เราเชื่อว่าโดยพื้นฐานของมนุษย์ ในวันเริ่มแรก ทุกคนน่าจะมีศักยภาพเท่ากัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันไปก็คือประสบการณ์ ความรู้ ต่างคนต่างมีลักษณะนิสัยขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว คนที่รู้เยอะ จินตนาการเยอะ ก็อาจจะได้เปรียบคนที่ไม่ค่อยได้เสพความรู้รอบตัวมากนัก บางคนได้ท่องโลกบ่อย เข้าถึงความรู้ได้มากกว่า ก็ได้เปรียบไป แต่ในยุคของโลก INTERNET ทำให้ข้อจำกัดตรงนั้นถูกทำลายไป ทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้เท่ากัน อยู่ที่แต่ละคนจะใช้มันเสพความรู้เรื่องอะไร แต่เคล็ดลับที่ BILL GATES และ ELON MUSK บอกไว้เสมอ ก็คือแหล่งความรู้ของพวกเค้านั้นมาจาก ‘การอ่าน’ แต่การอ่านเองก็มีทั้งอ่านแล้วได้ประโยชน์ กับอ่านแล้วได้บันเทิง เวลาเราเห็นสถิติที่บอกว่า คนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด อาจจะคิดว่าไม่จริง เราก็อ่านอยู่ตลอดเวลา อ่านทั้งวัน อ่านทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องดราม่าและข่าวบันเทิง ความต่างจากการอ่านที่ GATES และ MUSK บอกก็คือ เราจะได้ประโยชน์จากมัน ต่อเมื่อมันเป็นบทความหรือหนังสือที่มีประโยชน์ มีสาระ ช่วยพัฒนาความรู้และจินตนาการทางใดทางหนึ่ง BILL GATES บอกว่า “การอ่านเนื้อหาที่มีประโยชน์ สอนให้เราได้ความรู้ที่เราไม่รู้ มุมมองที่เราคิดไม่ถึง เหมือนเป็นการให้อาหารสมองตลาดเวลา จะบอกว่าการอ่านทำให้ผมประสบความสำเร็จ ก็ไม่ผิดเลย”
ฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้คงไม่มีใครเหมาะกับวลี ‘From Zero to Hero’ มากไปกว่า Gabriel Jesus กองหน้าดาวโรจน์ของทีมชาติบราซิลอีกแล้ว เพราะถ้าย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อน ฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลเป็นเจ้าภาพ Gabriel Jesus ในวัย 17 ปี ขณะนั้นเขาเป็นเพียงนักเตะฝึกหัดของสโมสร Palmeiras แน่นอนว่ารายได้ย่อมไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ดังนั้นเขาจึงรับจ็อบพิเศษด้วยการเป็นช่างทาสีตามกำแพงหรือพื้นถนนต้อนรับฟุตบอลโลกที่กำลังจะมาถึง แต่เพชรยังไงก็คือเพชร หลังจากจบศึกฟุตบอลโลก 2014 Gabriel Jesus ก็เริ่มโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมจนได้รับโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ Palmeiras และเขาก็ไม่ทำให้โค้ชและเพื่อนร่วมทีมผิดหวัง กระหน่ำประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนเป็นที่หมายปองจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป และก็เป็นทีมเรือใบสีฟ้า Manchester City ที่คว้าตัวเขาไปครองได้สำเร็จด้วยค่าตัว 27 ล้านปอนด์ ซึ่งนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น Gabriel Jesus ไม่หยุดการพัฒนาตัวเองไว้เท่านี้ เขาพิสูจน์ตัวเองว่าฝีเท้าเป็นของจริง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม และสุดท้ายก็สามารถพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ Premier League ได้สำเร็จ เมื่อฟอร์มดีขนาดนี้ การมีชื่อติดทีมชาติบราซิลมาลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 จึงไม่ใช่เรื่องแปลก จากวันที่เขานั่งทาสีอยู่ข้างสนามฟุตบอล ถึงวันที่เขาเป็นซูเปอร์สตาร์พาทีมบ้านเกิดลุยฟุตบอลโลกใช้เวลาเพียง 4
เจอหน้าที่ไรก็ไม่อยากจะมอง เบื่อหน้าจนไม่รู้จะหันหนีไปทางไหนดี มีคนเกลียดขี้หน้าอยู่ใกล้ตัวแบบนี้ มีแต่ชวนให้อารมณ์ขึ้นทุกคร้ังที่นึกถึง หงุดหงิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา UNLOCKMEN ขอแนะนำทางออกดี ๆ เอาไว้ดีลกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้า ทางออกแบบ Positive ไม่ชวนให้เสียอารมณ์ ไม่บั่นทอนสุขภาพจิต อย่าปล่อยให้ความเกลียดชังบั่นทอนคุณมากเกินไป เพราะมันอาจะเป็น Mind Game จากอีกฝั่งก็ได้ ที่ปั่นหัวให้คุณโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มาลอยตัวอยู่เหนือปัญหาไปด้วยกันดีกว่า ฝึกการควบคุมความเกรี้ยวกราด ใครมันกระตุ้นต่อมเกรี้ยวกราดของเราได้ดีเท่าคนที่เราเกลียดขี้หน้าล่ะ นั่นหมายความว่า เรารู้ลิมิตความเกรี้ยวกราดของตัวเองได้จากศัตรูเนี่ยแหละ ว่าถ้าตัวเราเองเปิดโหมดฉุนเฉียวเมื่อไหร่ เราจะกลายร่างเป็นปีศาจร้ายได้ถึงเลเวลไหน หรืออาจจะเป็นแค่ความฉุนเฉียวเพียงเล็กน้อยก็ได้ มันขึ้นอยู่กับเรานี่แหละที่จะควบคุมมันได้มากแค่ไหน พอมันเป็นอย่างงั้นแล้ว ตรงนี้มันก็กลายเป็นจุดอ่อนของเราอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าศัตรูรู้ว่าทำให้เราเดือดได้ อาจจะยิ่งสุมไฟให้เราเป็นบ้า เพื่อให้เราเสียศูนย์ในการคุมอารมณ์ไปเลย ลองเปลี่ยนจากความฉุนเฉียวเมื่อเจอหน้า ให้เป็นบททดสอบการควบคุมอารมณ์ของเรา ยังไม่ได้ต้องลดลงปุบปับก็ได้ แค่ให้เราไม่บ้าจี้ไปตามเกมที่ฝั่งนู้นปั่นหัวเราก็พอ กระตุ้นให้เราอยากก้าวผ่านคำดูถูก คนเกลียดขี้หน้ากัน คงไม่ได้มีคำชมออกจากปากถึงกันอยู่บ่อย ๆ หรอก การได้ยิน Hate Speech จากคนที่ไม่ถูกกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แม้จะชวนหงุดหงิดไปบ้าง ก็อย่าเก็บเอามาคิดในแง่ลบให้มันบั่นทอนตัวเอง ลองเปลี่ยนเป็นพลังเอาไว้ลบคำสบประมาทดูสิ หากเราโดนสบประสาทเรื่องความสามารถ หรือปมด้อยใด ๆ เป็นโอกาสดีด้วยซ้ำที่เราจะได้เห็นจุดบอดของตัวเอง แล้วเอามันมาพัฒนาตัวเองเพื่อเป็นการตอกกลับฝ่ายนั้นว่าเราเปลี่ยนได้ ง่าย
แด่ปีหมา 2018 ปีที่ใคร ๆ ก็จะมาแย่งงานกู เด็กจบใหม่เจ๋ง ๆ ว่าเยอะแล้ว AI ก็ยังเก่งกว่ากูด้วย ชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะลุกขึ้นสู้เพื่อคว้างานที่ใช่มาให้ได้ หรือถ้ายังทำงานที่เดิมไม่ย้ายไปไหนพวกเราก็ยังต้องสู้ต่อไปอีกเพราะปัญหามันจะดาหน้าเข้ามาอีกเพียบ ทว่าก่อนจะสู้ ขุดความสามารถมาใช้ให้หมดแม็กซ์ เราต้องรู้ด้วยว่าศึกหางานครั้งนี้อะไรบ้างที่เราต้องเผชิญ จะได้รับมือได้ไหว และนี่คือ 