ก่อนโบกมือลาจากเดือนกุมภาพันธ์แห่งความรักไป UNLOCKMEN อยากชวนมาละเลียดรสแอลกอฮอล์เข้มขมที่หนุ่มนักดื่มทุกคนหลงใหล พลางฟังดนตรีแจ๊สลื่นหู ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกของ ‘Crimson Room’ บาร์เหล้าย้อนยุคที่จะพาคุณย้อนวันวานหวาน ๆ ผ่านแอลกอฮอล์แก้วขมปนอร่อย Crimson Room บาร์แจ๊สสไตล์ Gatsby แห่งปี 1920 เมื่อแหวกผ้าม่านสีแดงสดและเลี้ยวสลับซ้ายขวาไปตามทางแคบ คุณจะพบกับบาร์เหล้าที่ถอดแบบงานดีไซน์ของโรงละครและโถงแสดงดนตรีหรูหรามาได้อย่างแนบเนียน บรรยากาศภายในตระการตาราวกับบาร์แห่งนี้หลุดมาจากยุคใดยุคหนึ่ง จริง ๆ แล้ว Crimson Room ได้แรงบันดาลใจมาจากยุค Gatsby ในช่วงปี 1920 ซึ่งเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ผู้คนในตอนนั้นจึงหลงใหลแสงสี ความสนุกสนาน และมองหาความสุขเพื่อทุเลาประสบการณ์เลวร้ายจากภัยสงคราม ยุคนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นยุคแห่งเสรีและดนตรีแจ๊สไปโดยปริยาย โซนที่นั่งแบ่งเป็นบาร์เครื่องดื่ม บาร์ยาวด้านบน ไล่ไต่ระดับลงมาถึงโซนโต๊ะหินอ่อนครึ่งวงกลม และโต๊ะชิดติดเวทีแสดง นอกจากพรมปูพื้นและเบาะนั่งกำมะหยี่สีแดง ยังมีราวเหล็กทองเหลืองที่เลื้อยวนไปตามโต๊ะต่าง ๆ เสริมบรรยากาศภายในร้านให้หรูหรามีระดับ ผนังของร้านออกแบบด้วยส่วนเว้าโค้งที่รับกันกับเสียงดนตรี อาจทำให้คุณด่ำดิ่งลงไปในบทเพลง หรือฟังดนตรีแจ๊สได้อย่างไพเราะยิ่งขึ้น แถมตามผนังและระหว่างทางเดินยังประดับประดาแสงไฟสลัวราง เหมาะแก่การสั่งค็อกเทลหนัก ๆ สักแก้วมานั่งละเลียดจนหมดคืน จากค็อกเทลดั้งเดิมสู่ซิกเนเจอร์ค็อกเทลยุคใหม่ไม่เหมือนใคร Crimson Room มีเมนูเครื่องดื่มให้เลือกมากมาย ตั้งแต่แชมเปญ
เข้าสู่เดือนแห่งความรักอย่าง ‘กุมภาพันธ์’ ทั้งที UNLOCKMEN ก็ไม่พลาดที่จะพาหนุ่มนักดื่มของเราไปลิ้มชิมรสแอลกอฮอล์เข้มขมที่คุ้นเคย ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นจากเสียงคลาริเน็ต ทรัมเป็ต ทรอมโบน ดับเบิลเบส เปียโน กีตาร์ กลอง และแซกโซโฟนที่สอดประสานรับส่งกันไปมา จนเกิดเป็นดนตรีแจ๊สโรแมนติกเข้ากับเดือนแห่งความรักเดือนนี้เป็นที่สุด แต่ถ้าจะพูดถึงตำนานบาร์แจ๊สในประเทศไทย คงมีเพียงไม่กี่ร้านที่โดดเด่นและมีสไตล์เท่ ๆ แบบที่เราโปรดปราน และเชื่อว่า ‘Smalls’ บาร์แจ๊สเล็ก ๆ ในย่านสาทร ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านที่ผู้ชายหลายคนหลงใหล หรือถ้าลองไปแล้วอาจหลงรัก ‘SMALLS’ บาร์แจ๊สในตำนานที่ยังหายใจและบรรเลงเพลงมาเกือบ 6 ปี Smalls เป็นบาร์แจ๊สที่ตั้งอยู่หัวมุมตึกริมถนนเส้นหนึ่งในย่านสาทร นอกจากจะเป็นหนึ่งในเก้าบาร์ที่ CNN ยกนิ้วว่าสวยที่สุดในกรุงเทพฯ แล้ว ที่นี่ยังโด่งดังจากทั้งคลาสสิกและซิกเนเจอร์ค็อกเทลรสหนักแน่น แถมยังเป็นบาร์เก่าแต่เก๋าที่บรรเลงดนตรีแจ๊สมาเกือบ 6 ปี แม้บรรยากาศนอกร้านจะคึกคักและมากไปด้วยมนุษย์ออฟฟิศชาวสาทร แต่เมื่อผลักประตูบานเล็ก ๆ เข้ามาในร้าน ราวกับได้หลุดออกมาอีกโลกที่ไม่คุ้นตาแต่รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ภายในร้านตกแต่งด้วยผ้าม่านสีแดงเด่น ตัวร้านแบ่งเป็นสามชั้น แม้ชั้นล่างจะมืดกว่าชั้นอื่น ๆ แต่ก็มีแสงสลัวประดับประดาไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อมอบความสว่างไสวและทำให้เราพอมองเห็นเคาน์เตอร์บาร์ไม้สไตล์วินเทจที่ตั้งตระหง่านกลางร้าน ตลอดสามชั้นมีภาพถ่ายและภาพวาดศิลปะจากฝีมือเจ้าของร้านทั้งสอง แถมนอกร้านยังดีไซน์ให้เป็นแกลเลอรีขนาดย่อม เปิดโอกาสให้ศิลปินนำผลงานของตนมาจัดแสดงและสับเปลี่ยนหมุนเวียนทุก ๆ
ในยุคสมัยที่มีคาเฟ่เปิดใหม่เกิดขึ้นมากมาย แถมไอเดียแต่ละร้านก็ล้วนแล้วแต่แปลกใหม่น่าสนใจ จนคุณเองก็อยากจะลองเข้าไป Check-in ด้วยตัวเองดูสักครั้ง แต่ก่อนจะได้ลิ้มรสชาติอาหารให้ชื่นใจ ดันต้องมาสะดุดเพราะ ‘ขนาดของพื้นที่’ ไม่ว่าเมนูเด็ดจะเย้ายวนใจเพียงใด หรือร้านจะตกแต่งสวยงาม รสนิยมตรงจริตคุณเพียงไหน ความคับแคบจอแจก็พาลจะทำให้ทุกอย่างที่กล่าวมาเสียอรรถรสลงในทันที หากคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังมองหาคาเฟ่ที่มีครบทั้ง บรรยากาศ ความสวยงาม รสชาติอาหาร รวมไปถึง ‘ขนาดของพื้นที่’ ที่เพียงพอ ROCCA BKK คาเฟ่โปร่ง ตกแต่งสไตล์ Loft ณ ซอยพหลโยธินแห่งนี้ อาจตอบโจทย์คุณได้ครบจบในที่เดียว ROCCA BKK ถือกำเนิดขึ้นมาจากการรีโนเวตโกดังเก็บสินค้าเก่าให้กลายเป็นพื้นที่ใช้สอยแบบมัลติฟังก์ชัน โดยมีคอนเซ็ปต์หลักคือความเป็น “แกลเลอรี” มากกว่าจะเป็นเพียงโชว์รูมสินค้าทั่ว ๆ ไป ‘กระเบื้อง’ ทุกชิ้นจะถูกจัดวางให้ดูราวกับเป็น ‘รูปวาด’ บนผนังแกลเลอรี แม้ว่าคุณจะไม่ได้เข้าไปเพื่อซื้อสินค้า ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับความสวยละเมียดละไมของกระเบื้องแต่ละชิ้นได้ไม่ต่างจากการชื่นชมผลงานศิลปะ เนื่องจาก Rocca BKK ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย ส่วนอื่น ๆ ของร้านจึงสามารถเป็นได้ทั้งพื้นที่สำหรับคาเฟ่ และ Co-Working Space ที่ทั้งโล่งโปร่ง กว้าง บรรยากาศสบายตาด้วยเพดานยกสูงและกระจกใสขนาดใหญ่ เปิดรับแสงแดดอ่อน
ตราบเท่าที่ความขมปนอร่อยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังเป็นรสชาติที่ถูกปากและถูกใจผู้ชาย UNLOCKMEN ก็ไม่เหน็ดเหนื่อยที่จะเสาะหาบาร์เหล้าเจ๋ง ๆ และค็อกเทลแก้วพิเศษจากทั่วกรุงเทพฯ มาแนะนำให้หนุ่มนักดื่มทุกคนได้รู้จัก ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านนี้ต้องยอมรับว่ามีบาร์เหล้าเท่ ๆ เปิดใหม่หลายแห่ง แต่ไม่ใช่ทุกบาร์จะออกแบบร้าน เสิร์ฟเครื่องดื่ม หรือบรรเลงบทเพลงได้ถูกจริตกับไลฟ์สไตล์แมน ๆ ของผู้ชายเรา ก่อนหมดปี 2019 นี้ UNLOCKMEN เลยอยากชวนหนุ่ม ๆ มาฉลองส่งท้ายปีกับ 5 บาร์เหล้าสุดเจ๋งที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ผู้ชาย และเรายกย่องให้เป็น Mancave of the Year เชื่อว่าหนึ่งในร้านเหล่านี้ต้องถูกใจพวกคุณแน่นอน Lennon’s เริ่มต้นที่ Lennon’s บาร์ลับยุค 70s ใจกลางเพลินจิตที่รวบรวมตลับเทปและแผ่นไวนิลไว้กว่า 6,000 แผ่น บรรยากาศของร้านตกแต่งให้ดูย้อนยุคและสะท้อนความเป็น Art Deco ความพิเศษของที่นี่คือทุกวันอังคารถึงวันเสาร์จะมีดีเจมาสปินแผ่นไวนิล เพื่อคงความเป็นแอนะล็อกเอาไว้ โดยปราศจากการเล่นเพลงดิจิทัล พร้อมใช้เครื่องเล่นเพลงเกรดพรีเมียมช่วยดึงผู้ฟังให้ดำดิ่งลงไปในท่วงทำนองดนตรีมากยิ่งขึ้น นอกจากโซนบาร์เหล้าที่ประดับด้วยโคมระย้าและโซนชมวิวตึกระฟ้า อีกจุดเด่นของร้านนี้คือเลานจ์สูบซิการ์ที่อบอวลไปด้วยแสงสลัวและม่านควัน แถมยังมีซิการ์หายากจากประเทศคิวบาอย่าง pre-embargo Cigars อีกด้วย ค็อกเทลของ Lennon’s ได้แรงบันดาลใจมาจากบทเพลงและตัวศิลปิน จึงตั้งชื่อเมนูที่บ่งบอกรสชาติของค็อกเทลและรสชาติดนตรีในเวลาเดียวกัน
หากคุณเคยไปเดินเล่นย่านเยาวราชหรือเคยขับรถผ่านถนนเจริญกรุงกันมาบ้าง ก็คงพอคุ้นหูกับ ‘ย่านทรงวาด’ ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนัก เนื่องด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ชิดติดริมแม่น้ำทำให้ในอดีตถนนเส้นนี้ถูกใช้เป็นเส้นทางการค้าส่งอาหารทะเล เครื่องเทศ หรือผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ สองฟากถนนจึงเต็มไปด้วยร้านนำเข้าและส่งออก ซึ่งหลาย ๆ ร้านก็ยังคงดำเนินกิจการมาให้เห็นจนถึงปัจจุบัน เราลัดเลาะไปตามถนนทรงวาด ก่อนจะเดินเข้าไปในตรอกสะพานญวณ อันเป็นที่ตั้งของร้าน ฮบ. ร้านอาหารสไตล์ casual dining สุดลึกลับแห่งย่านทรงวาดที่เป็นจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ ฮบ. ร้านอาหารลึกลับแห่งทรงวาด เมื่อผลักประตูบานสีขาวเข้าไปจะพบกับร้านอาหารบรรยากาศอบอุ่น ภายในผสมผสานเสน่ห์ของตึกเก่าเข้ากับโทนสีเขียวเข้มแบบสมัยใหม่ ผนังปูนเก่าแก่บางส่วนยังคงเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เพิ่มกลิ่นอายร่วมสมัยให้ร้านด้วยเฟอร์นิเจอร์สีวินเทจและผนังไม้สีอบอุ่น แถมเพดานบางส่วนที่ยกโครงสร้างขึ้นไปด้านบน ก็ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งและดูไม่อึดอัด ร้าน ฮบ. เป็นร้านอาหารสไตล์ casual dining ที่เสิร์ฟอาหารท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ทุกเมนูอาหารของร้านนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์การท่องเที่ยวในต่างแดนของเจ้าของร้านทั้งสี่คน อาหารทุกจานจึงตีความจากประสบการณ์เฉพาะตัวของพวกเขา และถ่ายทอดมันออกมาผ่านคอร์สเมนูดินเนอร์ที่แบ่งเป็นเซต A และ B คอนเซ็ปต์แรกของร้าน ฮบ. คือ ‘Saigon 1st Time’ การไปเที่ยวเวียดนามครั้งแรกที่หยิบนำเอกลักษณ์ของอาหารเวียดนาม มาผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่นที่หาได้จากย่านทรงวาด จนเกิดเป็นอาหารเวียดนามสไตล์ฟิวชั่นสุดแปลก โดยเมนูอาหารของร้านจะสับเปลี่ยนทุก ๆ สามเดือน และต้นเดือนมีนาคมของปี 2020
เมื่อถึงคราวที่พระจันทร์ต้องขึ้นไปส่องสว่างแทนที่พระอาทิตย์ ความมืดมิดก็ค่อย ๆ เยื้องกรายเข้าปกคลุมท้องฟ้า และนั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่าชีวิตกลางคืนของผู้ชายอย่างเราได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่เป็นอีกวันที่เราโคตรเหน็ดเหนื่อยกับการทำงาน และกำลังมองหาเครื่องดื่มดี ๆ สักแก้วมาช่วยทุเลาความเหนื่อยล้านั้น ทันทีที่นึกได้ว่าแถว ๆ พร้อมพงษ์เหมือนจะมีบาร์เหล้าเปิดใหม่ เราก็ไม่รอช้าและรีบเดินทางไปยังที่นั่น แม้ต้องผ่านอุปสรรคที่เรียกว่าผังเมืองกรุงเทพฯ เจอกับความป่วยของการจราจร หรือแม้แต่เดินสวนกับฝูงชนที่พลุกพล่าน แต่เมื่อมาถึงร้าน ‘Alonetogether’ ดูเหมือนว่าความว้าวุ่นก่อนหน้ากลับหายไปเป็นปลิดทิ้ง ‘ALONETOGETHER’ บาร์ลับที่ชวนคนเหงามานั่งเมาไปด้วยกัน แม้บรรยากาศของย่านพร้อมพงษ์จะคึกคักและมีผู้คนสัญจรไปมาอย่างคับคั่ง แต่เมื่อก้าวเข้ามาในร้าน เรากลับรู้สึกได้ถึงความสงบ ความเป็นส่วนตัว และความลึกลับบางอย่างที่ทำเอาเราอยากเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล ‘Alonetogether’ เป็น Speakeasy Bar ที่มองเผิน ๆ แล้วอาจไม่รู้ว่ามันคือบาร์เหล้า เพราะหน้าร้านมีเพียงป้ายไฟสีขาวขนาดจิ๋วเท่านั้น แถมตัวร้านก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรมาก เหมือนกับซ่อนอยู่ในซอกหลืบเล็ก ๆ ของตึกแถวในย่านนี้ เมื่อผลักประตูร้านเข้าไปจะเจอกับทางเดินแคบ ๆ ที่ขนาบข้างกับเคาน์เตอร์บาร์ไม้ ทางเดินขนาดกะทัดรัดนี้จะพาคุณไปยังโถงดนตรีที่อยู่สุดทาง อันเป็นที่ตั้งของกองชุดและเปียโนสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งทุก ๆ วันพุธถึงวันเสาร์จะมีวงต่าง ๆ มาบรรเลงดนตรีแจ๊ส ตั้งแต่สามทุ่มครึ่งถึงเที่ยงคืน ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ตั้งใจจะสร้างบาร์เหล้าย้อนยุค เจ้าของร้านจึงเนรมิตห้องแถวขนาดจิ๋วให้กลายเป็นบาร์ร่วมสมัย ที่เน้นใช้วัสดุไม้และแสงเทียนเป็นพระเอกหลัก ไม่เพียงสร้างความอบอุ่นด้วยพื้นไม้ ผนังไม้ และเฟอร์นิเจอร์ไม้
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปจากวันก่อน เทรนด์การดื่มของผู้ชายเราเองก็เปลี่ยนตามไปด้วย จากที่เคยยกเหล้าซดเป็นกรม ๆ จนภาพตัด หนุ่ม ๆ หลายคนเริ่มเอียนกับรสเหล้าและหันมานั่งจิบเบียร์ชิล ๆ กันบ้างแล้ว ทำให้ช่วงนี้กระแสของ ‘คราฟต์เบียร์’ นั้นมาแรงแซงทุกโค้งจริง ๆ ไม่ว่าจะหันไปทางทิศไหน ก็จะเห็นร้านคราฟต์เบียร์เปิดใหม่ผุดขึ้นทั่วกรุง แต่ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะไปนั่งดื่มคราฟต์เบียร์ที่ไหนดี วันนี้ UNLOCKMEN มี 5 ร้านคราฟต์เบียร์สุดเจ๋งมาแนะนำ รับประกันว่าเสิร์ฟเบียร์คุณภาพ บรรยากาศดี และมีสาว ๆ สวย ๆ ให้ดูจนเพลินตา Let the Boy Die หลังจากปิดตัวไป 1 ปีเต็ม ร้านคราฟต์เบียร์สัญชาติไทยสุดเก๋าร้านนี้ก็กลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง Let the Boy Die มาพร้อมแท็ปคราฟต์เบียร์ให้เลือกมากถึง 12 แท็ป โดยจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามฤดูกาล นอกจากที่นี่จะมี House Beer เป็นของตัวเอง และเสิร์ฟคราฟต์เบียร์ไทยที่ล้วนมาจากนักต้มเบียร์ชาวไทยแล้ว ยังครีเอตเมนูกับแกล้มมาให้ทานคู่กับเบียร์อีกมากมาย ตั้งแต่ Beef Nachos สไตล์เม็กซิกัน
