เจ้านายกับพนักงานถือเป็นของคู่กัน เจ้านายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิพลมากกว่าหมอดูที่บอกกราฟลายมือเส้นชีวิตเราว่าเราจะเจริญก้าวหน้าได้จริงไหม และที่แน่ ๆ คือต่อให้ใครจะว่ายังไง เจ้านายจะยังคงอยู่ในองค์กรต่อไป คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมเจ้านายสายเดือด สายโหด หรือเจ้านายที่มีพฤติกรรมเข้าขั้นติดลบในสายตาพนักงาน แถมชีวิตโคตรไม่บาลานซ์ ทำไมถึงพาองค์กรพุ่งไปติดอันดับต้นของโลกได้ แถมพูดชื่อแล้วหลายคนยังต้องแลกและฝ่าฟันเพื่อให้ไปเจอเจ้านายแบบนั้นอีก แน่สิ ถ้าเราบอกว่าตัวอย่างของเจ้านายเหล่านั้นคือ Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon, Elon Musk ผู้ก่อตั้ง Tesla และอุโมงค์ทะลุมิติ และ Steve Jobs เจ้าของตำนานมือถือระบบ iOS อย่าง Apple คุณเองก็คงไม่ปฏิเสธหรอกว่าอยากจะร่วมงานกับเขาสักครั้งในชีวิต ก่อนจะไปพูดถึงประโยชน์ของนิสัยมุมมืดจากเหล่า CEO คนดังระดับโลกที่พาองค์กรเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป (เชิดชูบูชากันมาเยอะเพราะโปรดักส์เขาดีจริง) มาลองดูนิสัยร้าย ๆ เบื้องหลัง CEO ดังเหล่านี้กับคนใกล้ชิดที่ไม่ดีอย่างที่คิด Elon Musk : ข่มคู่รัก ด่ากราดลูกน้อง ทวีตไร้วิจารณญาณ แม้สิ่งที่เราเห็นในวันนี้หนุ่ม Elon แม้จะเป็นป๋าใจสปอร์ตส่งเครื่องไม้เครื่องมือมาช่วย 13 หมูป่า แต่อีกแง่มุมเรื่องความเป็นผู้นำ เขากลับมีนิสัยโหดห่ามในการควบคุมลูกน้อง
บราหรือเสื้อชั้นในคือปราการด่านสุดท้ายท่อนบนที่ปกปิดเนินอกสาว ๆ ยอมรับตามตรงว่าบราที่ดีไซน์ดีมันก็ชวนลุ่มหลง กระตุ้นให้เรารู้สึกฮึกเหิมปลุกความกระหายของเสืออย่างเรา แต่อีกด้านก็เป็นศัตรูตัวฉกาจตอนเข้าด้ายเข้าเข็มด้วยเพราะความยากในการปลดเพื่อเผยเนื้อนุ่มเนียน ถ้าคุณคือผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบให้สาวโนบรามากกว่าแต่ยังไม่รู้ว่าจะบอกเธออย่างไรให้ดูไม่เหมือนหนุ่มหื่นที่อยากขย้ำกวางน้อยเสียเต็มประดา UNLOCKMEN ของเสิร์ฟเหตุผลดี ๆ เหล่านี้ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาจาก University of Besancon ประเทศฝรั่งเศสเขาออกมายืนยันจากการทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 330 คนในช่วงอายุตั้งแต่ 18-35 ปี ว่า “บราไม่ใช่ของจำเป็น โยนทิ้งไปได้แล้ว” บราพยุงเต้าต้านความเหี่ยวไม่ได้ อกถุงกาแฟคือสิ่งที่พวกเธอพยายามลี้หนีมัน แต่ทางสรีรวิทยาและกายวิภาคเขาบอกไว้ว่าการใส่บรามันไม่ได้มีประโยชน์อะไร ตรงข้ามมันยังไปเร่งความเหี่ยวหย่อนให้เร็วขึ้น