5 ศัตรูของพวกเรา บอกเลยว่ามีมากกว่าไอ้หนุ่มหน้าใสที่นั่งข้าง ๆ รอสัมภาษณ์แน่นอน ทัศนคติขี้แพ้ต่องานไม่ตรงสาย ความคิดลบเกิดได้เสมอ โดยเฉพาะกับเรื่องงาน หลายครั้งที่เรามองว่ากูมันธรรมดา คนอื่นเก่งกว่าเยอะ และเมื่อเจอ job description ไหนที่ไม่เหมือนกับงานที่เคยทำ เราจะรีบบอกตัวเองทันทีว่ากูไม่เหมาะกับงานนี้ ท้ังที่ความเป็นจริงโอกาสมันอยู่ตรงหน้าถ้าเรารู้จักวิธีประยุกต์ เราก็มีโอกาสจะข้ามสายงานไปทำอาชีพอื่นได้ Rudeth Shaughnessy Sr. Editor จาก Copy My Resume ให้ความเห็นว่าเวลาเราหางานเรามักจะดิ่งไปหางานที่มันตรงกับความสามารถที่เรามีเท่านั้น และกลัวเกินกว่าจะส่งเรซูเม่ไปให้ที่ใหม่ที่อยากทำเพราะคิดว่าประสบการณ์จากงานเดิมที่เคยทำมันไม่ใกล้เคียงเอาเสียเลย ดังนั้น เมื่อเจอศัตรูเรื่องนี้สิ่งที่เราต้องทำคือการเผชิญหน้ากับมันตามที่ Rudeth บอกว่า “Candidates shouldn’t be afraid to apply for
“เพราะเป็น Tech จึงเจ็บปวด” ท่ามกลางการโหมกระพือว่า เฮ้ย! ยุคนี้มัน Golden Age ของเด็กสาย Tech จบมายังไงก็ได้งาน มีแต่คนแย่งตัว คนส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยรู้ว่าสายอาชีพอย่างเราพอจบมามักเจอมรสุม “งานไม่ตรงปก” กับเขาเหมือนกัน ถ้าไม่จั่วหัวว่าเป็นบริษัท TECH ตรงสายแท้ ๆ แม้หน้า JD (job description) ใส่รายละเอียดล้ำแค่ไหน แต่ชีวิตจริงอาจจะต้องไปเป็น “เด่นชัย” ในแฟนเดย์หนัง GTH แก้ปัญหาแบบคนซ่อมคอมในบริษัท ไม่เท่ ไม่คูล และที่สำคัญคือ Tools ไม่ถึง เรียกได้ว่าดับไฟของเด็กจบใหม่เสียเหี้ยนเตียน “ไปธนาคารดิ” อยู่ ๆ คำ ๆ นี้มันก็ผุดขึ้นมา ทั้งที่มันไม่เคยเป็น Key message ในใจ แต่จะด้วยอาการอยาก To be Continue จากคราวที่แล้วที่ UNLOCKMEN ได้ไปเปิดโลกเรื่อง Cashless Society หรือถ้าจะเรียกให้ถูกว่าอยากลองของอีกทีก็ไม่ผิดนัก
ความเครียดจนปวดหัว ความกังวลจนมวนท้อง และความตื่นเต้นจนตัวสั่น เป็นความรู้สึกปกติของมนุษย์ที่มักจะเกิดขึ้นก่อนที่จะเผชิญกับสิ่งท้าทาย ถ้ามองในแง่บวก ความรู้สึกดังกล่าวนั้นก็พอที่จะสะท้อนความตั้งใจจริงของเราที่จะฝ่าฟันมันไปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องชีวิต หรือเรื่องใด ๆ ที่มีความหมายพอที่เราจะมุ่งมั่นกับมัน แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือความกลัวที่จะลงมือทำสิ่งใหม่ โปรเจ็คต์ที่คิดไว้ก็ไม่กล้าทำเสียที กลัวเจ๊ง กลัวไม่เท่ กลัวเขว กลัวมันออกมาบูด ๆ สุดท้ายไม่ยอมย้ายตูดออกมาจาก safe zone แล้วลงมือทำซะ เพราะกลายเป็นคนที่วิตกกังวลเกินเหตุ ถ้าเป็นแบบนี้นาน ๆ เข้า อาจจะทำให้เราไม่มีการพัฒนาตัวเองได้ ทีมงาน UNLOCKMEN เชื่อว่าผู้ชายทุกคนมีศักยภาพ แต่อาจจะมีความรู้สึกบางอย่างที่มาขวางกั้นการปลดล็อกตัวเอง จึงขอนำเหตุผลหลักที่ทำให้เราไม่กล้าลงมือทำมาตีแผ่ และไอเดียที่จะช่วยเปลี่ยนมุมมองให้คุณลุยอย่างไม่กลัวมาแนะนำกัน ตามนี้เลยครับ “มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย” เรื่องเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย นั้นเราอาจควบคุมไม่ได้ แต่ไอ้ประโยคที่ว่า “มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย” นี่แหละ ทำให้คนเราขาดพลังในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ มาเยอะแล้ว ถ้าเราคิดว่าความฝันของจะกลายเป็นความจริงจากการใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในเวลาว่าง แบบนี้คิดใหม่ดีกว่า เราต้องทุ่มเทสุดตัวเพื่อเป้าหมายของเรา ถ้าแค่ครึ่งหนึ่งของผลงานที่ออกมาก็พาเราเซ็งแล้ว ก็อย่าทุ่มเทแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ และถ้ารู้สึกไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เป็นอยู่
คุณว่าที่มาของ “อำนาจ” ที่ทำให้คนแต่ละคนแตกต่างกันคืออะไรหากไม่นับรวมต้นทุนที่บางคนคาบติดตัวมาตั้งแต่เกิดอย่างทรัพย์สินเงินทอง ถ้าคำตอบของคุณคือ “ความสามารถ” หรือทักษะที่เราจะวัดกันจากผลงานอย่างเดียวมันก็ออกจะเป็นการฝันกลางวันไปหน่อย เพราะในโลกความเป็นจริง “คนเก่ง” ที่ไม่ได้ไปต่อ กองตายเกลื่อนมีอยู่เป็นกองทัพเพราะขาดสกิลสำคัญคือ “การนำเสนอความเก่ง” หรือ “การสร้างอำนาจจากคำพูด” กว่าจะได้แสดงความเก่งสู่สายตา “คำพูด” มันจึงต้องผ่านด่านก่อน เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ไต่อันดับขึ้นไปท็อปฟอร์ม โดดไปอยู่แนวหน้าที่พูดอะไร แบบไหนใครก็ฟังก็เชื่อ เราคัดวิธีสร้างความมั่นใจมาให้ทดสอบด้วยตัวเองกันแล้ว บอกเลยว่างานนี้ดึง insight มาจากการวิเคราะห์เหล่า CEO ที่เคยให้ข้อมูลกับการนำเสนอของ IPO road-show หรือการขายหุ้นสดใหม่ที่ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้ว่ามันรุ่งหรือร่วง ซึ่งแค่ 30 วินาที นักลงทุนก็รู้ทันทีว่าคำพูดพวกนั้นจะแหกกระเป๋าพวกเขาไปได้หรือเป็นแค่เรื่องแหกตาปาหี่ จากปัจจัยการมองเพียง 5 อย่างนี้เท่านั้น ชุดเนี้ยบกว่าคนทั้งห้อง 25 % เลิกพูดเถอะว่าแต่งตัวยังไงก็ไม่สำคัญ หากกางเกงเจเจหรือขาก๊วยที่สวมมามันไม่ได้ยัดเงินตุงมาเต็มกระเป๋ากางเกง เพราะทันทีที่เดินก้าวเข้ามาในห้องเพื่อจะพูดนำเสนออะไรก็ตาม คนเขาก็มองและตัดสินคุณตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว เพราะฉะนั้นความประทับใจแรกและความเป็นมืออาชีพเลยเกาะอยู่ตามเสื้อผ้า ซึ่งคีย์สำคัญมันอยู่ที่ 25% ที่คุณต้องบวกมันเพิ่มขึ้นมาให้เหนือกว่าคนทั้งห้อง ต้องมีสไตล์กว่า ต้องเป็นทางการกว่า นั่นคือการช่วงชิงความเชื่อที่ดีได้ EXPERT RECOMMEND: Matt Eversmann
เรื่องงานผู้ชายอย่างเราไม่มีหวั่น เรื่องเล่นผู้ชายอย่างเราก็ไม่กลัว แต่ถ้าพูดถึงช่วงเวลาพักในวันทำงานผู้ชายอย่างเรามักจะงง ๆ ว่าจะกินข้าวแล้วเล่นมือถือดีไหม ? จะพูดคุยวางแผนงานกับเพื่อนในออฟฟิศโอเคหรือเปล่า ? หรือจะหอบหมอนไปแอบงีบชาร์จพลังไปเลย ? เพราะเวลาพักที่มีมากสุดแค่ 60 นาทีที่จะพักยังไงก็ดูไปไม่สุดทาง ยิ่งเวลาพักช่วงบ่าย 30 นาที หรือเวลาที่เราพักเอง 5-15 นาทีซึ่งดูน้อยนิดจนนั่งถอนหายใจก็หมดเวลาแล้วก็ยิ่งทำให้ผู้ชายอย่างเราต้องกุมขมับว่าจะใช้เวลาพักเหล่านี้ไปกับอะไรดี ? ที่สำคัญใช้เวลาพักอย่างไร ถึงจะกลับมาปั่นงานได้เต็มสูบ เรามีสูตรลัดมาให้เลือกใช้กัน พัก 5-15 นาที : จิ๋วแต่แจ๋ว ถ้าขยับตัว ทำสมาธิและมองต้นไม้ แม้เวลา 5-15 นาทีจะดูเป็นเวลาที่ไม่มากและไม่สำคัญเอาเสียเลย แค่ใช้เวลานั่งดูลิสต์สิ่งที่ต้องทำหรือตอบอีเมลแป๊ป ๆ ก็หมดเวลาแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง Maura Thomas ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับการทลายกำแพงในการทำงานบอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการพัก 5-15 นาทีคือ “ต้องพาตัวเองออกไปเคลื่อนไหว” โดยอาจจะเดินขึ้นลงบันไดสัก 1-2 ชั้น เดินออกไปนอกออฟฟิศสักหนึ่งช่วงตึก หรือแม้แต่ยืดแข้งยืดขาอยู่ในออฟฟิศก็ได้ การเคลื่อนไหวเหล่านี้จะช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการโฟกัสให้คุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนั้นการสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำสมาธิกับตัวเองอาจจะ 2 นาที หรือมากกว่านั้นก็จะช่วยให้การกลับมาทำงานเป็นไปอย่างสดชื่นมีชีวิตชีวามากขึ้น
ผู้ชายสายบ้าพลังที่ทำงานเต็มสูบมาโดยตลอดอย่างเรา มักชินกับวิธีคิดที่ว่าอารมณ์ดีคือพลังบวก เราต้องอารมณ์ดีตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่เกิดอารมณ์ลบ ๆ อารมณ์แย่ ๆ ขึ้นมาเราเลยยิ่งหัวร้อนหงุดหงิดจัดการตัวเองไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าอารมณ์เชิงลบเหล่านี้แม่งไร้ค่าจริง ๆ แต่ UNLOCKMEN อยากให้ปรับความคิดใหม่ เพราะอารมณ์ลบ ๆ มันก็สำคัญเหมือนกัน เพราะมันเป็นสัญญาณที่กำลังเตือนให้เราปรับตัวกับอะไรบางอย่างตรงหน้า แต่ถ้าไม่รู้ว่ามันกำลังเตือนอะไรวันนี้ UNLOCKMEN จะมาตีแผ่ให้เห็นกัน ความโกรธคือเครื่องเตือนถึงความไม่ยุติธรรม! ความหัวร้อนอย่างอารมณ์โกรธมักเป็นอารมณ์ลบอันดับต้น ๆ ที่ถูกสังคมมองว่าควรสะกดมันไว้ให้มิด อย่าได้แหลมขึ้นมาให้ใครเห็นเห็นเป็นอันขาด ยิ่งบ้านเราที่พุทธศาสนามักพูดว่าโกรธคือโง่ด้วยแล้ว เราจึงมองอารมณ์โกรธในแง่ลบตลอดมา แต่จริง ๆ แล้วความโกรธช่วยกระตุ้นและขับเคลื่อนไปสู่การกระทำบางอย่าง รวมถึงคอยบอกเราว่าเมื่อไหร่ได้เวลาที่ต้องวางขอบเขตให้ชีวิตการทำงานแล้ว เพราะเมื่อเราโกรธนั่นแปลว่ามีใครบางคนกำลังล้ำเส้นความอดทนที่เราตั้งไว้ขึ้นมา ที่สำคัญความโกรธนี่แหละที่จะเป็นแรงกระตุ้นให้เราเรียกร้องอะไรบางอย่างเมื่อความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ความโกรธจึงเป็นสัญญาณสำคัญในการบอกว่ามีคนกำลังล้ำเส้นเราอยู่ สิ่งที่เราต้องดูคือ เราวางเส้นไว้แคบเกินไปไหม ? ขยายเส้นได้หรือเปล่า ? แต่ถ้าเรามั่นใจว่าเส้นเราคือมาตรฐานปกติแต่มีคนล้ำเข้ามา นั่นแปลว่าได้เวลาลงมือเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองแล้วล่ะ ความวิตกกังวลเป็นสัญญาณว่าเราจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาด หลายครั้งเวลาจะทำโปรเจกต์ใหญ่ ความวิตกกังวลมักจะมาเยือน แม้หลาย ๆ คนจะบอกว่า โธ่ ถ้าคุณเตรียมตัวดีคุณจะไม่วิตกกังวลเลย ซึ่งไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะบางคนต่อให้เตรียมตัวดีแค่ไหน ความวิตกกังวลก็ยังตามติดเหมือนวิญญาณอาฆาตอยู่ดี อย่ามัวคิดว่ามันทำให้ทุกอย่างพัง เพราะจริง ๆ
“ความไม่แน่นอน คือความแน่นอน” นี่คือประโยคเตรียมใจที่ใช้ได้กับทุกเรื่องบนโลกที่โคตรไม่แน่นอนใบนี้ หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องงาน ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม แต่เหตุการณ์สุดเซ็งอย่างโดนไล่ออก โดนเลย์ออฟ ยังคงเป็นเรื่องนอยด์ ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน เพราะฉะนั้นการหางานใหม่ย่อมเกิดขึ้นทุกนาทีเช่นกัน ซึ่งเราอาจจะคุ้นชินกับวิธีเดิม ๆ อย่างท่องเว็บไซต์หางาน เข้าร่วม networking event ต่าง ๆ อัพเดท resume แล้วส่งอีเมลสมัครงานแบบกราด ๆ รอ HR บริษัทนั้น ๆ โทรมานัดสัมภาษณ์ แต่สำหรับผู้ชายที่ล้มแล้วลุกไวอย่างเรา คงจะไม่ใช้วิธีการแบบทั่วไปที่ดูเหมือนกับเป็นการรอคอยโอกาส แต่เราจะพัฒนาตัวเองให้มีคุณค่ามากขึ้น และหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการหางานใหม่ ชาว UNLOCKMEN ที่กำลังหางานใหม่อยู่ และเห็นด้วยว่าเราควรเงยหน้าขึ้นสู้ ลองทำตามวิธีการเหล่าที่เรานำมาแนะนำดู แล้วจะรู้ว่าคุ้มตั้งแต่ยังไม่รู้ผล รู้จักการขายตัวเองให้เจ๋งพอ “สิ่งที่จำเป็นมาก ๆ สำหรับคนที่กำลังหางานใหม่ก็คือความพร้อมในตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘ทำไม ?’ ” Mark Anthony Dyson โค้ช และผู้ก่อตั้ง Voice of Job Seekers ให้ความเห็นที่สนับสนุนวิธีการแรก คำถามเบสิคแต่ลึกซึ้งที่เรามักจะถูกถามเวลาสัมภาษณ์งานก็คือ “ทำไมคุณถึงอยากทำงานนี้
ขึ้นแท่นเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาลแบบไม่มีใครกล้าเทียบไปแล้วสำหรับ One Piece เรื่องราวของกลุ่มโจรสลัดที่นำโดยมังกี้ ดี ลูฟี่ และออกเดินทางสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่เพื่อตามล่าความฝันในการเป็นจ้าวแห่งโจรสลัด โดยล่าสุดซีรีส์การ์ตูนเรื่องนี้ทำยอดขายรวมทั่วโลกกว่า 440 ล้านเล่ม ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง Dragon Ball ซึ่งทำยอดขาย 240 ล้านเล่มแบบไม่เห็นฝุ่น อะไรคือปัจจัยของความสำเร็จนี้? หนึ่งในวลีที่เหล่าผู้ประสบความสำเร็จมักจะพูดกันเสมอคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการจะประสบความสำเร็จนั้นคือคุณต้องคลั่งไคล้กับสิ่งที่คุณทำ ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องนี้ Eiichiro Oda ผู้เขียน One Piece ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน เราไปดูกันดีกว่าเคล็ดลับและวิธีการทำงานของเขากัน ว่ากว่าจะพาการ์ตูนเรื่องหนึ่งเดินทางขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลกได้ต้องฟันฝ่าอะไรมาบ้าง เพราะการเดินทางแสนยาวไกลจึงไม่อาจพักผ่อน “ทำไม One Piece ออกช้าจังไม่ทันใจเลย”, “One Piece อาทิตย์นี้งดอีกแล้ว เซ็งว่ะ” ถ้าคุณเคยเป็นคนหนึ่งที่เคยมีความคิดแบบนี้ลองฟังความจริงข้อนี้ก่อนรับรองว่าความคิดคุณจะเปลี่ยนไปแน่นอน ชีวิตประจำวันของชายวัย 43 ปีนาม Eiichiro Oda เริ่มต้นลุกจากเตียงตั้งแต่ตี 5 ฟ้ายังไม่ทันสว่างด้วยซ้ำ และเริ่มต้นทำงานทันทีโดยไม่ลุกไปไหน ไม่มีการพัก เว้นแต่ตอนทานข้าวหรือเข้าห้องน้ำเท่านั้น จนกระทั่งเวลาตี 2 เขาถึงจะลุกจากโต๊ะทำงานไปนอน สรุปแล้ว Eiichiro Oda ทำงานวันละ 21
เราเชื่อว่าทุกวันนี้มีคนพยายามเลิกสูบบุหรี่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อตัวเองหรือคนรอบข้าง ทว่าเรากลับพบว่ามีหลายคนต้องล้มเลิกความตั้งใจไปกลางคัน เพราะมันเป็นสิ่งที่ยากกว่าที่คิด เวลาเลิกจะทีต้องเจอสภาวะมึนศีรษะ เหม่อลอย บางคนถึงกลับนอนไม่หลับ แต่เชื่อเลยว่าถึงลำบากยังไงมันก็คุ้มค่ากับการเลิกได้อย่างแน่นอน เนื่องจากการเลิกสูบบุหรี่นั้น นอกจากจะดีกับตัวเองแล้ว ยังมี 5 เหตุผลที่จะทำให้ชีวิตการงานดีขึ้น เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ที่กำลังคิดจะเลิก ได้มีแรงบันดาลใจมากขึ้น ทำงานไปพร้อมร่างกายแข็งแรง ร่างกายแข็งแรงก็มาพร้อมกับจิตใจอันสมบูรณ์ เรื่องแบบนี้มันส่งผลดีหลาย ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ชีวิตเซ็กซ์หรือหน้าที่การงาน นอกจากนั้นยังเชื่อมโยงกับอารมณ์กระตือรือร้นและความทะเยอทะยานให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีผลต่อการทำงานโดยตรง แต่ทว่าคนที่ชอบดูดบุหรี่อาจจะคาดไม่ถึงว่ามีผลกระทบพวกนี้ด้วย เพราะการสูบบุหรี่มันเหมือนการไปหยุดยั้งสิ่งดี ๆ เหล่านั้นไว้ แล้วแทนที่ด้วยความง่วงและอ่อนเพลีย มันเหมือนกับขโมยตัวจิ๋ว ที่ค่อยเอาพลังงานล้ำค่าในตัวเราไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว และมันยังไปเป็นอุปสรรค์ต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะ กล้ามเนื้อ รวมทั้งสมอง ส่งผลให้ผู้สูบบุหรี่ไม่สามารถโฟกัสการทำงานได้ดีเท่าที่ควรจะเป็น ให้ความเชื่อในตัวคุณเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ ความมั่นใจเป็นส่วนผสมสำคัญในชีวิตลูกชายอย่างเรา เพราะไม่ว่าจะออกไปทำงาน เจรจาต่อรอง หรือ แม้กระทั่งจีบสาวล้วนแต่ต้องการความมั่นใจในตัวเองแบบสุด ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่เราคาดหวังเอาไว้ จนหลายครั้งเราต้องใช้ของแบรนด์เนม สินค้าหรูหรา หรือแม้กระทั่งเครื่องรางของขลังเพื่อเพิ่มความรู้สึกดี แต่ทว่ากลับมีบางคนตกม้าตายอย่างไม่รู้ตัวจากกลิ่นปากหรือซอกฟันที่ดำ ที่มาพร้อมการสูบบุหรี่เพราะมีคราบเผาไหม้ของน้ำมันดิบและนิโคติน ซึ่งเป็นกลิ่นสุดปวดหัวของคนไม่สูบบุหรี่