เมื่อเริ่มชินชาและรู้สึกหวิวท้องหน่อย ๆ กับการนั่งดื่มเหล้าและจ้องมองวิวจากมุมสูงของตึกระฟ้า เราก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศพาหนุ่ม ๆ ชาว UNLOCKMEN ไปนั่งจิบค็อกเทลชิล ๆ กันดูบ้าง แม้หลายคนจะติดภาพว่า ‘อารีย์’ เป็นย่านที่มีร้านกาแฟมากมายและรวบรวมอาหารอร่อยเอาไว้แน่นเอี้ยด แต่หากคุณลองเดินเข้าไปในซอยอารีย์ 3 จะพบว่าย่านแห่งนี้ก็มีบาร์ค็อกเทลเท่ ๆ และบรรยากาศสบาย ๆ ที่ถูกใจผู้ชายอย่างเราด้วยเหมือนกัน ระยะทางไม่เกิน 550 เมตรจากสถานีบีทีเอสอารีย์ คุณก็จะพบกับ ‘Blacksmith’ บาร์เหล้าสุดเท่ที่รอต้อนรับคุณด้วยผนังทรงโค้งรูปเกือกม้าแบบโคโลเนียล (Colonial) ผสานพื้นผิวสีดำดิบแบบอินดัสเทรียลลอฟต์ (Industrial Loft) บวกแสงไฟสลัวที่ลอดผ่านมายังด้านนอก ช่วยสร้างบรรยากาศชวนหลงใหล และทำให้เราอยากเข้าไปนั่งละเลียดค็อกเทลจนหมดคืน BLACKSMITH บาร์ที่การออกแบบสองสไตล์ผสานกันอย่างลงตัว บาร์เหล้าแห่งนี้แบ่งเป็นสองชั้น ด้านบนเปิดเป็นคาเฟ่ (ตอนกลางวัน) เน้นเสิร์ฟเมนูกาแฟ เครื่องดื่มม็อกเทล และขนมโฮมเมด ส่วนตอนกลางคืน Blacksmith จะแปลงโฉมกลายเป็นบาร์เหล้าสุดเจ๋งที่เสิร์ฟครีเอตค็อกเทลพร้อมอาหารสไตล์ฟิวชั่นเลิศรส การออกแบบภายในร้านผสมผสานระหว่างสไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ (Industrial Loft) และโคโลเนียล (Colonial) เข้าด้วยกัน ดีไซน์โครงสร้างหลักด้วยเหล็ก ปูนเปลือย และพื้นปูนขัดมัน ใช้เพดานสูงและหน้าต่างกระจกบานกว้างที่ให้ความรู้สึกดิบ เถื่อน
ต่อให้คุณจะชอบดื่มกาแฟมากแค่ไหน หรือเป็น Café Hopper ตัวยงที่พร้อมตะลุยทุกตรอกซอกซอยเพื่อค้นหาร้านกาแฟเด็ด ๆ แต่เราเชื่อว่าคงไม่ใช่ทุกร้านที่จะปรุงแต่งรสชาติกาแฟได้ถูกใจทุกคน และใช่ว่าตุ่มรับรสบนลิ้นของแต่ละคนจะเหมือนกันเสียทีเดียว ทำให้นิยามของคำว่า ‘อร่อย’ และ ‘กาแฟที่ดี’ จากปากผู้ชายแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน บางคนบอกว่ากาแฟร้านนี้อร่อย บ้างว่ารสชาติของอีกร้านนั้นกินขาด ทำให้เราคิดว่าคงไม่มีทางที่ร้านกาแฟร้านใดจะสามารถสร้างสรรค์รสชาติได้ถูกปากผู้ชายทุกคน แต่ในบรรดาร้านกาแฟที่ผุดขึ้นทั่วกรุงเทพฯ ก็มีอยู่ร้านหนึ่งที่เปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อเมนูกาแฟไปอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะเลือกเมล็ดพันธุ์และระดับการคั่วที่บาริสต้าเป็นผู้กำหนด ร้านนี้กลับเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกเมล็ด ระดับการคั่วบด และวิธีการสกัดกาแฟด้วยตัวเอง แล้วเราก็เชื่อว่าต้องมีกาแฟสักแก้วที่ถูกปากและถูกใจเราแน่นอน Y’EST WORKS COFFEE ROASTERY ท่ามกลางความวุ่นวายของย่านที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่าง ‘อโศก’ ลึกเข้าไปในซอยสุขุมวิท 23 มีร้านกาแฟเล็ก ๆ สไตล์ญี่ปุ่นซ่อนตัวอยู่ที่นี่ Y’est Works หรือ Y’est Works Coffee Roastery เป็นร้านกาแฟคุณภาพที่อิมพอร์ตมาจากประเทศญี่ปุ่น แม้เพิ่งเปิดบริการได้ไม่ถึง 5 เดือน แต่ก็ได้กระแสตอบรับจากหนุ่มสาวคอกาแฟในย่านนี้เป็นอย่างดี ภายในร้านตกแต่งด้วยผนังสีขาวและเฟอร์นิเจอร์ไม้ สร้างบรรยากาศอบอุ่นด้วยสีเอิร์ธโทน และสะท้อนความเป็นร้านกาแฟญี่ปุ่นผ่านวัสดุไม้และความเรียบง่ายของงานดีไซน์ FIND YOUR BEST COFFEE! ร้านนี้มีคอนเซ็ปต์หลักคือ “Find
วันหยุดสุดสัปดาห์คือเวลาพักผ่อนหย่อนใจของคนทำงาน หนุ่ม ๆ จำนวนไม่น้อยเลือกใช้เวลาอยู่กับบ้านนั่งดูซีรีส์เรื่องโปรด บางคนชื่นชอบการออกไปเดินเล่นนอกบ้านพร้อมกับพาคนข้างกายหรือครอบครัวไปทานอาหารร่วมกัน และหนุ่มคนเมืองอีกจำนวนหนึ่งก็ยังต้องก้มหน้าก้มตาทำงานในช่วงวันหยุด UNLOCKMEN ได้ใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ทำสิ่งต่าง ๆ ในคาเฟ่เรือนกระจกย่านพระรามเก้าที่รอต้อนรับผู้มาเยือนทุกวัน ไม่ว่าใครจะอยากได้ที่นั่งทำงานบรรยากาศดี หรือต้องการรับประทานอาหารอร่อย ๆ ในสวนสไตล์ทรอปิคอล เราขอแนะนำให้มาที่ The Hub Cafe and Eatery คาเฟ่และร้านอาหารบรรยากาศดีอย่าง The Hub Cafe and Eatery ซ่อนตัวอยู่ในซอยพระรามเก้า 41 เลี้ยวเข้ามาจากถนนเสรี 9 ถึงแม้จะซ่อนตัวอยู่ในซอยแต่ก็ยังโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมโมเดิร์นชั้นเดียว หลังคาทรงจั่วประกอบแผ่นไม้สีเข้มเข้ากับกระจกบานใหญ่ ตกแต่งสวนรอบคาเฟ่ด้วยพืชพรรณดิบชิ้นสไตล์ทรอปิคอลและต้นจามจุรีอายุกว่า 50 ปี ที่อยู่มาก่อนจะเกิดคาเฟ่จะทำให้บรรยากาศร่มรื่นเหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ใช่แค่เรือนกระจกกับสถาปัตยกรรมโดดเด่นสะดุดตาตั้งแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าร้านเท่านั้น แต่ภายในของ The Hub Cafe and Eatery ที่ดีไซน์ให้เพดานอาคารให้สูงกว่าปกติส่งให้บรรยากาศภายในโปร่งโล่ง ไม่อึดอัด เรือนกระจกรับแสงแดดสามารถทำให้เราเห็นทัศนียภาพของสวนสไตล์ทรอปิคอลได้อย่างชัดเจน เพราะ Owner ของที่นี่บอกกับเราว่า เขาต้องการสร้างคาเฟ่ให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้าน The Hub Cafe and Eatery