จากดนตรีอินดี้หัวก้าวหน้าที่มาเพื่อโค่นดนตรี Punk รุ่นแรก ที่นักวิจารณ์กล่าวขานว่าเป็น “คลื่นลูกใหม่” เพราะอะไรดนตรีขบถของคนรุ่นก่อน ถึงย้อนเข็มนาฬิกากลับมาอินอีกครั้งในยุคนี้ มาทำความรู้จักแนวดนตรีที่เปรียบดั่งความหวังของทศวรรษใหม่ไปพร้อมๆกัน Post-Punk / New Wave Then – The Birth of Post-Punk แนวดนตรี Post-Punk นั้นเกิดขึ้นจากจากการต่อต้านดนตรี Punk ในยุคปลายทศวรรษที่ 70s เหตุจากวง Punk เหล่านั้น ที่มีหัวหอกอย่าง Sex Pistol / The Clash / The Damned นั้นมักจะหัวรุนแรง กักขฬะ และขวางโลกอย่างไร้อารยะ แถมบางวงยังใช้ความ Punk เล่นดนตรีราวกับคนเล่นดนตรีไม่เป็น เน้นทำตัวแปลกแยกสังคมก็ดังแล้ว กลุ่มนักดนตรีกลุ่มหนึ่งที่มีแนวคิดต่อต้านสังคมเช่นกัน แต่มีความสนใจในศิลปะ และความลุ่มลึกทางดนตรีที่มากกว่า จึงตั้งใจทำดนตรีที่อาร์ต มีความใส่ใจทางดนตรีอันซับซ้อนที่วง Punk ที่เน้นแต่ความรุนแรงสั้นกระชับจนเกินไปให้ไม่ได้ แถมยังเปิดกว้างในแนวทางที่หลากหลายและกว้างขวาง แนวเพลง Post-Punk คือ Punk
ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา มีเทรนด์ของดนตรีเทรนด์หนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือการจับมือกันระหว่างศิลปินรุ่นเก๋าในตำนาน กับศิลปินรุ่นใหม่ที่อยู่ในกระแสนิยม จนเกิดเป็นบทเพลงที่เชื่อมต่อคน 2 ยุค เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ซึ่งปรากฏการณ์นี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เรามาดูกันว่า ศิลปินทั้ง 2 รุ่นนั้นมีใครบ้าง และเพราะอะไรทั้ง 2 รุ่นถึงได้โคจรมาเจอกัน “How Not to Drown” CHVRCHES X Robert Smith (The Cure) ศิลปินที่ชี้ทางสว่างในยามที่วงถึงคราวตีบตัน เริ่มต้นกันด้วย CHVRCHES วง Synthpop รุ่นใหม่ที่ออกอัลบั้มมาได้ 3 ชุด กับ Robert Smith แห่งวง The Cure ศิลปินในตำนานที่ออกอัลบั้มมาแล้วกว่า 4 ทศวรรษ แม้ภาพลักษณ์ของศิลปินทั้ง 2 จะดูไม่น่าไปด้วยกันได้ แต่ในความเป็นจริง CHVRCHES นั้นบูชา The Cure ราชาโกธิคร็อคที่รุ่งเรืองสุดในยุค 80s
สำหรับคอเพลงที่รักการสะสม โดยเฉพาะคนที่หลงไหลในความสวยงามของแผ่นเสียงนั้น น่าจะรู้จักวันแห่งการอุดหนุนแผ่นเสียงในร้านโลก หรือ Record Store Day ซึ่งครั้งนี้ก็จัดมาเป็นครั้งที่ 14 แล้ว สำหรับคอเพลงที่ยังไม่รู้จักวันนี้ดี Unlockmen ขอพาคุณสู่โลกที่คุณจะได้เป็นแฟนตัวยงของการเล่นแผ่นเสียงอีกขั้น ส่วนคอเพลงที่รู้จักวันสำคัญแห่งชาติวันนี้แล้ว ก็เตรียมกระเป๋าสตางค์ฉีกได้เลย เพราะคอลเล็คชั่นของปีนี้ เรียกได้ว่าจัดหนักจัดเต็มกันเลยทีเดียว