของกีฬา รวมถึงไลฟ์สไตล์แบบสปอร์ต จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ต้องการสานฝันความชอบของตัวเอง จนเป็นแรงผลักดันถึงปัจจุบันทำให้ Ari (อาริ) สามารถขยับขยายร้านจนกลายเป็นแถวหน้าในเรื่องอุปกรณ์กีฬา เพื่อล้วงเบื้องหลังความสำเร็จของพวกเขา วันนี้ UNLOCKMEN จึงได้ติดต่อขอสัมภาษณ์แบบ Exclusive กับ คุณ เอ็กซ์ – ศิวัช วสันตสิงห์ ผู้ก่อตั้ง Ari (อาริ) ที่จะมาบอกเล่าเคล็ดลับความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจที่ทุกท่านสามารถนำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเองได้ UNLOCKMEN : ขอถาม background คุณเอ็กซ์ก่อนมาเริ่มทำร้าน Ari หน่อย? จริง ๆ ที่บ้านเป็นข้าราชการเกือบหมด คุณแม่ทำออฟฟิศ ส่วนคุณพ่อก็เป็นข้าราชการ ท่านก็ตั้งเป้าอยากให้เราเป็นข้าราชการเหมือนท่าน ก่อนหน้านี้ผมเลยทำงานอยู่กระทรวงการต่างประเทศ แต่คือมันไม่ไหว มันไม่ใช่ตัวเองก็เลยอยากออกมาทำธุรกิจของตัวเอง UNLOCKMEN : แล้วจุดเริ่มต้นของร้าน Ari มันมาจากไหน? เริ่มจากว่าเราชอบเตะฟุตบอล เราชอบรองเท้าสตั้ด อุปกรณ์กีฬาอะไรเงี้ย แต่เมื่อก่อนเมืองไทยมันไม่มีร้านขาย เราก็ต้องฝากเพื่อนซื้อจากต่างประเทศ หรือไม่ก็ต้องวิ่งไปตามร้านที่เขาหิ้วมาขาย เรารู้สึกว่า เอ้ย ทำไมมันไม่มีร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวฟุตบอลอย่างเดียว ก็เลยเหมือนแบบอยากทำ
สภาพแวดล้อมกลายเป็นสิ่งที่โคตรมีผลต่อการทำงาน ออฟฟิศไหนที่ดีไซน์ออกมาให้คูล เจ๋ง มีบรรยากาศแห่งการผ่อนคลาย สบาย ๆ ใคร ๆ ก็อยากพุ่งตัวเข้าไปทำงานด้วย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีได้ทำงานในออฟฟิศคูล ๆ เสมอไป แต่เราก็สามารถจัดโต๊ะทำงานของเราให้คูลเหมาะสมกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ไม่แพ้กัน นี่จึงเป็น 5 วิธีง่าย ๆ ที่ไม่ว่าทำงานที่ไหนก็ได้ประสิทธิภาพเต็มเปี่ยม 1.ปลูกต้นไม้กระถางเล็ก ๆ สักกระถางสิ งานวิจัยจำนวนมากที่บอกกับเราว่า วิธีง่าย ๆ ที่จะลดความตึงเครียด สร้างความรู้สึกผ่อนคลายคือการอยู่กับธรรมชาติ แต่เดี๋ยวก่อน ไอ้การที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ จะหอบการหอบงานเข้าป่าไปทำงานก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย วิธีง่าย ๆ จึงเป็นการหาต้นไม้เล็ก ๆ สักกระถางมาตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น? The Green Infrastructure Research Group จาก University of Melbourne ศึกษาเรื่องพื้นที่สีเขียวที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานอย่างจริงจังก็พบว่าการได้มองไปในพื้นที่สีเขียวอย่างต้นไม้จากหน้าต่างห้องทำงาน ช่วยลดความเครียด สร้างอารมณ์ผ่อนคลาย ที่สำคัญทำให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ดีไม่ดีไม่รู้แต่ที่แน่ ๆ เฟซบุ๊กก็ลงทุนสร้างหลังคาขนาดเท่าสนามฟุตบอลหลายสนาม แล้วปลูกต้นไม้ใบหญ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้พนักงานของตัวเองแล้ว 2.แสงธรรมชาติก็เป็นสิ่งสำคัญ Mirjam
