เมื่อปฏิทินวนมาถึงเดือนมีนาคมที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูร้อนบ้านเรา ถึงคราวที่พระอาทิตย์จะได้แผลงฤทธิ์เดชอย่างเต็มที่และสาดแสงแรงกล้าพุ่งทะยานมายังพื้นโลกแบบไม่เกรงใจใคร จริงอยู่ที่ฤดูร้อนนั้นเป็นเรื่องแสนธรรมดาที่เราต้องเจอกันอยู่ทุกปี แต่ต้องยอมรับว่าสภาพอากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ มีผลต่ออารมณ์และอาจทำให้ผู้ชายหลายคนกายร้อน ใจร้อน หรือหัวร้อนจนพาลหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องได้อย่างง่าย ๆ หนุ่มบางคนอาจเลือกดับร้อนด้วยการกระโจนลงน้ำ บ้างปรับอุณหภูมิให้ลดต่ำและนอนตากแอร์โดยไม่ก้าวเท้าออกไปไหน แต่สำหรับเราวิธีคลายร้อนที่ง่ายที่สุดคือการหอบเรือนร่างกำยำออกไปหาไอศกรีมเย็น ๆ กินให้ชื่นใจ ยอมโดนความเย็นสุดขั้วจู่โจมจนปวดหัวจี๊ดหลับตาปี๋ ดีกว่าทนร้อนเหงื่อซ่กไปทั่วทั้งตัว จริงไหมครับ? วันร้อน ๆ แบบนี้ UNLOCKMEN เลยขอชวนคุณมาลิ้มชิมเมนูของหวานเพื่อดับกระหายคลายร้อนกันที่ร้าน ‘ถ้วยถังไอติม’ ‘ถ้วยถังไอติม’ ร้านที่เสิร์ฟไอศกรีมแบบจีนคู่กับซาลาเปาไร้ไส้ หัวมุมถนนจุดตัดระหว่างซอยจุฬาลงกรณ์ 12 และถนนบรรทัดทอง เป็นที่ตั้งของ ‘ถ้วยถังไอติม’ ร้านของหวานแนวใหม่ที่เสิร์ฟไอศกรีมหวานเย็นชื่นใจหลากรสชาติคู่กับหมั่นโถว ซาลาเปาไร้ไส้ของจีนที่แทบไม่อยากเชื่อว่ามันจะเข้ากันได้ลงตัว ตัวร้านดีไซน์ออกมาแปลกตาและค่อนไปทางโบราณ ตกแต่งด้วยหน้าต่างกระจกทรงสูง ประตูกระจกขอบหนา และเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ภายใน ที่ทำให้เรานึกถึงภาพโรงน้ำชาเก่าฉากหลังของภาพยนตร์จีนสมัยก่อน แปลกที่เมื่อก้าวเข้าไปในร้านกลับรับรู้ถึงความทันสมัยของโคมระย้าที่พุ่งลงมาจากเพดานคล้ายสไตล์ลอฟต์ มีตัวอักษรจีนสีนีออนติดผนังเป็นจุดนำสายตา (และอาจเป็นมุมถ่ายรูปยอดฮิตของที่นี่) ส่วนโซนที่นั่งก็มีให้เลือกทั้งด้านนอกที่เป็นบาร์ไม้ทอดยาว และด้านในที่มีโต๊ะน้อยใหญ่ไว้รองรับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย เมนูของที่นี่จะแบ่งเป็นสามจานหลัก คือหมั่นโถว พุดดิ้ง และไอศกรีม โดยลูกค้าสามารถเลือกมิกซ์แอนด์แมตช์ไอศกรีมรสโปรดกับท็อปปิงหรือหมั่นโถวแต่ละแบบได้ตามชอบ แถมยังมีไอศกรีมรสชาติแปลก ๆ ให้เลือกอีกมากมาย ตั้งแต่ไอศกรีมรสเกาลัด ถั่วตัด นมชมพูถั่วแดง น้ำเต้าหู้งาดำ ไมโลโรงเรียน หรือแม้แต่รสชานมไต้หวันก็ยังมี
“ยานัตถุ์หมอมี แก้ฝีแก้หิด ยานัตถุ์หมอชิตแก้หิดแก้ฝี” ประโยคทดสอบการอ่านที่เราพูดเล่นกันมาตั้งแต่เด็กประโยคนี้ คงทำให้ผู้ชายหลายคนพอคุ้นชื่อ “หมอมี” กันอยู่บ้าง แม้ยานัตถุ์จะไม่ได้มีสรรพคุณช่วยแก้หิดหรือแก้ฝี แต่หมอมีที่ปรากฏในประโยคชวนลิ้นพันนี้มีตัวตนอยู่จริง หมอมีคือหมอยาชื่อดังผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาสมุนไพรจีนในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งตอนนี้บ้านเก่าแก่อายุร่วม 125 ปีของเขา ถูกเนรมิตให้กลายเป็นร้านอาหารไทยชาววังที่ซ่อนบาร์ลึกลับเอาไว้ในชั้นใต้ดิน Philtration สปีกอีซี่บาร์ในห้องปรุงยาเก่าของหมอมี ใต้โครงสร้างบ้านไม้สีขาวของร้านอาหารบ้านหมอมี เป็นที่ตั้งของ ‘Philtration’ บาร์ลับในห้องใต้ดินที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของหมอมีและศาสตร์แห่งการปรุงยาของเขา ก้าวแรกที่ผลักประตูไม้เก่าเข้าไปด้านในก็สัมผัสได้ถึงความมืดมิดและแสงไฟสลัวรางที่รอต้อนรับเราบริเวณทางเดินทรงเกือกม้า แต่เมื่อเดินงมไปตามแสงไฟส้มริบหรี่จนสุดทางกลับไม่พบประตูทางเข้าแต่อย่างใด พบเพียงชั้นไม้ปริศนาที่ดูมีเงื่อนงำ เรายืนนิ่งพินิจพิเคราะห์อยู่สักพักและใช้เวลาไม่นานนักก็หาวิธีเข้าไปข้างในได้สำเร็จ ภายในร้านเป็นห้องโถงไม้เก่าแก่ที่ดูลึกลับไม่ต่างจากทางเข้า โดดเด่นด้วยแสงไฟสีเหลืองอมส้มส่องสว่างท่ามกลางความมืด พื้นห้องมีกระเบื้องลายแปลกที่นำเข้าจากอิตาลีเมื่อหลายร้อยปีก่อนทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า บวกกับผนังบางส่วนที่บอกร่องรอยแห่งกาลเวลาได้อย่างดีเยี่ยม ทว่ามีเพดานทรงโค้งแบบสมัยใหม่เข้ามาช่วยรับน้ำหนักของโครงสร้างเดิม และเสริมกลิ่นอายร่วมสมัยจากเฟอร์นิเจอร์หนังและบาร์ไม้ทอดยาวที่ตั้งตระหง่านกลางร้าน จากตำรายาสมุนไพรสู่สูตรค็อกเทลที่ไม่เหมือนใคร เมนูค็อกเทลของ Philtration ถ่ายทอดตัวตนของหมอยาเลื่องชื่อคนนี้ออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เพราะทางร้านจะเน้นเสิร์ฟ herb cocktails ที่ครีเอตขึ้นจากสมุนไพร เครื่องเทศ และผลไม้เป็นหลัก ปริมาณเหล้าที่ใช้จึงไม่ได้หนักแน่นหัวรุนแรงมากนัก หากสร้างสมดุลให้รสเหล้าและหลากวัตถุดิบอย่างลงตัว เพื่อให้ค็อกเทลแต่ละแก้วคงสรรพคุณทางยาที่เอื้อประโยชน์ต่อสุขภาพของนักดื่ม เราประเดิมแก้วแรกด้วย ‘Sam Kok’ ค็อกเทลวรรณกรรมเพชรน้ำเอกของโลกที่ได้ Saint James Rum เป็นเบส สมทบด้วยบรั่นดีรสเข้ม Giffard Apricot