ความรัก ความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่ความหอมหวานราบรื่น ถึงตอนจีบกันใหม่ ๆ ดูจะใช่ไปหมด น่ารักไปทุกสิ่ง แต่ทันทีที่มนุษย์สองคนต้องใช้ชีวิตร่วมกัน (โดยเฉพาะเมื่อต้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน) ความน่ารักโรมแมนติกสวยหรูที่เคยฉาบไว้ตอนต้น ก็จะค่อย ๆ หลุดร่อนเผยให้เห็นแก่นแห่งความสัมพันธ์ บางเรื่องก็ยังน่าหลงใหล แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ชวนให้เบือนหน้าหนี จึงเป็นเรื่องปกติที่เมื่อความสัมพันธ์ดำเนินไป หลายคู่เข้ากันได้ดีกว่าเดิม แต่อีกหลายคู่ที่ไปกันไม่รอด แต่เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคู่ก็เห็นทะเลาะกันแสนจะบ่อย มีเรื่องให้ต้องถกเถียงกันก็หลายครั้ง แต่ยังไม่เลิกกันสักที? แถมบางหนคู่ที่ดูทะเลาะ ๆ กันนี่แหละดันคบกันยาวยิ่งกว่าคู่ที่ดูราบรื่นเสียอีก? ผลสำรวจชิ้นหนึ่งระบุว่าคู่ที่ทะเลาะกันอย่างมีประสิทธิภาพมีแนวโน้มที่จะมีความสุขกับความสัมพันธ์มากกว่าคู่รักที่ไม่ทะเลาะกัน 10 เท่า! ถ้าอ่านเผิน ๆ คงรู้สึกว่าจะเป็นไปได้ไง? คนทะเลาะกันก็ต้องแปลว่ามีเรื่องคิดเห็นไม่ตรงกัน หรือมีอะไรขัดแย้งกันสิ มันจะมีความสุขกว่าหรือคบกันนานกว่าได้ด้วยเหรอ? แต่การทะเลาะกันอาจไม่ได้เป็นแบบที่เราเข้าใจเสมอไป การเติบโตมาในสังคมที่ทำให้เข้าใจว่าความขัดแย้งหรือการคิดเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องไม่สงบ แต่จริง ๆ แล้วการที่เรารู้สึกไม่พอใจแล้วเลือกบอกอย่างตรงไปตรงมา หรือคิดเห็นไม่ตรงกันแล้วเลือกแลกเปลี่ยนกันให้ชัดเจนนั้น ถือเป็นการทะเลาะกันอย่างมีประสิทธิภาพที่จะทำให้เราเข้าใจกันได้มากขึ้น ในขณะที่การเงียบ นิ่งเฉย ไม่เคยทะเลาะกันเลย (ถ้าเป็นไปเพราะเข้ากันได้ทุกเรื่องก็นับเป็นกรณีหนึ่ง) แต่จริง ๆ แล้วมีปัญหาสารพัด เรื่องไม่พอใจหลาย ๆ แบบ แล้วเลือกซุกซ่อนปัญหานั้นไว้ใต้พรม สักวันหนึ่งความไม่พอใจเล็ก ๆ เหล่านั้นก็จะสะสมจนเป็นปัญหาเรื้อรังที่แก้ไม่ได้อีกต่อไป คู่รักหลาย ๆ
เวลาเปรียบเทียบความซื่อสัตย์กับอะไรสักอย่าง ชื่อของฮาจิโกะและหมานานาสายพันธ์ุจากทั่วมุมโลกจะลอยมาทันที แล้ววลี “ซื่อสัตย์อย่างหมา” ก็จะเป็นประโยคแรก ๆ ที่เราได้ยิน แต่ความจริงเคยสงสัยไหมว่า ไอ้ที่แม่งกระดิกหางริก ๆ เดินมาหา หรือทำหน้าหงอเวลาโดนด่า จริง ๆ แล้วมันซื่ออย่างที่ว่าจริงเหรอ? มันเคยโกหกเราบ้างไหม? ตอนนี้ชั่วโมงแห่งความจริงมาถึงแล้ว เพราะนักวิจัยพฤติกรรมสัตว์เขาออกมาวิจัยและแถลงความจริงให้เรารู้ว่า “หมาซื่อมันไม่จริงเสมอไป” และตีพิมพ์งานวิจัยลงใน Animal Cognition หรือ “การรับรู้ของสัตว์” ดังนั้น อย่าเหมารวมว่าหมาทุกตัวมันจะสื่อหรือแสดงออกทุกอย่างตามที่มันคิดล่ะ เพราะบางทีคุณอาจจะเคยเจอไอ้ด่างที่บ้านตลบหลังมาแล้ว หมาโกหกมันก็มี ทาสหน้าโง่ การวิจัยครั้งนี้ใช้การมอนิเตอร์ติดตามพฤติกรรมลูกสุนัขต่างการเลี้ยงดูและอายุจำนวน 27 ตัว ซึ่งได้รับการอนุญาตให้เข้าร่วมจากเจ้าของพวกมันแล้ว จะแยบยลแค่ไหนถึงตีความได้แบบนี้ลองอ่านวิธีการวิจัยไปพร้อมกัน วันแรกเขาจะฝึกฝนสุนัขทุกตัวให้แยกแยะคน 2 จำพวก ได้แก่ ฝ่ายพาร์ทเนอร์และฝ่ายแข่งขัน โดยให้พวกมันได้เรียกรู้ผ่านรูปแบบการให้อาหาร ฝ่ายพาร์ทเนอร์จะยื่นอาหารส่งให้แบบง่าย ๆ ส่วนฝ่ายแข่งขันพอยื่นให้แล้วให้ขยักหรือปิดไว้ ไม่ยื่นให้ง่าย ๆ ผลของการฝึกวันแรกเลยทำให้เห็นว่าเจ้าลูกสุนัขชอบฝ่ายพาร์ทเนอร์มากกว่า วันต่อมาสุนัขจะถูกสอนว่าทำอย่างไรเพื่อให้มนุษย์ให้อาหาร ซึ่งเขาใช้วิธีจัดอาหารออกแบบเป็น 3 กล่อง 2 กล่องแรกที่มีอาหารเป็นกล่องที่หน้าตาเหมือนกัน แต่ว่าด้านในบรรจุอาหารต่างกันโดยจะมีอาหารที่สุนัขชอบและไม่ชอบอยู่ในนั้น ส่วนกล่องที่สามเป็นกล่องเปล่า หลังจากที่ฝึกให้พาไปแล้ว
“คุณเข้าโซเชียลมีเดียครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และใช้เวลากับมันนานแค่ไหน” ว่ากันตามตรง ประโยคคำถามข้างต้นมันเป็นคำถามที่ส่วนตัวแล้วเราเองก็ไม่ค่อยอยากจะเอามาพูดถึงบ่อย ๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่งานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันอยู่แล้วว่าถ้าใช้มากไปก็อาจมีผลเสียตามมา แต่พวกเราหนุ่มเมืองยังคงต้องใช้มันเป็นช่องทางสื่อสาร ส่งงาน แชร์ความรู้ หรือประชุมงาน ดังนั้น เวลามีเรื่องอัปเดตเกี่ยวกับข้อมูลพฤติกรรมการใช้โซเชียลที่น่าสนใจ มีผลกับเราโดยตรง เราจึงเห็นว่าตัองเอามาบอกกัน เพราะอย่างน้อยรู้ไปก็ดีกว่าไม่รู้ ส่วนจะจัดสรรเวลาให้ดีขึ้นได้ไหม เราเองก็คิดว่าต่อให้แน่นแค่ไหนก็คงยังพอมีทางออกให้ได้บ้าง IG, SNAPCHAT & FACEBOOK gonna killed US? ล่าสุดในวารสาร Journal of Social and Clinical Psychology ประจำเดือนธันวาคมตีพิมพ์ผลวิจัยที่ว่าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียกับความเหงาว่ามันติดกันมาเป็นแพ็คคู่ โดย Penn research เขาวิจัยกันจริงจังด้วยการทดลอง “ตัดขาด” คนจากโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ไม่ว่าจะ Facebook, Snapchat และ IG แล้วพบว่าสุขภาพมันดีขึ้นจริง ๆ การทดลองนี้ใช้คนเข้าร่วมวิจัยทั้งหมด 143 คน (ผู้หญิง 108 คนและผู้ชาย 35 คน) จากกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ University