พูดคำว่า “ไม่” กลายเป็นมิติพิศวงที่ชวนให้คนที่พูดมันออกมาต้องงุนงงทุกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนถูกขอร้อง ถูกขอความช่วยเหลือ แต่ไม่รู้ทำไม พอต้องปฏิเสธ พอต้องพูดว่าไม่ทีไร เราถึงต้องรู้สึกแย่ รู้สึกผิดทุกครั้งไป การช่วยเหลือคนมันก็ดีนั่นแหละ แต่ถ้าจะให้ช่วยทุกคน ช่วยทุกเรื่องก็คงมากไป แต่ไอ้ครั้นจะมามัวปฏิเสธไป รู้สึกผิดไปก็ดูจะทำร้ายจิตใจตัวเองมากเกินไปหน่อย UNLOCKMEN จึงเอาวิธีพูดคำว่า “ไม่” ไว้ปฏิเสธใคร ๆ แบบไม่ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไปมาฝากกัน 1.เราไม่ได้ฆ่าคนตาย อย่าจมอยู่กับความรู้สึกผิดขนาดนั้น โอเค เรามาเริ่มกันที่ทำไมเราต้องรู้สึกผิดกับการพูดปฏิเสธ ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด? ก่อนอื่นเราอยากให้คุณทำความเข้าใจเรื่องนี้เสียใหม่ “ความรู้สึกผิด” สมควรที่เราจะรู้สึกก็ต่อเมื่อเราทำผิดต่อใครสักคน ทำร้ายเขา ทำให้เขาเจ็บปวด ไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจ แต่เดี๋ยวก่อน! การปฏิเสธความช่วยเหลือ (ที่ขอมาหลายครั้งเกินไป หรือเหนือบ่ากว่าแรงเราจนช่วยไม่ไหว) ไม่ใช่การที่เราทำร้ายเขา แต่เป็นการบอกให้เขาเข้าใจเงื่อนไขของเรา และเขาจะได้หาคนที่เขาสามารถขอความช่วยเหลือที่เหมาะสมคนต่อไป หรือไม่ก็เรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเอง ดังนั้นนี่ไม่ใช่การทำร้ายเขา เลิกรู้สึกผิดได้แล้ว! 2.เราไม่ใช่คนเลว เราแค่ไม่สะดวก อีกกรณีที่เรามักรู้สึกผิดเมื่อเราต้องบอกปัดอะไรจากใครสักคน เพราะเรากลัวการดูเป็นคนเลว การดูเป็นคนไม่มีน้ำใจ หรือการดูเป็นคนไม่อยากช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งไม่จริงเสมอไป เราควรถามตัวเองแทนว่าเพราะอะไรเราถึงปฏิเสธเขา? เพราะเขาขอร้องให้ช่วยเรื่องซ้ำ
หลังจากลืมตาตื่น อะไรคือสิ่งที่คุณทำเป็นอย่างแรก? เปิดสมาร์ทโฟนมาเลื่อนดูเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม? เช็คอีเมลงาน? คิดถึงงานที่ค้างจากเมื่อวาน? คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าการเริ่มต้นวันที่คุณกำลังทำอยู่นั้นส่งผลให้คุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ? Jacqueline Whitmore ผู้เขียนหนังสือ Poised for Success: Mastering the Four Qualities That Distinguish Outstanding Professionals จะมาร่วมแชร์วิธีการตื่นนอนอย่างสงบ ผ่อนคลายที่จะช่วยให้คุณจัดการวันของคุณให้มีประสิทธิภาพตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวขาลงจากเตียง 1.ลุกจากเตียงอย่างนุ่มนวล เรามักลุกจากเตียงอย่างรีบเร่ง เพราะคิดว่าใช้เวลานอนให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการกดเลื่อนนาฬิกาปลุกออกไปเรื่อย ๆ แล้วจะถือว่าได้ใช้เวลาพักผ่อนนานขึ้น แต่ลองเปลี่ยนวิธีการลุกจากที่นอนดูใหม่ แทนที่จะรีบลุกอย่างเร่งร้อน ให้เราค่อย ๆ ลุกอย่างนุ่มนวล นอนให้เต็มตื่น ปลุกเวลาเผื่อเวลาต้องตื่นจริงสัก 5-10 นาที เลือกใช้เสียงปลุกที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขที่ได้ฟังมากกว่าเสียงที่ทำให้ฟังแล้วรู้สึกเกลียดที่จะตื่นขึ้นมา 2.