สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และสำหรับประชาชนทั่วไปที่กำลังคิดจะซื้อบ้าน ซื้อสินทรัพย์ใหญ่ ๆ เช่น รถยนต์ ต้องติดตามสองมาตรการที่กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวเราเองอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก สองมาตรการดังกล่าว ได้แก่ มาตรการ LTV (Loan-To-Value) และ DSR (Debt Service Ratio) ก่อนเราจะมารู้จักมาตรการทั้งสองตัวขอฉายภาพของ “หนี้ครัวเรือน” ในประเทศไทยเสียก่อน จากภาพเราจะพบว่า หนี้สินครัวเรือนของประเทศไทยมีกว่า 15 ล้านล้านบาทในปี 2019 และเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้กว่า 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะเห็นแนวโน้มการเติบโตของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL เพิ่มขึ้นทุกปี จากปี 2016 ที่มีหนี้เสียเพียง 3.8 แสนล้านบาท และนั่นคือที่มาของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องออกมาตรการดังกล่าวเพื่อยับยั้งการเติบโตของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้นี้ มาตรการ LTV (Loan-To-Value) คืออะไร ? มาตรการ LTV (Loan-To-Value) คือ เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ โดยรายละเอียดของมาตรการนี้มีดังต่อไปนี้ สัญญากู้ที่อยู่อาศัยหลังแรก สามารถกู้ได้ 100% ไม่เปลี่ยนแปลง สัญญากู้ที่อยู่อาศัยหลังที่สอง
ใกล้สิ้นปีกันอีกแล้ว เป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้ต้นปีเป็นอย่างไรกันบ้าง ? บางคนสามารถบรรลุเป้าหมายได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้ แต่หลายคนอาจจะยังทำไม่ได้ นั่นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การเดินหน้าต่อไป เพราะเวลายังเหลือ! ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ โดยเฉพาะการลงทุน สำหรับการลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีนี้ เราต้องคิดต้องทำเสียแต่บัดนี้แล้ว เพราะใกล้สิ้นปีเต็มที ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วง “มรสุม” สำหรับการลงทุน สินทรัพย์หลายตัวตกลงมาอย่างน่าใจหาย และนั่นคือ “โอกาสในวิกฤต” ส่วนมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปติดตามกันเลย “อสังหาริมทรัพย์ทำเลดี ที่ถูกลดราคาลงมา” สิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับปีนี้หลายคนคงเห็นแล้วว่า ภาคเศรษฐกิจของอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งตกต่ำลงมาอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอนโดมิเนียม ที่แม้จะอยู่ในทำเลที่ดีมากแต่มีราคาถูกลงเหลือเชื่อ หากติดตามตัวเลขสถิติจะพบว่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มที่ราคาขายต่อตารางเมตรจะลดลง ซึ่งถ้าเราย้อนกลับไปไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาจไม่สามารถซื้ออสังหาฯ ทำเลดี ๆ แบบนี้ได้ในราคาที่ทั้งลดทั้งแถม เหมาะกับการวางแผนการลงทุนแบบนี้ คนที่มีเงินในการช้อปฯ อสังหาฯ ช่วงนี้ถือเป็นช่วงฟ้าเปิด ทำเลดี เพราะราคาส่วนลดกับออพชั่นน่าเล็งใกล้สถานีรถไฟฟ้า หลายทำเล แบรนด์ดัง ๆ พาเหรดกับลดราคาลงมา และหลายที่ Developer เองเป็นผู้ลดราคาเสียด้วย เนื่องจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้เขาต้องขายสินค้าไม่ให้ค้างสต๊อก เพื่อให้ได้เงินนำไปจ่ายค่าก่อสร้างโครงการ แบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นโอกาสคงไม่ได้แล้ว เมื่อโอกาสเป็นของผู้ซื้ออย่างเราตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องเลือกเสียหน่อย “หุ้นสามัญ
“ชีวิตจะดี ถ้าเรามองโลกในแง่ดีนะนาย” คำพูดโคตรง่าย ที่ง่ายเฉพาะในหนัง หรือง่ายต่อเมื่อเราเป็นฝ่ายพูดปลอบใจใครสักคน “ชีวิตกูแม่งแย่ ไม่มีอะไรดี ไม่มาเป็นกู มึงไม่รู้หรอกว่าแม่งรู้สึกยังไง” คำพูดโคตรง่าย ที่ง่ายในชีวิตจริง ง่ายเมื่อเราเป็นฝ่ายเจอปัญหา อันที่จริงแล้ว การมองโลกในแง่ร้าย ดูจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า เพราะมันได้ถูกฝังอยู่ใน DNA ของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ การมองโลกในแง่ร้าย เป็นหนึ่งในสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่สำคัญของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เมื่อเจอเสียงหลอน ๆ กลางป่า บรรพบุรุษของเราก็จะเตรียมรบหรือหาที่หลบซ่อน เมื่อเจอท่าทีว่าจะมีภัยธรรมชาติ บรรพบุรุษของเราก็เตรียมหาทางเอาตัวรอด สมอง จึงพาเราไปหมกมุ่นอยู่ในการมองโลกแง่ร้ายอยู่เสมอ ถ้างั้นการมองโลกในแง่ร้าย ก็ไม่แย่ซะทีเดียว? ในยุคที่ต้องเอาตัวรอดจากธรรมชาติ ก็คงต้องตอบว่าใช่ แต่ในชีวิตการทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน การมองโลกในแง่ร้าย นอกจากจะดึงดูดพลังงานลบเข้าหาตัวแล้ว ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าเป็นการค่อย ๆ ทำร้ายสุขภาพร่างกายโดยไม่รู้ตัว ต่อให้ไม่พูดออกมา ความเครียด ความหดหู่จากการคิดเรื่องร้าย ๆ ในหัว ก็สามารถทำร้ายให้ร่างกายทรุดโทรมได้เช่นเดียวกัน และที่สำคัญ งานวิจัยจาก University of Michigan สรุปว่า คนที่มองโลกในแง่ร้าย มักจะมีอายุขัยสั้นกว่าคนมองโลกในแง่ดี (ดังนั้นเกลียดใครหนักมาก ก็จงยุยงให้มันเครียดเข้าไว้ มันอาจจะอยู่ได้ไม่เกิน 50
ทำไมคนบางคนถึงกลายเป็นคนที่มั่งคั่งร่ำรวยจนเราโคตรอิจฉา ในขณะที่ทำไมอีกหลายคนถึงเป็นได้แค่คนธรรมดาทั่วไป? หลายครั้งที่เราตั้งคำถามนี้กับตัวเอง แต่รู้หรือไม่ว่าการเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวยบางครั้งก็ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยอย่างที่เราเข้าใจ แต่คนที่ประสบความสำเร็จทางการเงินนั้นมีนิสัยที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่น นิสัยเหล่านี้ก็ไม่ใช่นิสัยที่พิเศษจนเกินความสามารถคนธรรมดาอย่างเรา แต่เป็นนิสัยที่เราสามารถเอามาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน อยู่ที่ว่าเราจะอยากทำมันหรือเปล่า ถ้าสนใจ UNLOCKMEN ก็เอา 5 นิสัยที่คนมั่งคั่งระดับโลกมาเสนอให้คุณลองพิจารณาดูแล้ว ค้นหาแพสชั่นในการทำงาน คนมั่งคั่งร่ำรวยระดับโลกมักร่ำรวยมาจากการมีบริษัท การเป็นเจ้าของกิจการของตัวเอง ผู้ประกอบการเหล่านี้ สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันหมดก็คือมีแพสชั่นในสิ่งที่พวกเขาทำ แม้งานที่พวกเขาทำจะน่าเบื่อแค่ไหน แต่มันเป็นกระบวนการหนึ่งในการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่พวกเขาก็จะทำมันอย่างมีความหลงใหลไม่หยุดหย่อนเพื่อให้มันออกมาดีที่สุด ไม่ใช่แค่ดีพอผ่าน ๆ เงินไม่ใช่ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าถามคนที่รวยระดับโลกว่าสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคืออะไร คำตอบที่เราได้ยินจะไม่ใช่การมีเงินล้นมือ (ถึงแม้ว่าเขาจะมีมากอยู่แล้วก็เถอะ) เพราะเงินเป็นเพียงตัวขับเคลื่อนรองลงมา สิ่งที่พวกเขาอยากมีคือการขับเคลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ถ้านึกไม่ออกลองนึกถึงมาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งโซเชียลเน็ตเวิร์คชื่อดังก้องโลกดู เขาไม่ได้ต้องการเงิน แต่เขาต้องการเปลี่ยนวิธีสื่อสารของคนในโลกต่างหาก! โฟกัส! คนที่ประสบความสำเร็จหรือคนที่ร่ำรวยระดับโลกมักมีความสามารถในการโฟกัสไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนกว่าพวกเขาจะแก้มันให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ต่างจากคนอื่น ๆ ที่อาจจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อันไหนพอทำไม่ได้ก็ปล่อยให้หลุดมือไป ลองเสี่ยงดู คนรวยจำนวนมากไม่ได้เกิดมาพร้อมทางเดินที่ปูให้เขาด้วยความมั่นคงเสมอไป ยังมีเศรษฐีระดับโลกจำนวนมากที่เติบโตจากการไม่มีอะไรก่อนจะกลายมาเป็นคนร่ำรวยอย่างที่เป็นทุกวันนี้ การลงไปเสี่ยงหรืออยู่ในสภาวะที่เราอาจจะต้องแลกกับหลายสิ่งที่มีอยู่ในมือหลายครั้งก็เป็นเรื่องที่ทำให้เราเติบโตขึ้นได้อย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน อย่ากลัวความล้มเหลว คนจำนวนมากกลัวความล้มเหลว พวกเขากลัวที่จะเผชิญหน้ากับความล้มเหลวนั้นและกังวลว่าความล้มเหลวนั้นจะทำให้ชีวิตพวกเขามีประสบการณ์ที่ไม่ดี แต่คนที่มั่งคั่งร่ำรวยมักทำตรงกันข้าม พวกเขายอมรับความล้มเหลวของตัวเอง และมักมาแยกองค์ประกอบของมันเป็นส่วน ๆ ว่าพวกเขาทำอะไรผิดพลาดตรงไหน ดังนั้นการยอมรับและประเมิณความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ทำได้ยากแต่สำคัญที่คนร่ำรวยมักทำอยู่เสมอ อ่านดูแล้ว UNLOCKMEN
คงไม่มีใครชอบการทำงานอืดเอื่อยสุดล่าช้าของคนในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นคนในทีมด้วยกัน หรือลูกน้องที่คอยรับคำสั่งจากเรา เพราะการทำงานต้องการการเคลื่อนไปข้างหน้าอยู่เสมอ จะให้มานั่งรอคนคนเดียวคงไม่ส่งผลดีแน่ แต่ในทางกลับกันคนในองค์กรที่ทำงานอย่ารวดเร็ว ฉับไว เพื่อให้ได้ชื่อว่า ‘ทำงานเสร็จรวดเร็ว’ ทั้ง ๆ ที่การทำงานนั้นบางครั้งเกิดข้อผิดพลาด หรือสร้างความบกพร่องรุนแรงไว้ให้กับองค์กรอย่างไม่ทันรู้ตัวก็ไม่เป็นผลดีเช่นกัน ปัญหาก็คือผู้คนในองค์กรต่างชื่นชมการทำงานอย่างเร่งด่วนรวดเร็วราวกับคนคนนั้นเป็นฮีโร่ขององค์กรอยู่เสมอ แม้ผลที่ออกมาจะมีความผิดพลาดตามมาก็ตาม แต่เราก็จะยกย่องว่าการทำงานรวดเร็วคือสุดยอดความเจ๋ง แถมไม่แม้แต่จะมองว่านี่แหละคือปัญหาขององค์กรอีกปัญหาหนึ่ง! ก็แน่ล่ะใครจะมองว่าการที่พนักงานคนหนึ่งหรือคนหนึ่งในทีมรีบทำงานให้เสร็จลุล่วงจะถูกนับเป็นปัญหาการจัดการในองค์กรไปด้วย แต่จากรายงานเปิดเผยว่าแต่ละองค์กรต้องสูญเสียเงินจำนวนมากไปกับการตัดสินใจหรือทำอะไรอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้ชื่อว่าเสร็จ ๆ ไปก่อน แต่ทิ้งความผิดพลาดเอาไว้ อย่างไรก็ตามคนในทีมที่ทำงานแบบเร่งด่วนก็มักจะเป็นคนคนเดียวกับที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นเราก็ต้องระมัดระวังการบอกเขามากที่สุดเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของทีมเช่นกัน วิธีต่อไปนี้จึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยจัดการคนในทีมที่ออกแนวด่วนแต่สะเพร่าได้ดีพอสมควร ช่วยให้เขามองเห็นว่าการกระทำของเขามีผลต่อคนอื่นอย่างไร หลายครั้งที่คนทำงานด่วน งานเร็ว มองเห็นแต่เป้าหมายของตัวเอง จนอยากรีบทำทุกอย่างให้เสร็จ ๆ ไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าทำงานเสร็จ แล้วปัดงานนั้นให้พ้นตัวเพื่อให้คนอื่นนั้นรับช่วงงานต่อต่อไป การทำแบบนั้นไม่ได้มีอะไรผิดต่อการทำงานส่วนตัวแต่อย่างใด (ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด) แต่ในฐานะการทำงานเป็นทีมการทำแล้วปัด ๆ ส่งไปไม่มีผลดีต่อความร่วมมือกันเป็นแน่ ดังนั้นต้องทำอย่างไรเพื่อให้เขาเห็นว่านี่คือการทำงานเป็นทีม เป้าหมายคือเป้าหมายของทีมร่วมกันไม่ใช่งานของเขาคนเดียวที่ทำแล้วจบไป ที่สำคัญคนในทีมต้องรู้จักชมผลงานของเขาในแง่กระบวนการการทำ ไม่ใช่ชมแค่ผลงานของเขาที่เขาทำเสร็จแล้ว และชี้ให้เห็นว่าการทำงานของเขาไม่ได้มีค่าแค่ต่อตัวเอง แต่ส่งผลในฐานะความเป็นทีมอย่างไร ให้เขาระบุผลของการกระทำของเขาออกมา บางทีการชี้ให้เห็นอาจไม่มากเพียงพอ เราอาจต้องช่วยกระตุ้นให้เขาเห็นว่าการกระทำของเขาส่งผลกระทบอะไรตามมาบ้าง เพราะเขาอาจเห็นแต่ข้อดีที่ทุกคนชมเขา (หรือเขาเห็นเอง) ว่าเขาทำงานเสร็จเร็ว ตัดสินใจได้ด่วนกว่าคนอื่น แต่เขาไม่เคยมองเห็นว่าข้อผิดพลาดที่เกิดจากการทำงานเร็วเกินไปคืออะไร ดังนั้นเราต้องกระตุ้นให้เขาหาให้เจอให้ได้ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมันคืออะไร มันเกิดจากอะไร
งานต่อให้เรารักแค่ไหน แต่ทำไปทำมาเมื่อมันเริ่มวนลูปเดิม ๆ เจอปัญหาเก่า ๆ ที่แก้แล้วแก้อีกก็ยังวนกลับมาไม่หยุด คนเราก็ต้องมีเบื่อบ้าง หรือบางคนอาจจะเบื่อจนอยากร้องตะโกนโวยวายทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วรู้ว่าต้องไปทำงาน ถ้ามันจะเบื่อขนาดนั้นแล้วล่ะก็ UNLOCKMEN เห็นว่าไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลยไปแล้วคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ UNLOCKMEN เสนอว่ามันพอมี 5 วิธีเล็ก ๆ น้อยให้ลองทำดูเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง งานมีไว้ทำแค่ที่ทำงาน แม้จะดูเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน แต่ถ้าชีวิตเดินทางมาถึงจุดที่การต้องตื่นไปทำงานทุกวันทำให้คุณรู้สึกเหมือนโลกจะแตกสลาย หรือถ้าโลกแตกสลายลงก็ยังดีกว่าต้องแบกร่างไร้วิญญานไปทำงานแล้วล่ะก็ นี่ก็อาจเป็นกลยุทธแรก ๆ ที่คุณไม่ควรมองข้าม คุณเข้างานตรงเวลาก็ควรเลิกงานตรงเวลา ปล่อยให้งานอยู่แค่ที่ทำงานเท่านั้น ทันทีที่คุณเลิกงานคุณควรปล่อยวาง เลิกคิดว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไร มีอะไรที่คั่งค้าง แล้วใช้เวลากับการพักผ่อนให้เต็มที่ อีเมลงานก็ปล่อยไว้ก่อนเพื่อรักษาสุขภาพจิตของตัวเองสักระยะ แล้วค่อยมาเช็คอีเมลทันทีที่เวลาเริ่มงานตอนเช้าเริ่มต้นก็ไม่เสียหาย สมองคุณจะได้แยกแยะให้ชัดเจนว่าเวลาไหนคือเวลางาน เวลาไหนคือเวลาที่ได้พักผ่อนเต็มที่เพื่อชาร์จพลังไว้สู้กับงานในเวลางานได้อย่างเต็มกำลังนั่นเอง ออกไปพักผ่อนเสียบ้าง อีกสาเหตุที่อาจทำให้คุณรู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับการทำงานเหลือเกิน อาจเป็นเพราะว่าคุณรู้สึกว่าชีวิตนี้ของคุณมันไม่มีอะไรหลงเหลือให้รอคอยอยู่อีกแล้วนอกจากงาน งาน และงาน ถ้าเป็นช่วงที่คุณมีไฟเหลือเฟือ ตะลุยงานได้ไม่มีวันหยุดหย่อนก็ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะคุณจะพร้อมกระโจนใส่งานได้อย่างโคตรบ้าคลั่ง แต่ไม่ใช่กับช่วงหมดไฟ UNLOCKMEN แนะนำว่าคุณต้องการการพักผ่อนอย่างถึงที่สุด อาจจะลาไปพักร้อนสัก 3-4 วันยาว ๆ หรือจะชอบใช้วันหยุดทีละเล็กละน้อย ลาเพิ่มจากวันเสาร์อาทิตย์ไปเลยสัปดาห์ละวัน ก็ได้พักผ่อนแทบทุกอาทิตย์ไปอีกแบบ แต่เรารับรองได้ว่าการชักปลั๊กการทำงานไปพักผ่อนที่จะทำให้คุณลืมเรื่องงานไปได้ชั่วคราวจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้นหลายระดับ หารางวัลไว้หลอกล่อตัวเอง
ถือเป็นธรรมเนียมประจำปีที่ทางนิตยสาร Forbes จะจัดอันดับบุคคลที่ร่ำรวยทั่วโลก ซึ่งปีนี้แม้เศรษฐกิจโลกดูเหมือนจะซบเซา แต่ก็มีเศรษฐีใหม่เพิ่มเป็น 2,043 คนจาก 1,810 คน ในปีก่อน และมูลค่าสินทรัพย์สุทธิรวมของพวกเขาเพิ่มขึ้น 18% เป็นจำนวนเงินกว่า 7.67 ล้านล้านเหรียญ เรียกได้ว่าเป็นสถิติการเปลี่ยนแปลงจำนวนมหาเศรษฐีมากที่สุดในรอบ 31 ปี ส่วนโฉมหน้าอภิมหาเศรษฐี 5 อันดับแรกของปี 2017 จะเป็นใครบ้างเดี๋ยวเราจะมาอัพเดทให้ทราบกัน มาเริ่มกันที่คนแรกถือว่ายังครองตำแหน่งผู้ชายผู้มั่งคั่งที่สุดในโลกอย่างเหนียวแน่นเป็นเวลากว่า 4 ปี อีกทั้งเขาเคยคว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งมาแล้วจำนวน 18 ครั้งในรอบ 23 ปี ชายคนนั้นก็คือ Bill Gates ที่แม้ว่าปัจจุบันจะเทขายหุ้นของ Microsoft ทิ้งไปจนเกือบหมดแล้ว แต่ Bill Gates ก็ยังมีทรัพย์สินอยู่ราว 86 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11 พันล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว ชายผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็นอันดับ 1 อย่างแท้จริง ส่วนอันดับสองก็ยังคงตกเป็นของ Warren Buffett พ่อมดการเงินที่มีรายได้ทรัพย์สินรวมในปี 2017 อยู่ที่
ความพยายามเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะการพยายามทำอะไรให้สำเร็จ แต่บางทีการพยายามมุ่งแต่จะเอาชนะจนลืมรายละเอียดหลาย ๆ อย่างไปอาจทำให้เราพลาดบางสิ่งที่เป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จไปได้ วันนี้ UNLOCKMEN นำ 5 เรื่องราวดี ๆ ของการไม่พยายามเอาชะอย่างเดียวว่าจะนำพาอะไรดี ๆ มาในชีวิตบ้าง ผ่อนคลาย ไม่กดดันตัวเอง การบอกตัวเองว่าต้องชนะ ๆ แม้ทางหนึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ตัวเองทำให้สำเร็จ แต่อีกทางหนึ่งคือการกดดันตัวเอง และการกดดันตัวเองหลายครั้งนำมาซึ่งผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้นการไม่พยายามจะเอาชนะมากเกินไป ให้เวลาตัวเองได้ผ่อนคลายบ้าง ทำตามหนทางที่วางไว้แบบค่อยเป็นค่อยไป หรือถ้าจะรีบก็รีบเพราะความเต็มใจ ไม่ใช่เพราะกดดันตัวเองว่าต้องก้าวไปอย่างไม่หยุดยั้ง รับรองว่าคุณจะได้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยทีเดียว มีโอกาสมองหาบทเรียนระหว่างทาง บางครั้งบทเรียนในชีวิตไม่ได้มาในรูปแบบการลงคอร์สเรียน หรือการมุ่งหาที่เรียนเสมอไป เราไม่ได้บอกคุณว่า หยุดนะ! หยุดเรียนตามระบบ แต่เราแค่จะบอกว่าการพยายามเอาชนะมากเกินไปทำให้คุณละเลยที่จะมองเห็นบทเรียนต่าง ๆ ระหว่างทาง เพราะหลาย ๆ ครั้งบทเรียนหรือการเรียนรู้อะไรบางอย่างก็ไม่ในมาแค่ในห้องเรียน หรือในการทำงาน การไม่พยายามเอาชนะเพียงอย่างเดียวทำให้คุณได้บทเรียนอันล้ำค่าจากระหว่างทางที่คุณหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว คอนเนคชั่นที่ได้มาโดยไม่รู้ตัว การไม่เร่งรีบเอาชนะทำให้เรามีโอกาสได้ซึมซับระหว่างทางมากขึ้น ระหว่างทางนอกจากมีบทเรียนดี ๆ ให้คุณได้เรียนรู้อย่างล้นหลามแล้ว ยังมีคอนเนคชั่นแบบที่คุณคาดไม่ถึงอีกด้วย ไม่มีใครกำหนดซักหน่อยว่าคอนเนคชั่นจะมาแค่ในการเจรจาในวงธุรกิจเท่านั้น เพราะหลาย ๆ ครั้งคอนเนคชั่นก็มาในวงเหล้า มาจากการเดินออกไปสูบบุหรี่ชิล ๆ อย่าปล่อยให้ตัวเองอยากมุ่งเอาชนะรีบทำแต่อะไรในกรอบจนลืมอะไรนอกกรอบแล้วต้องพลาดคอนเนคชั่นดี ๆ
หากลองมาคิดดูว่าในปัจจุบันนี้เงินจำนวน 899 บาท ถ้าจำเป็นต้องใช้ให้หมดในครั้งเดียว จะสามารถนำไปเป็นค่าใช้จ่ายอะไรได้บ้าง สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึง คงหนีไม่พ้นค่าบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง อาหารญี่ปุ่น 1 มื้อ หรือไม่ก็ค่าโทรศัพท์ + แพ็คเกจอินเตอร์เน็ตรายเดือน แต่คงไม่มีใครคิดว่าเงินจำนวนเท่านี้ จำนวนที่ถูกกว่าค่าเช่าหอ เช่าอพาร์ทเม้นต์รายเดือนเสียด้วยซ้ำ จะนำมาใช้เริ่มต้นสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตด้วยการมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง กับคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่นับวันจะยิ่งเพิ่มมูลค่ามากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งถ้าอยู่ในพื้นที่พิกัดทำเลดี ๆ หากต้องการขยับขยายครอบครัวย้ายไปหาบ้านใหม่ ก็ยังสามารถปล่อยคอนโดให้เช่าสร้างรายได้ระยะยาว หรือประกาศขายทำกำไร เอาไปโปะค่าบ้านก็น่าสนใจไม่ใช่เล่น จาก Insight ดังกล่าว ‘คอนโด ยู เกษตร – นวมินทร์’ โครงการคอนโดมิเนียมน้องใหม่ล่าสุด จากค่ายแกรนด์ ยูนิตี้ จึงงัดกลยุทธ์แหวกกระแส ผุดแคมเปญ ‘ตัดภาระทางการเงิน’ ทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นจริง กับการเพิ่มมูลค่าของเงิน 899 บาท ให้สามารถเป็นงบประมาณต่อเดือนในการผ่อนคอนโดได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 2 ปี จากที่ปกติห้องราคาประมาณ 2 ล้าน จะมียอดผ่อนชำระต่อเดือนประมาณหมื่นกว่าบาท ถือได้ว่าแคมเปญนี้ช่วยประหยัดเงินไปได้อีกเป็นกอง แถมยังนำเงินส่วนต่างตรงนี้ ไปเป็นเงินเก็บลงทุนต่อยอดได้อีกมากมาย และเชื่อว่าจะสามารถสร้างกระแสการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคได้ไม่ยาก นอกเหนือจากกลยุทธ์เด็ดของแคมเปญที่มีจุดเด่นอย่างค่างวดผ่อนแสนถูก
สำหรับคนในแวดวงงานออกแบบ และงานโฆษณา คงจะรู้จักชื่อของผู้ชายคนที่เรากำลังจะพูดถึงในวันนี้เป็นอย่างดีแน่นอน ด้วยศักยภาพ และความโดดเด่นของผลงานทั้งหมดของเขา ที่ผ่านการกวาดรางวัลระดับโลกมาแล้วเรียกได้ว่าทุกเวที ไม่ว่าจะเป็น LIA Awards, CLIO Awards, D&AD Award รวมไปถึง Cannes Lion Awards และอีกมากมายจนไม่สามารถจะเรียบเรียงได้หมด จนตอนนี้เขาคนนี้ถือเป็นคนที่ได้รับการยอมรับ และกลายเป็น No.1 ของโลกไปแล้ว ชายคนนั้นก็คือ “พี่ชัย” หรือ “สุรชัย พุฒิกุลางกูร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิลลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็น บริษัท CGI สตูดิโอสัญชาติ ไทยที่โด่งดังไปไกล และได้รับการยอมรับไปทั่วโลก วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN ได้มีโอกาสดี ๆ ที่จะไปพูดคุยกับ “พี่ชัย” กันถึงในห้องทำงาน และ สอบถามถึงเรื่องราวที่น่าสนใจในหลากหลายแง่มุม ทั้งเรื่องประสบการณ์การทำงาน, เรื่องของมุมมองความสำเร็จ และอื่น ๆ อีกหลายเรื่องที่รับรองว่า คุณจะได้สาระดี ๆ จากผู้ชายคนนี้อีกหลายด้านที่คุณห้ามพลาดเด็ดขาด ตอนนี้เราไปพบกับบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจของคนที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จในชีวิตจนกลายเป็นที่
ถ้าพูดถึง CEO ระดับแนวหน้าของโลกตอนนี้ คงไม่มีทางที่ชื่อของ Elon Musk จะหลุดโผไปได้ เขาคือ CEO ของ Tesla และ SpaceX รวมถึงเป็น chairman ของ SolarCity ที่กำลังทำโปรเจกต์ล้ำ ๆ ให้กับโลกใบนี้มากมาย แถมยังเป็นนักลงทุนระดับมหาเศรษฐีที่ขึ้นชื่อว่างานล้นมือที่สุดคนหนึ่ง แต่อะไรที่ยังทำให้เขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ได้ วันนี้เราแอบเอานิสัย 5 อย่างของเขามาฝากให้ชาว UNLOCKMEN ได้ลองใช้เป็นตัวอย่างในการทำงานให้มีประสิทธิภาพดู