จากนักแสดงขวัญใจวัยรุ่นที่ถูกนักวิจารณ์ปรามาสว่า “พอผ่านพ้นช่วงวัยรุ่น ต้องตกอับอย่างแน่นอน” แต่ Robert Pattinson กลับเลือกบทบาทที่แสนท้าทาย จนสามารถก้าวข้ามจากดาราขายหน้าตา เป็นนักแสดงขายฝีมือได้อย่างเหลือเชื่อ จากการรับเล่นหนังที่เน้นขายฝีมือและหนังอินดี้มามากมาย เขาได้แสดงฝีมือไปอีกขั้น กับบทบาทมนุษย์ค้างคาวเวอร์ชั่นใหม่ The Batman ที่ตีความมืดหม่นและสุดกรันจ์ เรามาดูพัฒนาการของผู้ชายคนนี้ แล้วคุณจะต้องทึ่งในบทบาทอันหลากแนวของเขา The Twilight Saga (2008-2012) แจ้งเกิดบทบาทเทพบุตรแวมไพร จากบทบาทเล็กๆที่ได้รับในหนังพ่อมด Harry Potter and the Goblet of Fire ในเวลาต่อมา Robert Pattinson ก็ได้รับโอกาสแบบก้าวกระโดดจากหนังที่สร้างจากนิยายขายดีของ Stephenie Meyer โดยได้รับคัดเลือกให้มารับบท Edward Cullen เทพบุตรแวมไพร์ที่มาหลงรักสาวน้อยปุถุชนคนธรรมดา จนเกิดเป็นสงครามระหว่างแวมไพร์กับแวร์วูล์ฟอีกหลายภาค แม้ว่าหนังจะทำรายได้รวมทั่วโลกทั้ง 5 ภาค สูงถึง 3.3 พันล้านเหรียญ จนกลายเป็นแฟรนไชส์ที่สร้างกำไรและเป็นหมุดหมายสำคัญแห่งยุคสมัยในช่วงกระแสหนังที่สร้างจากนิยาย Young Adult บูมก็ตาม แต่คุณภาพของหนังก็ค่อยๆถดถอยจนเป็นที่ชวนยี้ของเหล่านักวิจารณ์ ขนาด Robert
Avril Lavigne ศิลปินสาวสายป๊อปพังก์จากแคนาดา ที่คอเพลงสากลยุค 2000’s ต่างรู้จักเธอกันเป็นอย่างดี ฝากเพลงดังเอาไว้บนโลกใบนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลง “Complicated”, “Sk8er Boi”, “My Happy Ending”, “Girlfriend” และอีกมากมาย นอกจากนั้น Avril ยังมีหน้าตาที่น่ารัก โดดเด่นด้วยการกรีดอายไลเนอร์สีดำเข้ม, สีผมที่แสบตา, มีแฟชั่นการแต่งตัวที่ผสมแนวพังก์อันจัดจ้าน แถมเธอมีความทะเล้นแบบน่ารักอยู่ในตัว แค่นี้ก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดแฟนเพลงได้ทุกเพศทุกวัย ความสำเร็จใน 3 อัลบั้มแรก Let Go (2002), Under My Skin (2004) และ The Best Damn Thing (2007) ทำให้เธอถูกยกย่องให้เป็นราชินีแห่งวงการเพลงป๊อปพังก์ แต่หลังจากที่กระแสเพลงร็อกซบเซาลงไปทำให้แนวเพลงที่เราคุ้นเคยจากเธอได้เปลี่ยนตามไปด้วย ใน 3 อัลบั้มถัดมา ได้แก่ Goodbye Lullaby (2011), Avril Lavigne (2013) และ Head Above
ในช่วงแต่ละยุคแต่ละสมัยดนตรีมักจะมีอิทธิพลแฝงอยู่ในห้วงเวลาเหล่านั้นอยู่เสมอ มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปและอีกหนึ่งยุคที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากคือยุค 90’s ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย โดยเฉพาะในสายของร็อกที่แตกแขนงออกมาได้อย่างน่าสนใจ วันนี้เราขอหยิบ 11 เพลงร็อกเด็ด ๆ ฝั่งอเมริกาจากยุค 90’s มาให้ทุกคนได้เสพหรือยัดใส่เพลย์ลิสต์ไว้ฟังมันส์ ๆ กันครับ *ปีของเพลงจะนับจากวันที่ถูกโปรโมต NIRVANA – SMELLS LIKE TEEN SPIRIT (1991) ผลงานจากอัลบั้ม “Nevermind” ของวง Nirvana ที่เปลี่ยนให้ทั้งโลกก้าวเข้าสู่ยุคของดนตรีกรันจ์และอัลเทอร์เนทีฟอย่างเต็มตัว ตัวดนตรีไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ซัดกันแบบตรงไปตรงมา เต็มไปด้วยอารมณ์ทางดนตรีที่ก้าวร้าว แต่เมื่อรวมกันแล้วมันกลายเป็นเพลงที่โคตรทรงพลัง จึงไม่น่าแปลกใจที่สุดท้ายแล้วเพลง “Smells Like Teen Spirit” จะกลายเป็นเพลงสัญลักษณ์ของเพลงร็อกยุค 90’s ที่ใคร ๆ ก็ต้องนึกถึงเป็นเพลงแรก นี่คือมรดกสุดแสนล้ำค่าที่บ่งบอกความรุ่งเรืองในอดีตของดนตรีกรันจ์ได้ดีที่สุดเพลงนึงของโลก METALLICA – ENTER SANDMAN (1991) ซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้มปกดำของ Metallica ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงแนวดนตรีเพื่อเจาะกลุ่มตลาดกว้างด้วยสไตล์เฮฟวี่เมทัลที่ฟังง่ายมากกว่าเดิมมาก มีการวางโครงสร้างเพลงแบบเพลงป๊อปอย่างชัดเจน “Enter Sandman” มาพร้อมกับจังหวะหน่วง ๆ
ในปี 2021 ที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Drive My Car หนังอาร์ตจากแดนอาทิตย์อุทัยที่มีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง คือปรากฏการณ์สำคัญที่สะเทือนวงการภาพยนตร์ ที่ไม่ใช่เพียงปลุกกระแสของหนังญี่ปุ่นให้เจิดจรัสบนเวทีโลกเท่านั้น แต่ยังพาตัวเองไปได้ไกลถึงเวทีใหญ่สุดอย่างออสการ์โดยเข้าชิงถึง 4 รางวัล โดยเฉพาะรางวัลใหญ่สุดอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เพราะอะไร ในยุคที่เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าแต่ความยาวของหนังเกือบ 3 ชั่วโมง ซ้ำยังไม่ใช่หนังที่หมู่คนดูแมสจะสนใจง่าย ๆ กลับกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ใครต่อใครต่างพูดถึง Drive My Car คือ 1 ในเรื่องสั้น Men without Women (แปลไทยในชื่อว่า ชายที่คนรักจากไป) ของนักเขียน Haruki Murakami ที่รวมความช้ำรักอันหลากหลายของชายหนุ่มที่ถูกพลัดพรากจากคนรัก ไม่จากเป็นก็จากตาย ซึ่งชื่อหนังสือ Men without Women นั้นได้มาจากหนังสือรวมเรื่องสั้นของ Ernest Hemingway อีกที ส่วน Drive My Car ตัว Murakami ก็อ้างอิงจากชื่อเพลงของ The
Liam Gallagher ฟรอนต์แมนสุดห้าวเป้งอดีตวง Oasis เขาคือฮีโร่ของวัยรุ่นแห่งยุค 90s ที่ถวายจิตวิญญาณให้กับดนตรีบริตป๊อป หลายคนตัดผมแต่งตัวตาม บางคนก็ลักจำเอาท่ามือไขว้หลัง ตั้งไมค์สูง ๆ เชิดหน้าชูคางร้องเพลงตาม หรือบางคนก็ชอบเดินโยกแกว่งแขนตามก็มีเช่นกัน ในช่วงนั้นนอกจากความสามารถในการร้องเพลง อีกหนึ่งความสามารถที่โดดเด่นคือสกิลปากที่พร้อมจะด่ากราดใส่ทุกคนเพื่อสร้างไวรัลบนพื้นที่สื่อแบบที่ไม่ต้องเสียเงินโปรโมตเลยแม้แต่ปอนด์เดียว (วิธียอดฮิตของดาราและบรรดา KOL ไทยวันนี้ชัด ๆ) แต่หลังจากที่วง Oasis แยกย้ายกันไปในปี 2009 สาเหตุจากปัญหาผิดใจกันระหว่าง Liam กับ Noel Gallagher ก็ดูเหมือนว่าบทบาททางสื่อของ Liam ดูจะถดถอยลงไปด้วย ถึงแม้ว่าจะมาทำวงที่ชื่อว่า “Beady Eye” แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร รวมไปถึงเสียงร้องของเขาก็ดูจะดรอปลงไปมาก จนไม่สามารถกลับมาร้องคีย์สูง ๆ ที่เคยแตะถึงได้อีกต่อไป สุดท้ายวงใหม่ของเขาก็ต้องแยกย้ายกันไปในปี 2014 ด้วยปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมาตลอดเส้นทางอาชีพศิลปิน ทำให้ภาพจำของ Liam ในสายตาคนทั่ว ๆ ไป คือชายที่หยิ่งยะโสโอหัง, เอาแต่ใจตัวเอง, หาเรื่องทะเลาะกับคนอื่นไปทั่ว และทำอะไรไม่ค่อยแคร์แฟนเพลง นึกอยากจะลงจากเวทีตอนไหนก็ลงหายไปดื้อ ๆ แบบคนดูงงกันทั้งคอนเสิร์ต แม้บางคนจะบอกว่านี่คือสไตล์ของสาย
ภาพความโหดเหี้ยมของฆาตกรที่ใส่หน้ากากที่ทำมาจากหนังมนุษย์ เผยความเหี้ยมโหดผ่านอาวุธอย่างเลื่อยไฟฟ้า และโลดแล่นไล่ฆ่าบนจอมาแล้วถึง 48 ปีในหนัง The Texas Chainsaw Massacre หรือในชื่อภาษาไทยว่า “สิงหาสับ” นั่นเอง จากเวอร์ชั่นต้นฉบับในปี 1974 จนถึงเวอร์ชั่นล่าสุดปี 2022 ที่แม้จะย้ายความสยองจากจอใหญ่ลงมาสู่สตรีมมิ่งอย่าง Netflix แต่ดีกรีความสยองยังคงไม่ลดราวาศอกเช่นเดิม แต่ใครจะรู้ว่า ภายใต้หน้ากากอัปลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความวิปริตนี้ กลับสร้างขึ้นจากเรื่องจริงสุดสยอง ของฆาตกรต่อเนื่องที่ลือลั่นและสร้างความหวาดผวา เรามาทำความรู้จักตำนานที่แท้จริงของฆาตกรผู้เป็นต้นแบบของหนังสิงหาสับด้วยกัน ย้อนกลับไปในยุค 1950s โลกเพิ่งฟื้นคืนความสงบสุขจากสภาวะสงครามโลกที่ยืดเยื้อและยาวนาน อเมริกายังยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูจิตใจ โลกของอเมริกันดรีมยังเต็มไปด้วยความสวยงามและความหวัง แต่ใครจะรู้ว่า ภายใต้ความสวยงามนั้น มีคดีสะเทือนขวัญที่กลายเป็นฝันร้ายต่อเหยื่อผู้ตาย แม้กระทั่งวันนี้ คดีนี้ยังเป็นคดีที่โหดเหี้ยมทารุณที่สุดในประวัติศาสตร์อาชญากรรมจวบจนปัจจุบัน Edward Theodore Gein เกิดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 1906 ในเมืองลาครอส รัฐวิสคอนซิน เขาเกิดในครอบครัวที่เคร่งศาสนาที่พ่อแม่แยกทางกัน โดยมีแม่บงการชีวิตเขามาตั้งแต่เยาว์วัย Edward จึงเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวและเค้วงคว้าง จากความผิดเพียงเล็กน้อยก็ถูกลงโทษราวกับเขาไปฆ่าใคร ทำให้วัยเด็กของ Edward มักจะใช้ชีวิตด้วยการถูกขังอยู่ในโรงนาเน่าๆกับพี่ชาย และกลายเป็นคนที่ไม่สังคมกับใครเนื่องจากแม่ของเขามักจะหยิบพระคัมภีร์มาอ่านให้เขาฟัง และกรอกหูเขาโดยตลอดว่า “โลกใบนี้มีแต่คนชั่วช้า หญิงสาวส่วนใหญ่คืออีตัว และเหล้าสุราคือเครื่องมือของเหล่ามารที่จะชักจูงให้ผู้คนเสื่อมศีลธรรม”
ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน กระแสดนตรีมีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนถ่ายเทไปมาอยู่ตลอดเวลา มีดนตรีแนวต่าง ๆ เกิดขึ้นมาใหม่มากมาย มีการผสมผสานครอสโอเวอร์ข้ามสายพันธุ์จนเกิดความแปลกใหม่ขึ้นมาให้เสพเสมอ แต่ในบางครั้งบางแนวเพลงที่เคยได้รับความนิยมในอดีตก็ถูกฟื้นฟู (Revival) ให้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้รับความนิยมในกระแสหลักอีกครั้ง อย่างเช่นดนตรีแนวโพสต์พังก์ที่เคยได้รับความนิยมในช่วงยุค 80’s โพสต์พังก์ถูกเหล่าวัยรุ่นในยุค 2000’s ปัดฝุ่นหยิบกลับมันมาเล่นอีกครั้ง จนเกิดกระแสตอบรับไปทั่วโลกและถูกขนานนามว่าเป็นยุคแห่ง “Post-Punk Revival” (แม้ว่าดนตรีแนวเรทโทรอื่น ๆ จะตามมาด้วยก็ตาม) เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนก็น่าจะเคยไหลไปกับกระแสนิยมดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลงและการแต่งตัว เรามาย้อนช่วงเวลาความสนุกเหล่านั้นกับ 10 บทเพลงที่จะทำให้คุณนึกถึงยุครุ่งเรืองของ Post-Punk Revival กันดีกว่าครับ 1. THE STROKES – REPTILIA แม้จะเป็นวงดนตรีจากประเทศสหรัฐอเมริกา แต่การสื่อสารซาวด์แบบฝั่งอังกฤษของพวกเขาทำออกมาได้อย่างแนบเนียนจนทำให้ใครหลายคนเข้าใจผิดได้เลยทีเดียว เป็นอีกหนึ่งวงที่ทำให้วัยรุ่นลุกขึ้นมาแต่งตัวทำผมเลียนแบบกันเต็มไปหมด ส่วนผลงานเพลง “Reptilla” อยู่ในอัลบั้มที่ 2 ‘Room On Fire’ เป็นเพลงที่จังหวะเนิบ ๆ มีริฟฟ์กีตาร์ที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แต่แค่นั้นก็เท่โคตรแล้ว ยิ่งพอมาเจอท่อนโซโล่กีตาร์อีกก็ยิ่งเติมเต็มอารมณ์ของเพลงให้เพอร์เฟกยิ่งขึ้น เพลง “Reptilla” ถูกโปรโมตครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี
Red Hot Chili Peppers ชื่อนี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธกับตำแหน่ง “วงร็อกระดับโลก” วงดนตรีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่าเกือบ 40 ปี ออกเดินทางตระเวนเล่นคอนเสิร์ตไปทั่วโลก มีลีลาการเล่นสดที่ถึงพริกถึงขิง สร้างเพลงฮิตด้วยสไตล์ฟังก์ร็อกสุดเท่มาประดับวงการไว้มากมาย และหนึ่งในเพลงที่จะต้องปรากฏในทุก ๆ เซตลิสต์ของทางวงนั่นคือ “Californication” ผลงานจากอัลบั้มที่ 7 ที่ใช้ชื่อเดียวกับเพลงนี้ ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 1999 แน่นอนว่าแฟนเพลง RHCP หรือแฟนเพลงร็อกสากลย่อมรู้จักเพลงนี้เป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่า กว่าเพลงนี้จะเสร็จสมบูรณ์จนกลายเป็นเพลงฮิตตลอดกาล เพลง “Californication” มันก็มีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่เบื้องหลังได้อย่างน่าสนใจ JOHN FRUSCIANTE ผู้กอบกู้ CALIFORNICATION ใครจะไปคาดคิดว่าจริง ๆ แล้วมันเกือบจะไม่มีเพลง “Californication” ออกมาให้ได้ฟังซะแล้ว เนื่องจากในตอนนั้นสมาชิกภายในวงกำลังมีปัญหาเรื่องการทำเพลงด้วยกันอย่างหนัก ฃตอนแรกทาง Anthony Kiedis นักร้องนำของวงได้เขียนเพลงนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขามั่นใจมาก ๆ ว่ามันคือเนื้อเพลงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลย แต่สมาชิกในวงคนอื่น ๆ หาไอเดียการทำดนตรีเพื่อมาใส่เพลงนี้ไม่ถูก ส่งผลให้งานมันค้างอยู่แบบนั้นและมีท่าทีว่าจะเสร็จไม่ทันตามไทม์ไลน์ที่วางเอาไว้ ซึ่งมันหมายความว่าอัลบั้มใหม่ของ RHCP จะไม่มีเพลงนี้รวมอยู่ด้วยนั่นเอง อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่คับขัน ทาง
ปี 2012 หรือ 10 ปีที่แล้ว วงการดนตรีเริ่มจะเข้าสู่ยุคไร้รูปร่างตายตัว ไม่มีแนวดนตรีไหนที่ยึดหัวหาดความนิยมได้อย่างเหนียวแน่นทนนานเหมือนทศวรรษก่อนๆ แต่สิ่งที่ทดแทนมาคือความหลากหลายที่ทำให้รับรู้ได้ว่า หากเพลงที่ทำดีและเจ๋ง ก็สามารถสร้างความนิยมให้คนฟังได้เสมอ โดยเฉพาะวัฒนธรรม K-Pop ที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน สุดท้ายก็สัมฤทธิ์ผลเป็นกระแสสุดแรงแจ่มชัดในปีนี้ เรามาย้อนเวลากลับไปหาเพลงเหล่านี้กัน มาดูกันว่าเมื่อปี 2012 เพลงไหนที่ฮิตและโดนใจเป็นกระแสในวงกว้างกันบ้าง Arctic Monkeys – R U Mine? ซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้ม AM ที่สุดจะ Garage Rock ของคณะลิงขั้วโลก ในยุคที่ทำเพลงได้มันส์สะเด่าเด็ดดวง โดย R U Mine? ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาที่วงได้เดินสายทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกันกับ The Black Keys โดยฟรอนท์แมนอย่าง Alex Turner ได้บอกถึงที่มาของเพลงนี้ว่า “มันเป็นช่วงเวลายาวนานที่เรากินนอนอยู่บนรถทัวร์ ระหว่างนั้นเราก็ทั้งรู้สึกเหนื่อยล้ากับการเล่นเพลงอัลบั้มก่อนหน้า (Suck It and See ) เราอยากยกระดับการแสดงสดของเราให้คนที่มาดูไม่ยืนหาวหรือเดินออกไปซื้อฮอตด็อกหรือป็อปคอร์นแดกกันขณะที่พวกเรากำลังเล่นสดอยู่” โดย Alex ได้แรงบันดาลใจจากการเขียนเพลงแนวพรรณาโวหารของแร็ปเปอร์
ใครเป็นแฟน Hip Hop น่าจะคุ้นหูกันดีกับชื่อ Death Row Records ค่ายที่ represent West Coast rap ในอดีตนำโดย CEO, Suge Knight Death Row Records เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ผลักดัน Gangster Rap ให้กลายเป็นแนวเพลงที่โด่งดังไปทั่วโลก มีศิลปินระดับตำนานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Tupac, Dr. Dre รวมถึง Snoop Dogg ที่เข้ามาร่วมงานในปี 1993 ส่งผลงานประวัติศาสตร์ด้วยอัลบั้ม Doggystyle ที่มีเพลงอย่าง Gin & Juice, Doggy Dogg World และ Murder Was The Case จนประสบความสำเร็จในระดับ World Class อย่างรวดเร็ว Snoop Dogg เผยถึงเหตุผลในการเข้าซื้อหุ้นใหญ่ Death