THE BIRTH OF RECORD STORE DAY หลายคนคงเดาไปต่าง ๆ นานาว่า วันชาติสำหรับนักฟังเพลงวันนี้ คงจะเกิดมาจาก MP3 นวัตกรรมที่มีทั้งประโยชน์ และโทษมหันต์ ได้ถือกำเนิดขึ้นและทำลายอุตสาหกรรมเพลงยุคเก่าจนย่อยยับ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม MP3 หาได้เป็นต้นตอสำคัญในการเกิดวันสำคัญวันนี้ไม่ เพราะเอาเข้าจริงนักฟังเพลงตัวยงก็ยังคงสนับสนุนผลงานของศิลปินที่เขารักอยู่ หากแต่สาเหตุหลักที่เกิดวัน RSD หรือ Record Store Day นั้นมาจากที่ร้านค้าย่อยที่มักจะถูกละเลยจากแฟนเพลง เพราะธุรกิจร้านแผ่นเสียงซีดีในยุคหนึ่งนั้นมักจะผูกขาดกับร้านค้ารายใหญ่ หรือแฟรนไชส์ที่มีกำลังทรัพย์ และสาขาที่เยอะกว่า ร้านค้าย่อย และร้านแผ่นเสียงอินดี้จึงประสบสภาวะฝืดเคือง แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่การมาของดิจิตอลมิวสิคในยุคมิลเลนเนียมนั้น ยิ่งทำให้ร้านแผ่นเสียงมากมายจำต้องปิดกิจการลง ซึ่ง Chris Brown แห่ง
10 ปีที่แล้ว หรือปี 2011 วงการดนตรีอาจจะไม่ได้แตกต่างจากยุคปัจจุบันมากนัก เราเริ่มทำความรู้จักกับการฟังเพลงผ่านสตรีมมิ่ง ขณะเดียวกัน CD เริ่มเทอะทะไปแล้วสำหรับนักฟังเพลง โลกของดนตรีร็อคเริ่มถูกสั่นคลอนจากดนตรีแนวอื่น ส่วนดนตรีพ็อพก็มีความกล้าและบ้าบิ่นยิ่งขึ้น เรามาย้อนรำลึกถึงช่วงเวลาของดนตรียุคนี้ ว่าปี 2011 วงการดนตรีมีอัลบั้มไหนที่เด็ดจนถูกกล่าวขวัญถึงมาจนปัจจุบันกันบ้าง พร้อมอัพเดทผลงานว่าปัจจุบันศิลปินเหล่านี้กำลังทำอะไรกันอยู่ Noel Gallagher’s High Flying Birds – Noel Gallagher’s High Flying Birds การประกาศออกอัลบั้มเดี่ยวของ Gallagher ผู้พี่ นับเป็นการดับฝันแฟนเพลงอย่างเป็นทางการว่า Oasis จะเป็นเพียงตำนานที่ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว (โดยที่ Gallagher ผู้น้อง อย่าง Liam ได้ชิงออกอัลบั้มก่อนในนาม Beady Eye ซึ่งกลายเป็นตราบาปมาจนถึงทุกวันนี้…เพราะแป๊ก) แม้ว่าอัลบั้มชุดแรกของ Noel Gallagher จะยังคงไว้ซึ่งกลิ่นไอของ Oasis ไม่ว่าจะเป็นซาวด์กีตาร์ที่แสนจะ Noel Rock เพราะเป็นความตั้งใจที่จะทำเพลงสำหรับอัลบั้มใหม่ของ Oasis แต่ Noel
ขณะนี้คงไม่มีกระแสไวรัลไหนที่ดังกระฉ่อนโลกไปกว่าการแสดงสด และบทสัมภาษณ์ความยาว 40 นาที ของสาวน้อยทั้ง 4 ในนาม ‘The Linda Lindas’ อีกแล้ว เพราะอะไรวงดนตรีวงนี้ถึงกลายเป็นกระแสกระฉ่อนโลก? เรามาทำความรู้จักวง Pop Punk ที่โด่งดังเพียงชั่วข้ามคืนจากบทเพลงที่เตะผ่าหมากผู้ชายเหยียดเชื้อชาติให้กองจมกับพื้น ที่ความไร้เดียงสานำพาให้รุ่นใหญ่อย่าง Tom