ใช้การสื่อสารผ่านข้อความ Elon Musk ถือเป็นอีกคนที่เป็นตัวพ่อเรื่องการสื่อสารผ่านอีเมลหรือข้อความ เป็นการสื่อสารที่ไม่ต้องอาศัยการโต้ตอบแบบเรียลไทม์ ซึ่งการทำแบบนี้ช่วยให้เขาอยู่กับตารางเวลาการทำงานของตัวเองได้เต็มที่มากขึ้น โดยไม่ต้องพะวงอยู่กับการรับโทรศัพท์แต่ให้คนที่อยากติดต่อสื่อสารผ่านข้อความแล้วตอบกลับเมื่อมีเวลา บางครั้งก็ต้องเป็นคนเข้าถึงยาก แม้ใคร ๆ ก็ดูเหมือนจะรู้จัก Elon Musk ดี แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนที่เข้าถึงตัวยากมากที่สุดคนหนึ่ง โดยเฉพาะการเข้าถึงจากคนนอกบริษัทของเขา เขาบอกว่าการทำให้คนเข้าถึงยากเป็นการป้องกันการเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น มีโอกาสในการโฟกัสกับงานตัวเองมากขึ้น multitasking เข้าไว้ Elon Musk เชื่อว่าการทำอะไรได้หลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวหรือที่เรียกว่า multitasking เป็นเรื่องที่ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าเราคงเคยได้ยินใครหลายคนแนะนำวิธีการที่จะทำให้ชีวิตก้าวหน้า ด้วยการพัฒนาตัวเองในการทำงานโดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ซึ่งหลาย ๆ ครั้งพอเอามาใช้ก็พบว่า เอ๊ะ มันก็ดีขึ้นนะ แต่มันไม่สุดซักที มันมีอะไรผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า วันนี้เราเลยอยากเอาหัวข้อการพัฒนาตัวเองในการทำงานยอดฮิต 6 ข้อ มาตีแผ่ให้ฟังแบบลงลึกมากขึ้น ทุกคนจะได้เข้าใจ และนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองได้ถูกต้องและเห็นผลมากขึ้นนั่นเอง 1. การตั้งเป้าหมายใหญ่ คนสำเร็จในชีวิต คนที่สร้างผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ได้ ร้อยทั้งร้อยเป็นคนคิดใหญ่ครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากมีชีวิตที่ก้าวหน้า คุณต้องตั้งเป้าหมายให้ใหญ่นั่นถูกต้องแล้ว คำถามคือแล้วจุดตายของการตั้งเป้าหมายใหญ่มันอยู่ตรงไหน? คำตอบคือเป้าหมายใหญ่เกินไปคุณเลยไม่เห็นทางข้างหน้า และรู้สึกท้อทุกที ดังนั้นถ้าให้ดี คุณควรเลือกตั้งเป้าหมายที่ขยายขีดความสามารถของตัวเองในระดับที่ “challengeable, not fantasy” หมายความว่าพอเป็นไปได้เมื่อเทียบกับระดับความสามารถในปัจจุบัน และไม่เพ้อเจ้อเพ้อฝันจนเกินไป ยังครับ ยังไม่หมด จุดตายอีกจุดอยู่ตรงที่ “คุณไม่รู้จักซอยย่อยเป้าหมายออกมาเป็นชิ้นเล็ก ๆ ” การซอยให้เล็กจะทำให้คุณเห็นว่ามันมีงานง่ายเยอะแยะมากมาย มันไม่ได้ใหญ่อย่างที่คุณคิด! และนี่แค่ข้อแรกเท่านั้นครับ 2. การวางแผนล่วงหน้า อยากบริหารงาน บริหารชีวิตได้ คุณต้องรู้จักการวางแผน การวางแผนจะช่วยลดงานไม่เร่งด่วนของคุณได้อีกมากซึ่งเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากๆครับ แล้วความเข้าใจผิด ๆ ในการวางแผนอยู่ตรงไหน คำตอบคือ การวางแผนน้อยเกินไปในเรื่องที่ควรวางแผนให้มาก และวางแผนมากเกินไปในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยความลึกในการวางแผนขนาดนั้น