ดูเหมือนว่าชีวิตของเราจำเป็นจะต้องมีความเร่งและรีบตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางที่เราต้องตื่นเช้าเพื่อขึ้นรถเมล์ในช่วงที่คนไม่เยอะ หรือ ขับรถในช่วงที่การจราจรไม่ติดขัด รวมถึง การพูดคุยตอบคำถามกับคนอื่น ซึ่งถ้าเราตอบกลับอีกใฝ่ายช้า เรามักจะถูกมองว่าเป็นคนไม่จริงใจ อ้างอิงจากงานวิจัยชิ้นใหม่ที่เพิ่งตีพิมพ์ใน Journal of Personality and Social Psychology งานวิจัยชิ้นนี้ทำโดยนักวิจัยจากสถาบัน Grenoble Ecole de Management และมหาวิทยาลัย James Cook University ซึ่งพวกเขาได้เริ่มทำการทดลองทั้งหมด 14 ครั้งกับผู้เข้าร่วมการทดลองทั้งหมด 7,565 คนที่มาจากประเทศทางฝั่งยุโรปอย่าง สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ซึ่งในแต่ละการทดลอง ผู้เข้าร่วมการทดลองจะได้ทำสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ ฟังไฟล์เสียง ดูวิดีโอ หรือ อ่านการตอบสนองของคนที่มีต่อคำถามง่าย ๆ อย่างเช่น ชอบเค้กที่เพื่อนทำหรือไม่ ? หรือ ขโมยเงินจากที่ทำงานมารึเปล่า ? เป็นต้น เวลาในการตอบสนองของคนจะแตกต่างกันไปในแต่ละซีนาริโอ เช่น บางคนสามารถตอบคำถามได้ในทันที ในขณะที่บางคนตอบดีเลย์ไป 10 วินาที เป็นต้น
คำพูดของเราสามารถสร้างความขัดแย้งได้เสมอ เพราะเราอยู่สังคมที่เต็มไปด้วยคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างต่างกัน ถ้าเราไม่รู้วิธีการรับมือกับคำพูดหรือความเห็นต่างอย่างถูกต้อง ความขัดแย้งมันก็ยิ่งหนักหนาสาหัสมากขึ้นได้ ในบทความนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่า ทำไมการแสดงความคิดเห็นถึงทำให้คนทะเลาะกันได้ พร้อมกับ แนะนำวิธีการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่อาจกระทบกับอีกฝ่าย โดยป้องกันความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น และช่วยให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้นานๆ ทำไมการแสดงความคิดเห็นถึงทำให้คนทะเลาะกันได้ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับคนที่เห็นต่างจากเรา อาจเพราะเราสามารถได้รับความเจ็บปวดจากคำพูด หรือ คำด่า ซึ่งงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า คำพูดสามารถสร้างความเจ็บปวดได้ไม่ต่างจากการถูกตีด้วยไม้หรือทุบด้วยก้อนหิน และอาจมีผลรุนแรงจนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนได้ งานวิจัยชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัย Friedrich Schiller University Jena ได้ทำการทดลองทั้งหมด 2 ครั้ง โดยครั้งแรกทีมนักวิจัยให้ผู้เข้าร่วมการทดลอง 16 คน อ่านคำพูดที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวด เช่น “plaguing” (ภัยพิบัติ) “tormenting” (ทรมาน) “grueling” (ทรหด) พร้อมกับ จินตนาการถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคำ ๆ นั้นไปด้วย ส่วนในการทดลองที่สอง ผู้เข้าร่วมการทดลองถูกขอให้ทำการทดลองเดิมอีกครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนี้จะมีการใช้ brain-teaser เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เข้าร่วมการทดลองด้วย โดยในการทดลองทั้งสองครั้ง ผู้เข้าร่วมการทดลองจะถูกสแกนสมองด้วยเครื่อง functional magnetic resonance imaging (fMRI)
เมื่อว่าด้วยเรื่องการตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเลือกคนเข้าทีม เจรจาต่อรองกับคู่ค้า หรือแม้แต่ลงทุนทำธุรกิจ ล้วนต้องมีต้นทุนและราคาที่ต้องจ่าย แน่นอนว่าทุกตัวเลือกที่มีในโจทย์หลักต่างมาพร้อม “ความเสี่ยง” ด้วยกันทั้งสิ้น แต่คุณจะเลือกอย่างไรให้เสี่ยงเสียได้น้อยที่สุด และพลิกความเสี่ยงนั้นให้กลายเป็น “โอกาสทอง” แทน นอกจากเชื่อในสัญชาตญาณแล้ว การคิดวิเคราะห์บนพื้นฐานหรือหลักการที่เป็นเหตุเป็นผลจะยิ่งช่วยชั่งน้ำหนักระหว่าง “ความเสี่ยง” กับ “โอกาส” ของตัวเลือกที่มีได้ชัดเจน ทำให้คุณตัดสินใจไม่พลาด จริง ๆ แล้ว การตัดสินใจของคนเราจะผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ และวางแผน 5 ขั้น ด้วยกัน ได้แก่ ขั้น 1 วางเป้าหมาย เพราะเป้าหมายเปรียบเหมือนเสาหลักของการร่างแผนการทำงานอื่น ๆ ตามมา ขั้น 2 ศึกษารวบรวมข้อมูล เก็บรายละเอียดของกลวิธีหรือทางเลือกที่จะช่วยไปให้ถึงเป้าหมายนั้น โดยเจาะลึกแต่ละวิธีอย่างละเอียด ขั้น 3 ประเมินตัวเลือก ผู้ที่มีส่วนร่วมต้องร่วมกันชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียของทางเลือกแต่ละแบบ เพื่อตัดสินใจร่วมกัน ขั้น 4 ตัดสินใจเลือกทางที่ใช่ ขั้น 5 ประเมินผลลัพธ์ ดูว่าทางเลือกที่ใช้นั้นให้ผลลัพธ์อย่างไร โดยอาจแบ่งเป็นผลลัพธ์ระยะสั้นและผลลัพธ์ระยะยาว แน่นอนสิ่งที่เราพูดถึงกันตอนนี้อยู่ในขั้นตอนที่สาม หากไม่รู้จะเริ่มต้นยึดหลักการไหน
เมื่อว่าด้วยเรื่องการขาย แน่นอนว่าเราต่างหนีไม่พ้นที่ต้องขาย…ในแต่ละวันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะขายของสำหรับอาชีพพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ (ซึ่งน่าจะเห็นชัดเจนที่สุดเมื่อพูดถึงเรื่องการขาย) ขายไอเดียเมื่อถูกกระตุ้นให้แสดงความคิดเห็นในที่ประชุม ขายงานให้ผ่านการอนุมัติเมื่อต้องพิชชิ่งกับคู่แข่งข้างนอกมากมาย หรือแม้แต่ขายความเก่งของตัวเองในกรณีที่ต้องการรับเลือกให้เป็นแคนดิเดตในการสมัครงานตำแหน่งที่ใช่ บทความนี้จึงอยากลองชวนคุณมาสวมบทบาท “นักขาย…” โดยลองนำเทคนิคที่ถอดมาจากแนวคิดการทำงานของเหล่าศิลปินที่สร้างผลงานให้คนรักทั่วโลก มาดูกันว่า กว่าพวกเขาจะก้าวขึ้นมาอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ได้นั้น พวกเขายึดหลักการอะไรในการสร้างสรรค์ผลงานเพลงที่ “ขาย” ให้คนฟังทั่วโลกยอมรับในฝีมือจนได้ Eminem