Morello แห่งวง Rage Against the Machine ยังต้องซูฮก มาทำความรู้จักกับพวกเธอไปพร้อมๆกัน The Linda Lindas คือใคร The Linda Lindas คือ Punk Band ที่ภาพลักษณ์ดูแสนจะธรรมดา แต่สิ่งที่พวกเธอไม่ธรรมดาคือนี่คือวงหญิงล้วน…ก็ไม่แปลกใช่มั้ย งั้นถ้าพวกเธออายุน้อยล่ะ…แล้วถ้าพวกเธอคือลูกครึ่งเอเชียครึ่งละติน ที่ทำเพลงที่เป็นกระบอกเสียงให้กับคนที่ถูกเหยียดเชื้อชาติที่ตอนนี้ลุกลามใหญ่โตในอเมริกาล่ะ เริ่มจะน่าสนใจใช่มั๊ยล่ะ ใช่แล้ว พวกเธอคือ 2 ศรีพี่น้อง ที่ชวนลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนสนิทของเธอมาทำวงด้วยกัน จากความชอบในดนตรีพังค์ของสมาชิกทั้งสี่ Mila มือกลอง อายุ 10 ปี, Eloise มือเบส อายุ
ในวันที่โลกของดนตรีถูกทลายกำแพงด้วยความหลากหลาย ใครจะไปคาดคิดว่า 4 สาวจากอีกซีกโลกหนึ่ง จะนำพาภาพลักษณ์ของตัวตน และดนตรีร่วมสมัยจนสามารถปักหมุดความนิยมไปทั่วทั้งโลกได้ในระดับปรากฏการณ์ หากเอ่ยชื่อ BLACKPINK ไม่มีใครไม่รู้จักพวกเธอทั้ง 4 แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเส้นทางแห่งความสำเร็จของพวกเธอ จากเด็กน้อยฝึกหัด กว่าจะมาเข้าสู่ค่ายเพลงเกาหลี ไปจนถึงความดังระดับโลกนั้นไม่ใช่ง่าย ๆ ใครที่เคยคิดว่าแค่เต้นได้ หน้าตาดี แค่นี้ก็ดังได้ เราอยากให้มาดูกันว่าพวกเธอต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะอยู่จนถึงจุดสูงสุดขนาดนี้ ถึงแม้ BLACKPINK จะเป็นศิลปินเกาหลี แต่สาว ๆ ทั้ง 4 กลับมีที่มาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เริ่มต้นด้วย Jennie สาวเกาหลีที่ไปใช้ชีวิตในประเทศนิวซีแลนด์ตั้งแต่เด็ก / Rose สาวเกาหลีที่เกิดและเติบโตในประเทศออสเตรเลีย / Jisoo สาวเกาหลีพี่ใหญ่จากกรุงโซล และ Lisa สาวสายเลือดไทยเพียงคนเดียว ที่ต้องต่อสู้กับความเหงา ความโดดเดี่ยวจากถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อมาไล่ตามหาความฝันซึ่งไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะเป็นจริงได้หรือไม่ นี่คือสิ่งที่ทั้ง 4 ต่างรับรู้กันอย่างลึกซึ้ง โดยทั้ง 4 ข้ามน้ำข้ามทะเลจากต่างถิ่นต่างที่จนได้มาเจอกันที่ YG Entertainment เพื่อสานฝันในการเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว YG Entertainment เป็นแหล่งรวมความฝันของหนุ่มสาวทั่วโลกที่ใฝ่ฝันอยากร่วมงาน