ยิ้ม วิธีโคตรง่ายอย่างการยิ้มนี่แหละ ที่จะทำให้วันทั้งวันของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะการยิ้มสามารถเปลี่ยนโทนของอารมณ์ได้ โดยการยิ้มช่วยเพิ่มปริมาณสาร endorphin ในร่างกายซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวด ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเอง แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณคิดว่าเรากำลังให้คุณตื่นขึ้นมาฉีกยิ้มพร่ำเพรื่อก็คงไม่ใช่ แต่เรากำลังแนะนำให้คุณหาอะไรที่ทำให้คุณยิ้มได้มาวางไว้หัวเตียง อาจจะเป็นสาวที่คุณชอบ สถานที่ที่คุณชอบไป ที่เที่ยวที่คุณฝันว่าจะไปมาตลอดชีวิต จะได้ตื่นมาแล้วยิ้มให้กับสิ่งดี ๆ เหล่านั้นก่อนเริ่มต้นวัน
ไม่ว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงแค่ไหน ชีวิตเราก็ต้องพบปะกับการเจรจาต่อรองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องง่าย ๆ อย่างการต่อรองกับเพื่อนว่าจะไปกินเหล้าร้านไหนกันดี ต่อรองกับแฟนสาวเพื่อขอออกไปเที่ยว ไปจนถึงเรื่องราวยิ่งใหญ่อย่างการเจรจาต่อรองทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาต่อรองระดับไหน เราก็ล้วนแต่ต้องการจะเป็นฝ่ายกุมชัยชนะไว้ในมือทั้งนั้น UNLOCKMEN จึงเอาเทคนิคการเจรจาต่อรองที่ใช้ความฉลาดทางอารมณ์ล้วน ๆ จากคำบอกเล่าของ Chris Voss อดีต FBI Crisis Negotiation Team ที่ทำงานด้านการเจรจาต่อรองมากว่า 24 ปี ถ้าได้เทคนิคที่ผ่านการสรุปจากการทำงานยาวนานจากเขามาใช้ รับรองว่าเจรจาครั้งต่อไป ไม่มีพลาดแน่นอน 1.พูดทวนคำ หนึ่งในวิธีการสุดสามัญคือการพูดทวน หรือพูดซ้ำคำ โดยพูดซ้ำ 1-3 คำล่าสุดที่คู่เจรจาของคุณเพิ่งพูดออกมา เพราะนี่คือวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการสร้างความรู้สึกเป็นมิตรกับคู่เจรจา และทำให้คู่เจรจาของคุณรู้สึกปลอดภัยมากพอที่จะเปิดใจคุยกับคุณ สิ่งที่ขาดไม่ได้นอกจากการทวนและซ้ำคำ ก็คือน้ำเสียง ให้ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลและเป็นมิตรที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ ถ้านึกไม่ออก ก็นึกถึงเสียงของดีเจเปิดเพลงในวิทยุช่วงกลางดึก เทคนิคเหล่านี้จะช่วยทำให้บทสนทนาดำเนินไปอย่างช้าลง ช่วยประวิงเวลาให้เราสามารถคิดอะไรก่อนพูดได้มากกว่าเดิม 2.แสดงความเอาใจใส่ แสดงให้คู่เจรจาของคุณเห็นว่า คุณสังเกตเห็นอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เขาแสดงออกมา โดยพยายามสังเกตจากสีหน้า คำพูด โดยเฉพาะความรู้สึกทางลบ และอย่าลืมพูดวลีที่แสดงออกมาว่าคุณรู้ว่าเขารู้สึกอะไร เช่น “ฟังดูเหมือนคุณกำลังกลัวที่จะ…นะ” หรือ “ดูเหมือนว่าคุณกำลังกังวลเรื่อง…นะ” เป็นการแสดงให้รู้ว่าเรามองเขาออก
เราต่างอยู่ในยุคที่ถูกกรอกหูอยู่ทุกวันว่าให้คิดบวกสิ คิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้สิ ไม่มีอะไรในโลกที่เราทำไม่ได้หรอก ขอแค่เรามั่นใจในตัวเอง แล้วบอกว่ามันเป็นไปได้ก็พอ เราเชื่อตาม ๆ กันมา ตื่นนอนมาพร้อม ๆ กับการยืนหน้ากระจกฉีกยิ้มให้กับตัวเอง แล้วบอกว่าทำได้! กูทำได้ทุกอย่างในโลกเลย! แต่การคิดบวก ให้กำลังใจตัวเองตลอดเวลาอย่างนี้เป็นผลดีจริงหรือเปล่า? มันมีส่วนกับความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน? แล้วถ้าไม่คิดบวกตามแบบใคร ๆ เรามีโอกาสประสบความสำเร็จหรือเปล่า? ก่อนอื่น UNLOCKMEN ขอพาคุณย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายนปี 2015 ขณะนั้นที่ New York มีการแข่งขันเทนนิส U.S. Open รอบ semi-finals โดยเป็นการแข่งขันกันระหว่าง Roberta Vinci กับนักเทนนิสมือวางอันดับหนึ่งในขณะนั้นอย่าง Serena Williams เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า Serena Williams ชนะ 3 รายการหลักของการแข่งขันเทนนิสไปแล้วในปีนั้น แถมได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ในขณะที่ Roberta Vinci ไม่เคยผ่านเข้ามาถึงรอบ semi-finals ของการแข่งขันเทนนิสรายการใหญ่ ๆ เลย นี่เป็นครั้งแรกของชีวิตการเป็นนักกีฬาเทนนิสของเธอ โอกาสชนะครั้งนี้คือ 300
ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง Passengers อาจเคยเห็นจังหวะที่นางเอกแค่เพียงเอ่ยปากพูด ตัวหนังสือก็ถูกพิมพ์ใส่บนหน้าจอดิจิตอลอย่างรวดเร็วง่ายดาย ไม่ต้องลงมือพิมพ์ให้เปลืองเวลา เราเชื่อว่าใครที่ต้องเจอกับการพิมพ์ข้อความเยอะ ๆ ในทุกวัน ล้วนแต่ฝันว่าอยากได้แบบนี้บ้าง แม้จะมีหลากหลาย plug-in หลายแอพฯ ออกมารองรับฟังก์ชั่นการใช้งานนี้บ้างแล้ว แต่มันก็ยังดูไม่สามารถทำงานได้เต็มที่สักเท่าไหร่สำหรับการพิมพ์เอกสาร เพราะว่าอาจต้องพูดผ่านแอปฯ บนสมาร์ทโฟน จากนั้นถึง Copy Text มาใส่ในหน้าเอกสารอย่าง Word เพื่อใช้งานต่ออีกที แค่นี้ก็ดูวุ่นวายแล้วใช่ไหมครับ ดังนั้นบริษัทยักษ์ใหญ่ อย่าง Microsoft เจ้าของโปรแกรมจัดการเอกสาร ชุด Office อย่าง Microsoft word, Excel, Powerpoint ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดของโลก ได้ออกปลั๊กอินตอบสนองความฝันของเหล่าคนขี้เกียจพิมพ์กันแล้ว Microsoft ออกมาเป็นปลั๊กอินในชื่อว่า “Dicatate” ที่สามารถช่วยเปลี่ยนเสียงพูดเป็นการพิมพ์ ให้ใช้งานได้เลยกับโปรแกรมชุด Office แบบชนิดที่เรียกว่าเราไม่ต้องแตะ Keyboard ในการพิมพ์อีกต่อไปเลยก็ได้ หลักการทำงานก็แค่เพียงเอ่ยปากพูดประโยคที่ต้องการพิมพ์ลงไป ระบบก็จะทำการพิมพ์ข้อความนั้นให้อัตโนมัติเสร็จเรียบในหน้าเอกสารนั้น ๆ ตัวฟีเจอร์ตัวนี้จะเป็นการรวมตัวระหว่าง 2 API อย่าง Bing Speech API
เคยรู้สึกกันบ้างไหมว่าทำไมเมื่อเราเติบโตขึ้นมา โลกดูกว้างขว้างขึ้นก็จริง แต่ความสุขมันกลับไม่ได้มีเพิ่มมากขึ้นเหมือนเมื่อตอนครั้งที่เรายังเด็ก ๆ อาจเป็นเพราะว่าชีวิตวัยเด็กมันเมื่อเป็นเรื่องง่าย ๆ มีเรื่องกังวลใจน้อยและสิ่งเล็ก ๆ ทั่วไปก็ทำให้เรามีความสุขได้อย่างแท้จริง อย่างเช่นเล่นซ่อนหากันกับเพื่อนก็สนุกแล้ว แต่ในทางกลับกันยิ่งเราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเท่าไหร่ กลายเป็นสังคมและเรื่องกังวลใจต่าง ๆ เป็นตัวกำหนดนิยามความสุขของเราไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเราควรเริ่มสำรวจตัวเองกันได้แล้วตอนนี้ ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ มันพาชีวิตดิ่งให้แย่ลงหรือเปล่า ถ้าใช่จงหยุดมันซะ ก่อนที่จะสายเกินแก้ และเริ่มปรับบางสิ่งแทนดีกว่า เพื่อเป็นแนวทางการเพิ่มความสุขให้กับชีวิตได้มากกว่าเดิม หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทำไมคนสองคนถึงไม่เหมือนกัน ทำไมเราไม่เก่งแบบคนนั้นหรือไม่รวยแบบคนนี้ อย่างแรกไม่ควรทำเลย คือหยุดความคิดแย่ ๆ แบบนี้ซะ เพราะว่าการที่คนสองคนไม่เหมือนกัน มันอาจเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ที่เราสามารถสร้างเอกลักษณ์ความเป็นตัวเราได้ไม่เหมือนใคร คิดสภาพว่าสังคมถ้ามี 1,1,1,1,1 ไปซะหมด มันก็คงไม่ต่างจากหุ่นยนต์โรงงานเดียวกัน สิ่งที่ควรทำแทน หยุดที่จะเปรียบเทียบเรากับคนอื่น อย่าอิจฉาในสิ่งที่เราไม่มี และเชื่อมั่นในแนวทาง ที่จะสู่จุดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเราจะดีกว่า และเราขอแนะนำว่าลดการเล่น Social Media ลงเป็นอย่างแรก เพื่อให้เราไม่ต้องติดตามความสมบูรณ์ การโอ้อวดของชีวิตคนอื่นให้มากเกินไป และใช้เวลาที่เหลือมุ่งเน้นไปที่การทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้นแทน อย่ากลัว คงจะเคยได้ยินคำว่า “ความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้น” กันมาบ้างแล้ว ความกลัวเป็นตัวขัดขาความเจริญมากที่สุด เพราะเราจะกลัวไปแทบจะทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี เพราะฉะนั้นเราต้องกล้าที่จะผลักดันตัวเองในการเอาชนะความกลัวของตัวเราซะ เพื่อให้รู้ว่าอะไรทำได้บ้างและอะไรทำไม่ได้บ้าง
ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเรียนรู้ เรื่องนี้เป็นจริงแน่นอน ก่อนหน้านี้อาจมีคนเคยเห็นเด็กอายุ 13 ขวบสามารถเขียนเกมได้เอง หรือคุณยายอายุ 82 ปี เขียนแอปฯ iOS ขึ้นมาใช้งานกันได้จริงมาแล้ว ดังนั้นคนอื่นทำได้แค่อย่ายอมแพ้หรือท้อถอยกับการเรียนรู้ การเขียนโค้ดหรืออาชีพที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีอย่าง Programmer ที่ใครต่อใครว่าเท่และเงินดีนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ใคร ๆ ก็อยากเป็น แต่มันไม่ง่ายที่จะทำได้ เพราะต้องใช้การกระบวนการคิด การเรียนรู้และฝึกฝนเฉพาะทางเป็นอย่างสูงนั่นเอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส ใครที่สนใจอยากลองเพิ่มสกิล ลองหัดดูสักหน นี่ก็เป็น 9 เว็บไซต์ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับการเขียน Code ที่เรารวบรวมมาไว้ให้ลองกัน CODECADEMY นี่ถือว่าเป็นเว็บไซต์สำหรับคนระดับเริ่มต้นที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะโครงสร้างของตัวเว็บไซต์ที่สามารถถามโต้-ตอบบทเรียนได้ หรือการมีแบบทดสอบช่วยให้เราเข้าถึงการเรียนและทดสอบความเข้าใจของตัวเองจริง ๆ ได้ นอกจากนี้ภายในยังมีหลักสูตรหลากหลายหัวข้อให้เลือกลองเรียนกันไม่อั้นอีกด้วย FREE CODE CAMP Free Code Camp เป็นเว็บไซต์ที่ก่อตั้งจากองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร เป็นชุมชน Open-source ที่มีการ Challenges การเขียนโปรแกรมต่าง ๆ ที่จะช่วยให้เราสามารถเรียนรู้ทักษะที่มีประโยชน์และได้ใช้งานจริง ๆ จากเหล่าผู้มีประสบการณ์ และยังมีการแจกจานงานมากกว่า 4000+ งาน
พลังของการเรียนรู้มีอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ไม่ใช่แค่เพียงในหนังสือ มีหลายแนวคิดที่พยายามเน้นย้ำตลอดว่า เราควรรู้จักที่จะเรียนรู้ให้เยอะ ๆ เพื่อเพิ่มพูนความเป็นต่อให้กับชีวิตมากที่สุด เพราะสิ่งเหล่านี้แหละ จะเป็นตัวสร้างอนาคตให้เราแบบไม่รู้ตัว นี่เป็นอีกหนึ่งบทความที่ทาง UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าการเรียนรู้อะไรสักอย่าง เราไม่จำเป็นต้องรอใคร เพราะเราทุกคนสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้ด้วยตัวของเราเอง เรียนรู้ด้วยตัวเอง จะเป็นตัวช่วยสร้างอนาคต การรู้จักเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม อย่างที่ Jim Rohn นักธุรกิจแนวหน้าของอเมริกา เคยกล่าวไว้ว่า “Formal education will make you a living; self-education will make you a fortune.” การศึกษาในระบบจะทำให้คุณเลี้ยงชีวิตได้ แต่การศึกษาด้วยตัวเองจะเป็นตัวทำให้คุณสร้างอนาคต. เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การมีทักษะเรียนรู้ด้วยตัวเองไว้ติดตัว มันจะช่วยให้เราสามารถเป็นต่อและก้าวไวกว่าคนอื่นได้เท่าที่เราต้องการ เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ช่วยเพิ่มโอกาสให้ได้เป็นสองเท่า การที่เราศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเอง จะช่วยให้เราสามารถควบคุมชีวิตและพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายที่เราต้องการได้ โดยอย่างการศึกษา StackOverflow ที่ผ่านมา พบว่า 69.1% ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ดูเหมือนจะเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น
ใคร ๆ ก็รู้ว่าการออกกำลังกายนั้นดีต่อร่างกาย ดีต่ออารมณ์ หรือแม้กระทั่งดีต่อการจัดระบบระเบียบนิสัยของตัวเราเองในระยะยาว แต่รู้ขนาดนี้ เราก็ยังอิดออดหาข้ออ้างในการไม่ออกกำลังกายอยู่ร่ำไป จะเกิดอะไรขึ้นถ้าการออกกำลังกายส่งผลต่อขนาดของสมองเราด้วย? นี่เป็นเหตุผลมากพอให้เราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอได้แล้วหรือยัง? งานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Neurology เปิดเผยว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายช่วยวัยมีแนวโน้มที่จะมีขนาดสมองที่เล็กกว่าคนที่ออกกำลังกาย งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,583 คน โดยมีทั้งเพศหญิงและเพศชายที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อมหรือโรคหัวใจ กลุ่มตัวอย่างเหล่านี้จะถูกบันทึกพฤติกรรมการออกกำลัง จากนั้น 20 ปีต่อมา กลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ก็ทำการทดสอบด้านการออกกำลังอีกครั้ง รวมถึงมีการสแกนสมองด้วย ผลการทดสอบพบว่าคนกลุ่มที่ออกกำลังกายน้อยกว่า (โดยวัดเอาจากอัตราการเต้นของหัวใจจากการออกกำลังกายในการทดสอบครั้งล่าสุด) พบว่ามีแนวโน้มที่จะมีขนาดของสมองที่เล็กมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ออกกำลังกายมากกว่า รวมถึงคนที่มีความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจสูงในขณะที่ออกกำลังกาย ก็มีแนวโน้มที่จะมีขนาดของสมองเล็กตามไปด้วย นั่นเป็นเพราะว่าความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจสูงบ่งบอกว่าขาดการออกกำลังกาย ไม่เพียงเท่านั้นการออกกำลังกายยังมีส่วนช่วยในเรื่องความจำ และลดความเสี่ยงที่จะเป็นอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย การออกกำลังกายจึงไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย มีแต่ได้กับได้ แถมช่วยเพิ่มขนาดของสมองด้วย ดีขนาดนี้ก็อย่ารอช้าอยู่เลย ไป ไปออกกำลังกายกันเถอะ! SOURCE