จริงจังและจริงใจในสิ่งที่ทำ ตำนานแร็ปเปอร์ระดับโลกอย่าง Eminem ผู้ที่ไม่ยอมเรียกตัวเองว่า King of Rap แต่เลือกจะขนานนามตัวเองว่าเป็น Rap God เหมือนเพลงที่เขาแต่ง แน่นอนว่าผู้คนต่างไม่ปฏิเสธ เพราะนอกจากจะสร้างสถิติแรปได้เร็วที่สุด โดยแรป 330 พยางค์ ภายใน 31 วินาที จากเพลง Godzilla แล้วนั้น เขายังสร้างผลงานเพลงมากมายจนเป็นที่ยอมรับอีกด้วย Source: Ft หากจะบอกว่าสารตั้งต้นการสร้างผลงานให้คนรักเกิดจาก “ความรัก” ก็ไม่ผิดนัก เพราะเขาค้นพบว่าตัวเองหลงใหลการเรียงร้อยถ้อยคำภาษาอังกฤษและดนตรีฮิปฮอปตั้งแต่อายุสิบสี่ แต่สิ่งที่ทำให้เขาสานต่อความรักและความฝันที่จะทำเพลงฮิปฮอปจนโด่งดังขึ้นมาได้นั้นล้วนใช้ความพยายามและตั้งใจมากท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในช่วงเริ่มต้น อันเกิดจากอคติสีผิว เพราะฮิปฮอปเป็นวัฒนธรรมของชาวแอฟริกัน-อเมริกัน จึงไม่แปลกที่คนมักค่อนแคะว่าคนผิวขาวอย่างเขาจะทำมันได้จริงหรือ ถึงอย่างนั้น Eminem ก็ทลายทุกกำแพงอคติที่ว่าลงได้เมื่อเขาได้แสดงให้เห็นศักยภาพด้านดนตรีจนได้เดบิวต์อัลบั้มแรกออกมา ที่สำคัญ เขายังวางเป้าหมายในการแต่งเพลงอัลบั้มต่อไปด้วยจุดมุ่งหมายที่จะสร้างสรรค์งานที่จุดประกายแรงบันดาลใจชีวิต
การเป็น “หัวหน้า” อาจได้รับเลือกจากประสบการณ์ ความรู้ และสถานะทางสังคม แต่การได้ชื่อว่าเป็น “หัวหน้าที่ดี” ไม่ใช่สิ่งที่คนได้ชื่อว่าเป็น “หัวหน้า” จะทำได้ทุกคน ไม่ว่าคุณจะได้เป็นหัวหน้าตามระดับตำแหน่งงานหรือตกอยู่ในสถานการณ์ให้รับบทบาทนั้น สิ่งสำคัญก็คือต้องแสดงสปิริต “Leader” ออกมาให้ได้ เพราะหน้าที่ของ “หัวหน้า” คือนำทีมไปสู่เป้าหมายด้วยกัน ไม่ใช่คนออกคำสั่งว่าใครต้องทำอะไรเท่านั้น มาดูกันว่า 5 ผู้นำทั่วโลก ยึดแนวคิดหรือมีวิธีปฏิบัติของการเป็นหัวหน้าแบบไหนบ้าง เพื่อให้เห็นว่าการเป็นหัวหน้าหรือ “Leader” ที่ดีนั้นเป็นกันได้อย่างไร รักลูกน้องเหมือนครอบครัว: Howard Schultz หากย้อนเส้นทางการก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารสตาร์บัคของ Schultz แล้วนั้น ต้องยอมรับว่าทุกอย่างเริ่มต้นจากความรู้สึก “…เหมือนผมได้อยู่บ้าน” นับแต่ก้าวแรกที่มาเยือนร้านสตาร์บัคในตอนที่แบรนด์เพิ่งก่อตั้งมาได้ 10 ปี หรือแม้แต่ตอนที่กลับมารับตำแหน่ง CEO หลังลาออกไปนานถึง 8 ปี เขาก็เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่ได้ทำสตาร์บัคเป็นธุรกิจเลี้ยงปากท้อง แต่เขาทำมันเป็นธุรกิจที่หล่อเลี้ยงและเติมเต็มพลังใจ นี่เองทำให้เขาบริหารจัดการทุกอย่างภายใต้แบรนด์สตาร์บัคด้วยใจ ซึ่งรวมไปถึงการดูแลลูกน้องในทีมเหมือนหุ้นส่วนที่ร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน Source: Inc นอกจากสวัสดิการที่ส่งเสริมการสร้างความมั่นคงในชีวิตระยะยาวอย่างประกันต่าง ๆ สิทธิผู้ถือหุ้น หรือแผนเกษียณงานแล้ว ความรักและการดูแลใส่ใจพนักงานเหมือนคนในครอบครัวก็สะท้อนสปิริตผู้นำของเขา เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ปล้นในวอชิงตัน ดีซี ทำให้เขาต้องสูญเสียพนักงานไปสามคน
หลายคนอาจกำลังมองหาอาชีพ หรือ สายงานที่น่าสนใจอยู่ แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรไปทางไหนดี UNLOCKMEN เลยอยากนำ 15 แคตตากอรี่อาชีพที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2021 จากรายงาน “Jobs on the Rise” ของ LinkedIn แพล็ตฟอร์มด้านการหางานที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาแชร์กับทุกคนกัน โดยรายงานชิ้นนี้เป็นการสำรวจงานมากกว่า 15,000 ตำแหน่ง เพื่อหาอันที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในปี 2020 และมีการนำไปเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าด้วย และตำแหน่งงานเหล่านั้นจะถูกนำมาจำแนกเป็น 15 เทรนด์การทำงานของตลาดทั่วโลก โดยในแต่ละกลุ่มจะมีการบอกตำแหน่งงานที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ทักษะสำคัญที่ต้องการสำหรับสายงานนั้น ๆ และเมืองที่มีการจ้างงานตำแหน่งนั้นสูง ไปดูกันเลยดีกว่าว่าจะมีอาชีพอะไรบ้าง 1.สายงานดิจิทัลคอนเทนต์ (Digital Content) ตำแหน่งหลัก: บรรณาธิการ (editor) ก๊อปปี้ไรท์เตอร์ (copywriter) คนทำพอดแคสต์ (podcaster) ผู้สร้างคอนเทนต์บนยูทูป (ํYoutube content creator) และคนตัดต่อวิดีโอ (video editor) สกิลที่ต้องการ: ทักษะการพูดในที่สาธารณะ (public speaking) ทักษะการพิสูจน์อักษร (proof reading)
ความมั่นใจในตัวเองถือเป็นคุณสมบัติที่ผู้ขายควรมีติดตัว เพราะมีหลายสถานการณ์เหมือนกันที่ต้องการการติดสินใจของผู้ชาย รวมถึง ความเป็นผู้นำด้วย แต่บางครั้งความมั่นใจที่มากเกินไปอาจก่อให้เกิดความเห็นแก่ตัวได้ เราไม่รับฟังความคิดเห็นคนอื่น คิดว่าตัวเองสามารถแก้ได้ทุกปัญหา หรือ แก้ปัญหาโดยใช้ความเคยชินของตัวเองมากกว่าที่จะใช้วิธีใหม่ ๆ ที่ได้มาจากคนอื่น สุดท้ายเราก็อาจมานั่งกลุ้มใจทีหลังว่า งานที่ออกมาทำไมมีข้อผิดพลาดมากมายขนาดนี้ ทำไมตอนทำอยู่เราถึงไม่สังเกตเห็นมันกันนะ นี่เป็นตัวอย่างของคนที่มีวิสัยทัศน์อุโมงค์ (Tunnel Vision) ซึ่งเป็นมายเซ็ทที่ส่งผลเสียต่อการทำงานของเราอย่างมาก มันอาจทำให้เราผิดพลาดมากขึ้น ได้ประโยชน์จากงานน้อยลง และส่งผลเสียต่อทีมเวิร์กอีกต่างหาก เราเห็นคนทำงานหลายคนเป็นแบบนี้กัน เลยอยากมาอธิบายซะหน่อยว่ามีวิธีอะไรบ้างที่จะช่วยให้เราสามารถออกมาจากอุโมงค์ได้ WHAT IS TUNNEL VISION ? ลองจินตนาการดูว่า เรากำลังขับรถ หรือ นั่งอยู่บนรถสักคันหนึ่ง เมื่อมันเคลื่อนที่เข้าสู่อุโมงค์ที่อยู่เบื้องหน้า แน่นอนว่า การมองเห็นของเราก็คงจะเริ่มแคบลง จากเดิมที่เรามองเห็นถนนกว้าง ๆ บ้านเรือน สิ่งก่อสร้าง หรือ ธรรมชาติ ที่อยู่ริมถนน การเข้าอุโมงค์ก็ทำให้เราเห็นเพียงกำแพง ทางเดินรถแคบ ๆ และรถคันอื่นที่ร่วมทางกับเราเท่านั้น ส่วนสิ่งที่อยู่ภายนอกนั้น เรามองไม่เห็นมันเลยจนกว่าจะออกมาจากอุโมงค์ วิสัยทัศน์อุโมงค์ (Tunnel Vision) จึงเปรียบได้กับการที่เราโฟกัสไปที่ส่วนหนึ่งของปัญหาหรืองานอย่างหนัก จนเราไม่ได้โฟกัสไปที่ปัญหาอื่น ซึ่งสุดท้ายเราอาจจะแก้ไขปัญหานั่นไม่ได้ หรือ
ช่วงนี้หลายคนน่าจะมีความเครียดและความกังวลกัน เพราะทุกอย่างในตอนนี้ดูไม่แน่นอนเสียเหลือเกิน ไม่มีใครรู้ว่า COVID-19 จะหายไปเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรเราจะได้ใช้ชีวิตกันแบบปลอดภัยไม่กลัวโรค ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่สถานที่ต่าง ๆ จะเลิกโดนสั่งปิด ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรเราถึงจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำได้อย่างเต็มที่ซะที เหล่านี้คงทำให้หลายคนรู้สึกดาวน์ และไม่อยากทำงานกันบ้างแหละ การทำงานที่ไม่อยากทำอาจทำให้เราเกิดความขี้เกียจ ซึ่งนอกจากจะทำให้เราไม่โปรดักทีฟแล้ว งานวิจัยบอกเราว่า ความขี้เกียจในระยะยาวอาจทำให้เรามีสุขภาพแย่ลง ร่ำรวยน้อยลง และมีความสุขน้อยลงด้วย แต่การออกจากงาน หรือ เปลี่ยนงานในช่วงนี้ คงเป็นเรื่องที่หลายคนรู้สึกว่า ยังไม่ปลอดภัยที่จะทำมัน เพราะอาจทำให้ถูกมองว่าไม่เป็นมืออาชีพ ไม่สู้งาน และขัดขวางความก้าวหน้าในการทำงาน บางคนจึงเลือกที่จะเก็บมันไว้ในใจ มากกว่าที่จะพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง และเผชิญหน้ากับปัญหานี้เพียงลำพังต่อไป ฟังดูเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนซัฟเฟอร์ แต่โชคดีที่มันยังมีวิธีการประคับประคองตัวเองให้ทำงานต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกัน เราได้นำวิธีเหล่านั้นมาแชร์กับทุกคนในบทความนี้ ลองทำตามดูแล้วดูว่ามันได้ผลมากแค่ไหน !! ตอบให้ได้ว่าทำไมเราถึงยังต้องทำงานนี้อยู่ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ควรจะมีการตั้งเป้าหมาย เพราะถ้าไม่ เราอาจรู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไร้ค่าไร้ความหมาย และหมดแพสชั่นในการทำมันได้อย่างรวดเร็ว ในการทำงานที่เรารู้สึกว่าไม่อยากทำก็เช่นกัน ถ้าเราจมอยู่กับความรู้สึกที่ว่าทำไมเราถึงยังตัองทำงานนี้ต่อไป ทุกอย่างมันก็คงมีแต่จะแย่ลง เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรทำเป็นอย่างแรก คือ การหาให้ได้ว่าทำไมเราถึงยังต้องทำงานที่น่าเบื่อหน่ายอยู่ ? เพราะเงิน? เพราะความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน? เพราะฐานะสังคม? เมื่อเป้าหมายในการทำงานเราชัดแล้ว กำลังใจมันก็มักจะมาเอง แต่ข้อควรระวังเมื่อเราจะตั้งเป้าหมายในการทำงาน คือ