ไม่อยากจะอวดให้เหมือนเนื้อเพลง YOUNGOHM ว่า “ยังไม่ได้นอนเลยจะ 10 โมงเช้า” แต่อาการ Insomnia หรือนอนไม่หลับช่วงนี้มันไล่ล่าผมเหลือเกิน พอจะมีทางออกหรือทางเยียวยาเพิ่มไหมครับ ? สำหรับใครที่เกลียดกลางคืนเสียเหลือเกิน พวกเราเข้าใจความทรมานของการนอนไม่หลับดี และ UNLOCKMEN ก็ส่งคอนเทนต์กล่อมคุณเข้านิทรากันมาหลายชิ้น แต่ถ้ามันยังไม่ได้ผลและอยากขอทางเลือกเพิ่ม ข้อมูลจากงานวิจัยล่าสุดเขาออกมาบอกแล้วว่าแค่เปลี่ยนชุดนอนก็มีผลทำให้เราได้โบนัสการนอนเพิ่มขึ้นอีก 15 นาที รอช้าอยู่ไย แค่ปลดกระดุมเปลี่ยนประเภทชุดนอน แม้จะดูประหลาดแต่ก็เป็นเรื่องจริง เพราะ Dr Paul Swan นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียจากมหาวิทยาลัย Sydney เขาวิจัยมาแล้วว่าการเปลี่ยนชุดนอนจากผ้าฝ้ายตัวเดิมไปเป็นผ้าขนสัตว์จะทำให้ร่างกายของเราเข้าสู่ Thermal comfort zone หรือสภาวะน่าสบาย ที่เอื้อกับการนอนพักผ่อนได้ดีที่สุด เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีนี้ ผู้เชี่ยวชาญจัดกลุ่มคนเข้าทดสอบการนอน 2 กลุ่ม ได้จำแนกเป็นคนต่างวัยได้แก่ วัยเด็กและวัยชรา โดยกลุ่มแรกที่เป็นวัยเด็ก คัดเลือกนักเรียนที่อายุ 20 ปีขึ้นนำมาทดลองให้สวมชุดนอนจากเนื้อผ้า 2 แบบได้แก่ ผ้าขนแกะ merino และผ้าฝ้าย เพื่อเปรียบเทียบกัน ผลปรากฏว่าการสวมชุดขนแกะทำให้เหล่าผู้ทดลองสัปหงกได้เร็วกว่าผ้าฝ้ายประมาณ 4 นาทีหรือเร็วกว่านั้น ชุดนอนขนสัตว์ใช้เวลา
ในวันที่ไลฟ์สไตล์ของผู้ชายอย่างเราเริ่มกลายเป็นธุระสำหรับคนใกล้ชิดที่ต้องออกมาแสดงความเป็นห่วงและบีบบังคับกลาย ๆ ให้ทำโน่นนี่และตราหน้าเราว่าขี้เกียจ แน่นอนว่าพวกเรารู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบที่เขาบอกสักกะนิด แต่บอกยังไงเขาก็ยังไม่เชื่อสักที เพื่อยืนยันว่าจริง ๆ พวกเราไม่ได้ขี้เกียจ UNLOCKMEN จึงได้รวบรวมข้อมูลผลวิจัยที่ว่าด้วย 5 พฤติกรรมที่คนทั่วไปมองว่า “ขี้เกียจ” แต่มันคือสิ่งที่บอกว่าเราฉลาดล้วน ๆ ลองมาเช็กดูกันอีกทีว่าเราเป็นแบบนี้ไหม ถ้าใช่…ยินดีด้วย คุณไม่ใช่คนขี้เกียจ 1. ไม่ได้อยากโซเชียลตลอดเวลา สาว ๆ และเพื่อนฝูงโปรดเข้าใจ เวลาเราเห็นกรุ๊ปแชทเด้งตลอดเวลาแต่ไม่ได้เข้าไปอ่านหรือไม่ตอบแค่กด ๆ ให้มันขึ้น read ให้จบ ๆ ไปโดยไม่สนใจจะตอบ หรือช่วงปาร์ตี้หลังเลิกงานเราก็แอบลี้หนีนัดตลอด มันไม่ได้แปลว่าเราไม่โปรดักทีฟเท่าคนอื่น ๆ หรือไม่ใส่ใจโลก เพราะมีผลวิจัยของนักจิตวิทยาจาก London School of Economics and Singapore Management University ที่ออกมายืนยันว่าคนฉลาดกว่าหรือคนที่ IQ สูงทั้งหลายเขาไม่ได้ชอบสังสรรค์กับเพื่อนฝูงสักเท่าไหร่ตรงกับความเห็นของ Washington post ที่เคยรายงานไว้ในเรื่องเดียวกันว่า คนเราถ้ายิ่งโซเชียลกับคนใกล้ชิดยิ่งกระตุ้นความสุขส่วนตัวให้เพิ่มขึ้น ยกเว้น “คนฉลาด” 2. ชอบชิลจับแมวนั่งตักมากกว่าพาหมาวิ่ง
โลกของการทำงานที่พวกเราต้องเจอคนร้อยพ่อพันแม่ คงต้องมีสักครั้งที่เราเจอกับ “บุคคลมลพิษ” อุดมเรื่องแย่ ทั้งความเห็นแก่ตัว โม้เก่ง หลงตัวเอง ใช้ทุกวิถีทางเหยียบหัวคนอื่นให้ตัวเองดูดี โกงแค่ไหนก็ชิลได้เหลือเชื่อ เรื่องผิดจรรยาบรรณมันก็ทำได้สบาย แต่ตลกร้ายคือเจ้านายชอบโปรโมตคนพวกนี้เสียเหลือเกิน เพื่อคลายความสงสัยว่าทำไมเจ้านายดันไร้วิจารณญาณมองไม่เห็นด้านลบเหล่านี้ วันนี้เราจึงล้วงคำตอบจากการวิจัยมาบอก รับรองเลยว่าคุณจะเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นอย่างแน่นอน ที่สำคัญยังได้วิธีเอาชนะ จนเจ้านายมองเห็นค่าของตัวเราด้วย ไขความลับคนลบ ๆ ทำไมเจิดจ้าในสายตาเจ้านาย ผลวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน Personality and Individual Differences ที่ Klaus J Templer วิจัย ชี้ให้เห็นว่าทักษะด้านการเมืองมีอิทธิพลกับการเติบโตในหน้าที่การงาน ใครที่คิดภาพไม่ออกว่าทักษะพวกนี้มันหน้าตาเป็นอย่างไรก็ให้คิดถึงนักการเมืองสักคนเวลาทำงาน เขาจะมีคลังคำพูดจูงใจดี ๆ ขนมาใช้ มีความเป็นนักไกล่เกลี่ย ประนีประนอม และเก่งเรื่องแสดงความจริงใจในใบหน้าให้อีกฝ่ายเห็น ฟังดูทักษะการเมืองมันก็มีแต่ทักษะดี ๆ ใช่ไหมล่ะ? แต่เรื่องแปลกคือมันมักอยู่ในคนที่ไม่ดีซะงั้น ซึ่งเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้พูดปรักปรำแบบส่ง ๆ แต่ใช้วิธีสุ่มสำรวจจากกลุ่มพนักงานจำนวน 110 คนให้ประเมินสกิลด้านการเมืองกันสักหน่อยว่าตัวเองมีมากน้อยแค่ไหน จากนั้นค่อยนำคนเหล่านี้ไปทำแบบสำรวจเช็กบุคลิกภาพจากหนังสือ H-factor of personality หนังสือที่ว่าด้วยหกมิติพื้นฐานของบุคลิกภาพมนุษย์ ใครที่ได้คะแนนสูงจัดว่าเป็นคนซื่อสัตย์อ่อนน้อม ส่วนคนไหนคะแนนปิ๋วค่อนไปทางต่ำก็แน่นอนว่าเป็นไปในทางตรงข้าม จากนั้นเอามาเทียบกันแล้วเอาไปสอบถามความเห็นจากหัวหน้าอีกที
หลังออกกำลังกายเสร็จหมาด ๆ จนเหงื่อโชก อะไรจะเรียกความสดชื่นของผู้ชายอย่างเราได้ดีกว่าเกลือแร่แช่เย็นเจี๊ยบดับกระหาย พวกเราคงเคยคิดแบบนี้ใช่ไหม แต่มันอาจเป็นเพราะบ้านเราไม่มีใครลองกินเบียร์ไร้แอลกอฮอล์มากกว่า เพราะเมืองเบียร์เขาออกมายืนยันตอนช่วงโอลิมปิกหน้าหนาวว่า “กินเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ คือที่สุดของการฟื้นฟูร่างกายนักกีฬาจริง ๆ ไม่ได้โม้” ไม่รู้ว่าเพราะเป็นประเทศที่กินเบียร์ต่างน้ำกันเป็นปกติหรือเปล่า ทำให้การสรรหาเครื่องดื่มให้นักกีฬาของชาตินี้ต่างจากชาติอื่น ถ้ายังจำกันได้โอลิมปิกที่จัดที่เมือง Pyeongchang ประเทศเกาหลีใต้ช่วงต้นปี 2018 ที่ผ่านมา ประเทศเยอรมนีใช้วิธีดูแลนักกีฬาด้วยเครื่องดื่มประจำชาติอย่าง “เบียร์” แต่เลือกที่เป็นแบบไร้แอลกอฮอล์มาให้ดื่มกันทั้งระหว่างการฝึกและหลังการแข่งสิ้นสุด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้กลับมาน่าทึ่ง เนื่องจากประเทศเยอรมนีไม่เพียงได้ที่ 2 จากการกวาดคะแนนรวมการแข่งขัน ที่สำคัญยังได้รับเหรียญทองเทียบเท่ากับแชมป์อย่างนอร์เวย์ถึง 14 เหรียญทองเชียว Johannes Scherr แพทย์ประจำทีมสกีในโอลิมปิกนำวิธีนี้มาใช้โดยได้แรงบันดาลใจมาจากข้อมูลผลการศึกษาของบริษัทกลั่นเบียร์ที่จัดทำขึ้นเพื่อพิสูจน์ในรูปแบบ Double-blind หรือการพิสูจน์โดยไม่บอกผู้ทดลอง โดยนำเบียร์ให้นักวิ่งมาราธอนดื่มทุกวันต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ก่อนการแข่งและ 2 สัปดาห์หลังการแข่งขัน ผลปรากฎว่านักวิ่งที่ดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ มีอาการอักเสบน้อยกว่านักวิ่งที่ได้รับยาหลอก (ยาที่ทำจากแป้งแต่ไม่ได้มีสรรพคุณทางจริง คนนิยมใช้เพื่อทดสอบกระตุ้นให้ผู้กินรู้สึกว่าได้รับการรักษา) นอกจากผลการศึกษานี้แล้วยังมีผลวิจัยของ Chilean หนึ่งในนักวิจัยที่ศึกษาด้านโภชนาการช่วยการันตีถึงประโยชน์ของมัน เพราะเขาว่าการดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ ก่อนการออกกำลังกายช่วยให้นักกีฬาฟุตบอลช่วยรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายได้ด้วย ถอดรหัสทำไมในเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ถึงดีกับร่างกาย เมื่อติดตามผลกันให้ลึกซึ้งแล้วมันมีเหตุผลมากกว่าการสุ่มกินสุ่มทดสอบหรือหลักการตลาดที่เผยออกมาเพื่อเรียกแขกเท่านั้น เนื่องจากเบียร์ประกอบขึ้นจากวัตถุดิบสำคัญที่มีประโยชน์กับร่างกาย ตั้งแต่ Hops ดอกไม้ที่เป็นต้นทางของรสชาติขมที่มีสรรพคุณช่วยรักษาโรควิตกกังวล นอนไม่หลับ อาหารไม่ย่อย