หลังจาก COVID-19 ทำลายทุกอย่างจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติยุคใหม่ จนนำไปสู่วิถีชีวิต New Normal ที่ทุกคนจะต้องเผชิญ ทั้งการใส่แมสก์ เว้นระยะห่าง จนถึงกิจกรรมที่ผู้คนนับพันนับหมื่นต้องอยู่ร่วมกันอย่างงานคอนเสิร์ตต้องหยุดชะงัก และผู้สันทัดกรณีต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คอนเสิร์ตจะเป็นกิจกรรมสุดท้ายที่จะเกิดหลังจากรับวัคซีนจนเกิดเป็นภูมิคุ้มกันหมู่ ทำให้หลายประเทศต่างชะลอการจัดเทศกาลดนตรีจนกว่าจะมั่นใจว่าประชากรของประเทศนั้น ๆ ได้รับวัคซีนเพียงพอ แต่รัฐบาลอังกฤษ เมืองท่าแห่งวงการดนตรีกลับไม่มองอย่างนั้น พวกเขาคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่บ้านเมืองและผู้คนต้องเดินไปข้างหน้า จึงนำมาสู่การจัดเทศกาลดนตรีขนาดย่อม เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้ทั้งประชาชน นักดนตรี รวมไปถึงมวลมนุษยชาติว่า “เราพร้อมแล้วที่จะกลับมาสู่สภาวะปกติ” จนเกิดเป็นเทศกาลดนตรีจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมาใน Sefton Park เมืองลิเวอร์พูล โดยมีสักขีพยานในการรับชมถึง 5,000 คน โดยศิลปินผู้ร่วมเป็นหน่วยกล้าตายคือวง Blossoms, The Lathums และ Zuzu นั่นเอง Melvin Benn จาก Festival Republic กล่าวถึงช่วงเวลาแห่งความกดดันครั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าประเทศอังกฤษเพิ่งจะผ่านช่วงเวลาแห่งความหายนะจากผู้ติดเชื้อระดับหลักหมื่น แถมยังเป็นประเทศที่ก่อเกิดสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาระบาดที่บ้านเรา แต่ในระยะ 2-3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลก็ได้รุกหนักในการระดมกำลังปูพรมฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง และทางรัฐบาลเองที่ต้องการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน จึงเสนอโครงการนี้โดยให้ทาง Festival Republic
ในยุคสมัยที่เฮโรอีน เป็นแค่ “แป้ง” และทำคนพ้นมลทินมัวหมองไปอย่างลอยนวล ยังมีบทเพลงมากมายที่ใช้แป้ง เป็นแรงบันดาลใจจนเกิดบทเพลงฮิต ๆ มากมายที่คุณจะต้องตกใจว่า “เพลงนี้มันเป็นเกี่ยวกับโคเคนเฮโรอีนเหรอเนี่ย” วันนี้ UNLOCKMEN จึงขอแนะนำบทเพลงเหล่านี้ ที่คุณทั้ง “เฮ” และทั้ง “อิน” ไปพร้อม ๆ กัน The Beatles – Happiness Is a Warm Gun (1968) หนึ่งในบทเพลงเหงาเศร้าจับจิตที่เขียนโดย John Lennon ที่เขียนในช่วงเวลาทำอัลบั้ม White Album ที่สุดตึงเครียด ช่วงนั้นเขาห่างหายจากศรีภรรยา Yoko Ono และพบเจอคำ ๆ นี้จากบทความในนิตยสาร Warm Gun ถูกคนตีความได้ 2 นัย นัยหนึ่งคือตัวแทนของเครื่องเพศประจำตัวผู้ชาย ที่ John คิดถึง Yoko ในรสรักที่เขากับเธอเพิ่งจะเสพสมด้วยกันมาหมาด ๆ ส่วนอีกนัยยะก็เปรียบเสมือนเข็มที่เพิ่งฉีดเข้าเส้นสด