ขึ้นชื่อว่าการเจรจาต่อรองแล้ว ไม่ว่าจะในเชิงธุรกิจที่ขับเคี่ยวกันดุเดือด หรือหน้าที่การงานที่ต้องสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด เราทุกคนล้วนแต่ต้องการเจรจาต่อรอง แลกเปลี่ยนให้ผลที่ได้ออกมาพอใจร่วมกันทุกฝ่าย โดยปกติการเจรจาต่อรองก็ย่อมต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์ จะไปแบบมั่ว ๆ ไม่รู้อะไรเลยไม่ได้อยู่แล้ว แต่การเจรจาต่อรองที่ “เรามีอำนาจต่อรองน้อยกว่า” หรือรู้ทั้งรู้ว่าเราก็ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรไปแลกกับอีกฝ่ายมากนัก ยิ่งเป็นความท้าทายที่หลายคนเผลอถอดใจไปล่วงหน้า (ก็ดูรูปการณ์แล้ว ไม่น่าจะไปต่อรองอะไรกับเขาได้) แต่เราอยากชวนมาปลดล็อกความเข้าใจผิด ๆ เสียใหม่ อย่างน้อยก็ต้องลองสักตั้งก่อนถอดใจ แม้หลายการต่อรอง เราอาจเลี่ยงได้ แต่กับบางสถานการณ์คับขันตรงหน้าต่อให้รู้ว่าอำนาจน้อยกว่าก็ต้องกระโจนลงไปอยู่ดี ดังนั้นลองเอาวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้ เพราะแม้จะไม่ได้มีอำนาจล้นมือ แต่ถ้ารู้เท่าทัน การเจรจาต่อรองให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการก็อาจไม่ยากอย่างที่คิด “ผลลัพธ์ที่ต้องการอาจไม่ได้มีแค่หนึ่ง” การเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการเจรจาต่อรอง ไม่ว่าจะทางธุรกิจ หน้าที่การงาน หรือเรื่องไหน ๆ คือการที่เราสามารถพูดคุยไปถึงจุดที่ “เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ” หลายครั้งเมื่อเราดูมีอำนาจต่อรองน้อยกว่า หรือไม่น่ามีอะไรไปแลกจนอีกฝั่งพึงพอใจได้ เราจึงมักคิดว่าเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่เสมอ แต่จริง ๆ แล้ว การเจรจาเพื่อ “ได้ในสิ่งที่เราต้องการ” นั้นไม่ได้มีเพียงหนึ่งทาง การนึกถึงผลลัพธ์ในหลากหลายหนทาง หลาย ๆ วิธีไว้ล่วงหน้า ก็เป็นอีกวิธีที่จะทำให้เราเจรจาต่อรองได้ลื่นไหลมากขึ้น ถ้ามัวยึดอยู่แค่ว่าจะไปเอาผลลัพธ์นี้อยู่ผลลัพธ์เดียวและยึดติดกอดไว้ โดยไม่ทันนึกภาพผลลัพธ์อื่น ๆ ทันทีที่โดนอีกฝ่ายพลิกเกมไปทางที่เขาได้ประโยชน์ หรือเขาปฏิเสธทางที่เราเสนอไว้ เราจะตัน ไปต่อไม่ได้
ปีนี้คงเป็นปีที่หนักหน่วงสำหรับธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจด้านการท่องเที่ยว เพราะเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนทั่วโลกมากพอสมควร เห็นได้ว่า หลังจากเกิดวิกฤต พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนจากทำงานในออฟฟิศเป็นการทำงานจากบ้าน การสวมหน้ากากอนามัยกันมากขึ้น เมื่อปีนี้แค่ปีเดียวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย เทรนด์การทำธุรกิจในปีหน้าจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ วันนี้เราเลยได้นำ 8 เทรนด์ค้าปลีกจาก tinuiti เสิร์ชเอนจินมาร์เก็ตติ้งเอเจนซี่ มาเล่นสู่กันฟัง จะมีเทรนด์อะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลย เทรนด์ที่ 1 :Social Commerce เป็นโอกาสในการทำธุรกิจ ตอนนี้การซื้อของออนไลน์กำลังได้รับความนิยม และเทรนด์นี้น่าจะอยู่กับเราไปจนถึงปีหน้า จากการสำรวจของ Bazaarvoice Network พบว่า ผู้บริโภคกว่า 41% หันมาซื้อสินค้าประเภทที่พวกเขาซื้อในร้านค้าเป็นประจำบนออนไลน์ จึงเป็นโอกาสของธุรกิจที่จะนำ Social Commerce หรือ ระบบการซื้อสินค้าบนโซเชียลมีเดียมาใช้ประโยชน์ เพราะมันเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้นักช้อปสามารถซื้อของออนไลน์ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น เพียงแค่เข้ามาที่โซเชียลมีเดียของเรา ก็สามารถกดสั่งซื้อได้เลย โดยไม่ต้องเข้าไปที่เว็บไซต์อื่น เฟซบุ๊กและอินสตราแกรม เปรียบเหมือนร้านค้าแบบใหม่ที่เราสามารถปรับแต่งหน้าร้านได้ ไม่ว่าจะเป็น การใส่แบนเนอร์ รูปภาพ สี รวมถึง ปุ่มต่าง ๆ ซึ่งร้านค้าเหล่านี้จะช่วยให้เรามีโอกาสเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกได้มากขึ้นด้วย
ผ่านเวลามาแล้วเกือบปี กับวิกฤตการณ์ไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อพวกเราชาวไทยในแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินชีวิตที่ต้องเปลี่ยนรูปแบบไปภายใต้นิยามวิถีชีวิตใหม่ ที่ไม่ว่าใครต่างก็เข้าใจว่า New Normal นั้นคืออะไรโดยไม่ต้องอธิบายกันให้มากความ แต่ขณะที่หลายคนปรับตัวรับมือการใช้ชีวิตแบบ New Normal มาแล้วร่วมปี ในความเป็นจริงยังมีอีกหลายชีวิต หลายอาชีพ หลายธุรกิจ หลากกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงบาดเจ็บจากผลกระทบที่ได้รับอันสืบเนื่องมาจากการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสมหาภัย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการโรงแรม รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ที่ได้รับผลกระทบแบบเต็ม ๆ โดยข้อมูลล่าสุดพบว่าในจำนวนคนไทยที่ตกงานทั้งหมด มีมากกว่ากว่า 1 ล้านคนที่มาจากธุรกิจโรงแรม และธุรกิจร้านอาหาร จากรายงานตัวเลขที่ยังคงน่าเป็นห่วง เป็นเหตุให้แบรนด์ไทยที่อยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนานกว่า 80 ปี มีโอกาสรับรู้และร่วมก้าวผ่านวิกฤติกับพี่น้องชาวไทยมามากมายหลายครั้งอย่าง Mekhong อยากที่จะลุกขึ้นมาการสนับสนุนให้คนไทยสามารถฝ่าฟันวิกฤติการณ์ครั้งนี้ไปได้ด้วยกันอีกครั้ง จึงเป็นที่มาของการปล่อยแคมเปญ CSR ที่น่าสนใจอย่าง ‘Thai Spirit At Home’ โดยทาง คุณสรรศิริ ยอดเมืองเจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดสุรา บริษัท ไทยเบฟ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ได้เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์หลักของโปรเจกต์ ‘Thai Spirit At
การทำธุรกิจขนาดใหญ่ด้วยตัวคนเดียวนั้น พูดได้เลยว่ามันไม่ง่าย