ชาว UNLOCKMEN เคยเป็นบ้างไหม สภาพร่างกายก็ปกติดี แต่มันมักจะมีอาการ Black out ของความทรงจำไปดื้อ ๆ เหมือนมีใครมาตัดไฟยังไงอย่างงั้น กุญแจวางตรงไหน จะออกจากบ้านแล้วดันหาไม่เจอ! เพิ่งจับมือถือไปแปปเดียว เผลออีกทีเอาไปวางไว้ตรงไหนวะ ? คิดว่าจะถามอะไรคนตรงหน้า แต่พอเจอคนทักหน่อย คำถามหายลอยไปไหนไม่รู้ ? ถ้าเป็นแบบนี้เราอย่าเพิ่งกังวลคิดว่าตัวเองอัลไซเมอร์ แต่ลองสำรวจดูว่าพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำเป็นอย่างที่เราเอามาฝากด้านล่างหรือเปล่า ? ถ้าใช่คงต้องเพลาหน่อยแล้ว เพราะไลฟ์สไตล์ตอนน้ีมันเข้าข่ายการตั้งระเบิดเวลาทำลายความทรงจำของพวกเรา โสดได้ (ความจำ) เสื่อมด้วย อ่านแค่หัวข้อก็แทบร้องไห้เลยทีเดียว เพราะถือเป็นความซวยของมนุษยชาติสายโสดเข้าให้แล้ว เมื่อนักวิทยาศาสตร์จาก Orebro University ในประเทศสวีเดนดันมาทดลองแล้วพบว่าคนที่อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจวัยกลางคนทั้งหลายมีโอกาสเกิดโรคสมองเสื่อมถ้าเทียบกับคนที่มีคู่ชีวิต นอกจากนี้งานวิจัยยังระบุว่าความจำของพวกเราชาวโสดจะลดลง เรื่องเดิม ๆ ในอดีตก็จะจำไม่ได้ แถมไม่มีข้อยกเว้นให้กับใครที่หย่าร้าง เป็นม่าย แยกทาง เลยด้วย เคยมีมาตอนนี้ไม่มีเข้าข่ายความจำเสื่อมง่ายได้หมด ที่สำคัญมันยังกระแทกใจด้วยอีกเหตุผลด้วยว่า “เหล่าคนมีคู่ถึงเขาจะลืมเขาก็ยังมีอีกคนไว้เตือนกัน” ว้อย!! หงุดหงิด จะไปซื้อโพสอิทมาติดให้เต็มบ้านเลย โสดแล้วเสื่อมมาลองกันสักตั้งว่าจะยังลืมอีกไหม SOURCE1 SOURCE2 ปาร์ตี้ดึกสุดเหวี่ยง หรือกินมันส์ยามวิกาล เรากำลังพูดถึงเรื่องกินผิดเวลา ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ปาร์ตี้เดือดข้ามคืน
เราเติบโตมาพร้อมคำพูดที่ว่า “ขยันวันนี้สบายวันหน้า” เราอยู่ในสังคมที่บอกว่าต้องลำบากก่อนแล้วสบายทีหลัง เชื่อตามกันมาโดยคิดว่ามันดีที่สุด ถูกที่สุด ย้อนกลับไปตอนยังเด็ก เราถูกบอกว่าต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนถึงจะได้ออกไปเล่น ต้องกินอาหารจานหลักก่อนแล้วค่อยกินขนมหวาน ต้องตั้งใจเรียนก่อนแล้วถึงจะได้รางวัล สอบมิดเทอมเสร็จก่อนแล้วค่อยไปปาร์ตี้กับเพื่อน ฯลฯ แม้กระทั่งตอนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องคอยบอกตัวเองว่าทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปสนุกสุดเหวี่ยง การทำงานก่อน แล้วเอาความสนุก ความสุข ความสบาย ไว้เป็นเพียงรางวัลปลอบใจให้ความหนักหน่วงของชีวิตใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไปหรือเปล่า? เราเคยสงสัยกันบ้างไหม? หรือเราแค่เชื่อตาม ๆ กันมาแล้วบอกว่าดีโดยไม่เคยตั้งคำถามกับมันกันแน่? โชคดีดันมีคนเขาสงสัยว่าวิธีคิดแบบนี้มันถูกต้องแน่หรือเปล่าจึงเกิดเป็นงานวิจัยที่ชื่อว่า Worth the Wait? Leisure Can Be Just as Enjoyable With Work Left Undone ขึ้น ซึ่งจัดทำโดย Ed O’Brien จาก University of Michigan งานวิจัยมีสมมติฐานหาญกล้าที่ว่า ไม่เห็นต้องทำงานก่อน สนุกทีหลังเลย คนเราควรสนุกแม่งเลย ทำงานด้วยสนุกด้วย อย่าเอากรอบมาขวาง จากนั้นเขาจึงทำการทดลองหลาย ๆ รูปแบบ เริ่มต้นที่พนักงานที่ทำงานในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งมาทำกิจกรรม 2 อย่าง
“กินอย่างกับแมวดม มันจะไปอิ่มอะไร” ผู้ชายอย่างเราอาจจะเคยบ่นสาวข้างกายไว้อย่างนี้ การดมกับการกินถูกเอามาเปรียบแบบงง ๆ เพราะถ้าเทียบกันแล้ว ดมยังไงก็ไม่น่าจะทำให้คนอิ่มหรืออ้วนได้ (ก็แน่ล่ะคนเราต้องกิน ไม่ใช่ต้องดม) แต่จะช็อคแค่ไหน ถ้ามีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ออกมาแล้วว่า แค่ดมกลิ่นอาหารก็สามารถทำให้เราน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้แล้ว! ฟังดูทั้งช็อค ทั้งน่ากลัว มันจะดมไม่กี่ลมหายใจ แล้วจะหนักขึ้นมาเร็วไวเหมือนที่เราคิดหรือเปล่า หรือมีความซับซ้อนมากกว่านั้น? UNLOCKMEN หาคำตอบมาให้อ่านง่าย ๆ แล้ว The Sense of Smell Impacts Metabolic Health and Obesity คืองานวิจัยที่จัดทำโดย University of California, Berkeley การศึกษาครั้งนี้ก็ดำดิ่งเจาะลึกลงไปว่าการดมกลิ่นนั้นมันมีผลต่อกระบวนการเผาผลาญและความอ้วนของมนุษย์อย่างไรบ้าง ผลปรากฏว่าการดมกลิ่น การได้กลิ่นเชื่อมโยงกับร่างกายมากกว่าที่เราคิด โดยการดมกลิ่นนั้นมีส่วนให้ร่างกายของเราเลือกว่าจะเผาผลาญไขมันที่มีอยู่ หรือเลือกที่จะเก็บสะสมไขมันนั้นไว้ต่อไป การทดลองนี้ทำกับหนูทดลอง 3 กลุ่ม มีหนูทดลองที่มีประสาทรับกลิ่นตามปกติ หนูทดลองที่ไม่สามารถรับกลิ่นได้ และหนูทดลองที่มีความไวต่อกลิ่นเป็นพิเศษ จากนั้นก็เลี้ยงพวกมันด้วยอาหารชวนอ้วนเต็มพิกัดในปริมาณเท่า ๆ กัน ผลปรากฏว่าหนูทดลองกลุ่มที่ไม่สามารถได้กลิ่นอาหารมีน้ำหนักตัวน้อยที่สุดหลังจากการทดลอง แม้จะกินเท่ากันและเหมือนกัน ไม่เพียงเท่านั้นหนูทดลองที่ได้กลิ่นตามปกติมีน้ำหนักและขนาดตัวเพิ่มขึ้น 1 เท่า ในขณะที่หนูทดลองที่ไม่ได้กลิ่นกลับมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพียง