การพูดต่อหน้าที่สาธารณะ การนำเสนองานหรือขายงานไม่ว่ากับลูกค้า คนภายนอกองค์กร หรือคนภายในองค์กรถือเป็นหัวใจสำคัญที่อีกฝั่งจะซื้อไอเดียหรือโปรเจกต์ที่เรานำเสนอ แม้เนื้อหาเราจะมีคุณภาพมากแค่ไหน แต่ถ้าขั้นตอนการนำเสนอเราทำได้ไม่ดีพอ เนื้อหาดี ๆ ที่ทุ่มเทมาตลอดอาจพังทลายได้ง่าย ๆ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าการนำเสนอนั้นคือหัวใจสำคัญ เตรียมตัวมาอย่างหนัก แต่พออีกไม่กี่นาทีจะออกไปพรีเซนต์งานทีไรก็เหมือนสติจะแตก! มือสั่น ปากสั่น ที่สำคัญใจสั่นรัวเร็วยิ่งกว่าได้เดตกับสาวฮอต ในเมื่ออุตส่าห์เตรียมตัวมาอย่างดี จะมาพังเพราะเรื่องแค่นี้คงไม่ได้ จะทำยังไงดี? UNLOCKMEN มี “6 กลยุทธ์แกล้งทำเป็นมั่นใจ”ในวันที่ใจไม่ไหว แต่งานต้องดี มาฝากกัน จากนี้ไปไม่ว่าคุณจะหวาดหวั่นในสมรภูมิการพรีเซนต์สุดเดือดแค่ไหน FAKE IT UNTILL YOU MAKE IT ตามวิธีต่อไปนี้ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้อย่างราบรื่นแน่นอน สบตาผู้ฟัง ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ ต่อให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแค่ไหน หนึ่งหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ทุกคนในที่ประชุมรู้สึกว่าเราไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย คือการสบตากับผู้ฟัง เพราะดวงตาคือประสาทสัมผัสอันทรงพลังที่สุด เมื่อใดก็ตามที่เราพรีเซนต์ไป พร้อม ๆ กับที่มองเข้าไปในดวงตาของผู้ฟังแต่ละคน จะทำให้ทุกคนเชื่อว่าเราเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังนำเสนอ มั่นใจในตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาจะไม่อาจละสายตาไปจากเราได้เลย ยืนได้ยืน ยืนไม่ได้ ต้องนั่งอย่างราชา หนทางแกล้งทำเป็นมั่นใจคือการจัดระเบียบร่างกายของเรา เพราะเมื่อเวลาเราไม่มั่นใจ ร่างกายของเรามักจะฟ้องได้ชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการงอตัว ห่อไหล่
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตนกำลังใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจขาลงที่ขัดกับค่าครองชีพที่ทะยานสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นทุ่มเทกับการทำงาน และหวังว่าสักวันสิ่งที่ทำมาอย่างเหน็ดเหนื่อยจะสร้างความก้าวหน้าและมั่นคงให้กับชีวิตได้ เมื่อระบบทุนนิยมบีบบังคับจนเราไม่สามารถบริหารเวลาได้อย่างเหมาะสม แนวคิดเรื่อง Work-Life Balance ก็ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาในสังคมและมีอิทธิพลกับชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น Work-Life Balance เป็นแนวคิดที่ไม่ได้มุ่งเน้นให้ทำงานหนักอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่ได้อยากให้พักผ่อนสบายเกินจนหลงลืมหน้าที่การงาน หากตอกย้ำวิถีการดำเนินชีวิตแบบทางสายกลางที่ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป ซึ่งมันผนวกเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี แทบไม่อยากเชื่อว่าแบ่งเวลาทำงานและใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างสมดุล จะเพิ่มประสิทธิภาพของคนและประสิทธิผลของงานได้จริง แต่บริษัทไมโครซอฟต์ (Microsoft) ในญี่ปุ่นพิสูจน์แล้วว่า การทำงาน 4 วัน และหยุด 3 วัน นั้นมีศักยภาพมากกว่าการทำงาน 5 วัน และหยุด 2 วันเสียอีก! บริษัทไมโครซอฟต์ในประเทศญี่ปุ่นจัดแคมเปญ “Work Life Choice Challenge 2019 Summer” เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาโดยเพิ่มวันหยุดให้กับพนักงาน 2,300 คน จากที่เคยหยุดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เปลี่ยนมาเป็นหยุดทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ของเดือนแทน แถมยังให้พนักงานทำงานเต็มเวลาและจ่ายค่าจ้างเท่าเดิมตามปกติ นอกจากจะกำหนดระยะเวลาการประชุมสูงสุดไว้ที่ 30 นาที ยังตัดการประชุมใหญ่ ๆ ให้สั้นลง และเลือกประชุมด้วยข้อความอิเล็กทรอนิกส์แทนตัวบุคคล