สายปั่นเตรียมประมูล เมื่อ Foo Fighters / Radiohead / Phoebe Bridgers และศิลปินสุดเจ๋งมากมายจับมือกันรังสรรค์งานศิลปะเพื่อบ่งบอกตัวตนใส่จักรยานพับ Brompton ที่มีคันเดียวในโลก เพื่อสมทบกองทุนเยียวยาหน่วยงานในภาวะซบเซาจากการร้างราในวงการคอนเสิร์ตมาปีกว่าๆ งานนี้เตรียมเฮกันได้ สำหรับสายปั่นจักรยานที่รักในการออกแบบลวดลาย และเป็นแฟนตัวยงศิลปินมากมาย เนื่องจากในปีที่ผ่านมาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าทำให้โลกทั้งใบซบเซา การเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปินต้องหยุดชะงัก และผู้คนในสายอาชีพคอนเสิร์ตต้องหยุดงานขาดรายได้ จนเกิดเป็นมูลนิธิ “Crew Nation” ที่จัดโดย Live Nation ผู้จัดคอนเสิร์ตระดับโลก เพื่อเยียวยาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทั่วโลกให้สู้กันต่อหลังจากที่ไวรัสนี้บังคับให้พวกเขาหยุดงานมาเกินปี โดยก่อนหน้านี้ก็เคยร่วมมือกับวงเคป็อประดับโลก BTS จัดประมูลงานไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ Crew Nation ก็ได้จับมือกับแบรนด์จักรยาน BROMPTON จักรยานพับสุดเก๋ และศิลปิน+ค่ายเพลงจำนวน 13 ท่านเพื่อร่วมกันออกแบบลวดลายจักรยานในสไตล์ของแต่ละคน ที่มีเพียงวงละคัน รวมเป็น 13 คัน 13 สไตล์บนโลกนี้เท่านั้น โดยรายนามศิลปินมีดังต่อไปนี้ Foo Fighters Radiohead Phoebe Bridgers Enrique Iglesias LCD Soundsystem
ปกติเวลาจะฟังดนตรี EDM หรือผลงานของดีเจที่ชื่นชอบตอนได้ฟังจากในผับ แล้วออกมาตามหาในช่องยูทูบ คุณจะนั่งดูมิวสิกวิดีโอของเหล่าดีเจหรือฟังเพลงจังหวะสุดมันเฉย ๆ ซึ่งคำถามดังกล่าวจะใช้ไม่ได้เลยกับกลุ่มดีเจญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า Candy Foxx เพราะผลงานเพลงและภาพของพวกเขาปั่นประสาท เสียดสีสังคม เล่าเรื่องผ่านเอ็มวีแบบเท่ ๆ โดยไม่เกรงกลัวดราม่าใด ๆ Candy Foxx ถือเป็นวงดนตรีน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนมกราคม 2021 แต่หากลงลึกถึงสมาชิกแต่ละคน ถือได้ว่าเป็นวงที่รวมดีเจตัวเก๋าเอาไว้แบบไม่เกรงใจอายุวงอันน้อยนิด อาทิ DJ Shacho ที่มียอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่า 8 แสนคน หรือ DJ Foy ขวัญใจสาว ๆ ที่ชอบแวะเวียนไปตามคลับในกรุงโตเกียว ผลงานเพลงของ Candy Foxx เต็มไปด้วยสีสัน ความสนุกสนาน ความหลุดโลก และโปรดักชันที่เล่นใหญ่จนหลายคนแซวว่าจะทำหนังสั้นหรือทำมิวสิกวิดีโอ แถมยังเล่าทุกอย่างที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยลงรายละเอียดหรือยุ่งเกี่ยวด้วยมากเกินไป ทั้งการวิวาทด้านวัฒนธรรมการกินของแต่ละชาติ ความรอยัลตี้ต่อซูชิไม่เสื่อมคลาย การทำให้แก๊งยากูซ่ากลายเป็นเรื่องขำขัน หรือพระแด๊นซ์ พระซอมบี้ในวัดแบบหลุดโลก หากนึกภาพไม่ออกว่าความเวอร์ของ Candy Foxx อยู่ในระดับไหน UNLOCKMEN จะไล่ให้ดูแบบเห็นภาพชัด ๆ และอย่าลืมเปิดซับไทยระหว่างรับชมด้วยนะครับ
เป็นธรรมเนียมไปแล้วในทุก ๆ ปี สำหรับรายการวิทยุที่ทรงอิทธิพลแห่งเกาะอังกฤษ ที่จะเผยลิสต์ 100 อันดับเพลงสหราชอาณาจักรยอดเยี่ยมตลอดกาล โดยการโหวตจากผู้ฟังกว่า 20,000 คน ซึ่งปีนี้บทเพลงวัยรุ่นตลอดกาล Live Forever ของพี่น้องปากมันแห่งยุค 90s ได้กลับมาขึ้นแท่นอันดับ 1 อีกครั้ง หลังจากเสียแชมป์ให้กับ Bohemian Rhapsody ของวงราชันย์แห่งราชินีไป 2 ปีซ้อน Radio X คลื่นวิทยุชื่อดัง ที่ก่อตั้ง ณ กรุงลอนดอนมาตั้งแต่ปี 1992 ในชื่อ XFM ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเป็น Radio X เมื่อปี 2015 ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดนับตั้งแต่ยุค Britpop เรืองรอง โดยปัจจุบันปรับเปลี่ยนรูปแบบนำเสนอแนวทางดนตรีที่หลากหลาย ตามการเปลี่ยนแปลงของแนวดนตรี ถึงแม้การเข้ามาแทนที่ของสตรีมมิ่งดนตรีจะมีบทบาทเหนือรายการวิทยุไปแล้ว แต่ Radio X ก็ยังยืนหยัดที่จะต่อลมหายใจของดนตรีแห่งสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะการจัดอันดับความนิยมของดนตรีจากฟากฝั่งยูเค ที่จัดประจำทุก ๆ ปีมาตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา เพื่อแสดงให้เห็นความยืนยงของซีนดนตรี
หลังจาก การประกาศแยกตัวอย่างเป็นทางการของคู่หูดนตรีล้ำอนาคตที่อยู่ภายใต้หน้ากากสุดไฮเทค Daft Punk ในที่สุดทั้งคู่ก็ประกาศข่าวดีแล้ว แม้จะไม่ใช่ในนาม Daft Punk และเป็นงานแยกกันทำเดี่ยวก็ตาม หลังจากทั้ง 2 ศิลปิน Thomas Bangalter และ Guy-Manuel de Homem-Christo ได้ระเบิดตัวตนของ Daft Punk จนไม่เหลือซากไปแล้ว ผ่านคลิปที่ชื่อ Epilogue เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพียงเดือนเดียว ทั้งคู่ก็ออกแถลงการณ์ถึงโปรเจกต์ใหม่ของตนทันทีผ่าน Mixmag แมกกาซีนดนตรีสังเคราะห์ชื่อดังของชาวดีเจ โดยกล่าวกับแฟน ๆ ว่า สบายใจได้ แม้โลกใบนี้จะไม่มีชื่อ Daft Punk เหลืออยู่แล้ว แต่พวกเขาทั้ง 2 ยังคงเดินหน้าทำงานต่อไป ภายใต้โปรเจกต์ใหม่ที่ทั้งคู่ต่างแยกกันทำของใครของมัน 2 แบบ 2 สไตล์ โดยแยกกันสร้างโปรเจกต์ดังต่อไปนี้ “ผมอยากกลับไปเป็นตัวจริง” คือคำกล่าวที่ Thomas Bangalter ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Mixmag เมื่อถามถึงบทบาทต่อไปของเขา