ขณะที่ถ้าเปลือยเต้าไม่ใส่บราเขาลองทดสอบวัดกันแล้วว่ามันจะช่วยยกกระชับขึ้นถึงปีละ 7 มิลลิเมตร และทำให้พวกรอยแตกต่าง ๆ จางหายไป สำหรับเหตุผลของการใส่บราที่จะทำให้เนินอกของเธอคล้อยก่อนเวลาอันควร นักวิจัยให้คำอธิบายว่าเกิดจากการสวมบราที่ตัวขวางการเติบโตของเนื้อเยื่อเต้านม ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อที่รองรับหน้าอกเสื่อมสภาพ ถ้าถอดมันออกแล้วกล้ามเนื้อพยุงเหล่านั้นจะทำงานได้มากกว่า บราไม่ได้ช่วยให้หายปวดหลัง ไม่ใส่แล้วจะถ่วงหน้า เดี๋ยวพวกเธอจะปวดหลังได้ อันนี้ก็เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชิ้นไหนที่เชื่อมโยงได้ว่าบราคือตัวช่วยเยียวยาการปวดหลังได้อย่างแท้จริง แถมการถอดมันยังทำให้เธอยืดหลังได้เต็มเหยียด ยืนตรงขึ้นและปวดหลังน้อยลงด้วย (จากการสอบถามผู้เข้าร่วมวิจัย) ถอดบราแล้วหายใจโล่งคล่อง อีกเหตุผลที่น่าเชื่อว่ามันเป็นได้แบบสุด ๆ คือถอดบราแล้วจะหายใจได้สะดวกขึ้น เรื่องนี้หนึ่งในผู้ทดลองสาวที่ไม่สวมบรามาติดต่อกันถึงสองปีเขาให้ข้อมูลไว้ ซึ่งแน่นอนเรื่องนี้เราเชื่อว่าสาว ๆ ทุกคนต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันเพราะไม่ว่าอะไรถ้ามารัดร่างกายเราเป็นเวลานาน ๆ ก็ย่อมอึดอัดเป็นธรรมดา
“Your education begins when you leave school. Not when you’re in school.” แม้ประโยคข้างต้นของ Robert Kiyosaki มหาเทพผู้เชี่ยวชาญเรื่องความรวยและสร้างไบเบิลเรื่องการลงทุนอย่าง “Rich Dad Poor Dad” จะเป็นสิ่งที่เราเห็นด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเรียนใน “โรงเรียน” ยังคงเป็นปัจจัยหนุนนำที่ช่วยให้การเรียนรู้และดำเนินชีวิตจริงง่ายขึ้น นั่นจึงไม่แปลกที่เมื่อบางสถาบันมีการชุมนุมของคนเก่ง คนรวยโดยไม่ได้นัดหมายสร้างผลผลิตเป็น “เจ้าสัว” ระดับตำนานหลายคนในเมืองไทย จะเป็นเหมือนสถานที่ที่สร้างสปอตไลต์ส่วนตัวให้ใครก็อยากส่งบุตรหลานเข้ามาเรียน จากนี้ไป UNLOCKMEN ขอพาคุณไปรู้จักกับโรงเรียนถิ่นเจ้าสัวไทยที่ได้รับการขนานนามว่าผลิต “เจ้าสัว” มากที่สุดในเมืองไทยให้คุณรู้จักและลองชั่งตวงวัดในใจว่าคุณอยากส่งคนรอบข้างไปเรียนสถานที่แห่งนี้หรือไม่ “โรงเรียนเผยอิง” เปิดรั้วโรงเรียนจีน แน่นอนว่าศัพท์ “เจ้าสัว” ไม่ใช่คำใช้เรียกคนรวยไทย และชื่อ “เผยอิง” อ่านก็รู้ได้ทันทีว่าไม่มาจากคำไทยแท้ จุดเริ่มต้นของการสร้างโรงเรียนแห่งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ที่ไม่ได้เน้นความเป็นไทยขนาดนั้น แต่ตั้งใจให้เป็นสถานที่สำหรับส่งบุตรหลานชาวจีนในแผ่นดินไทยเข้ามาเรียนเพื่อสร้างความแน่นแฟ้น เพราะเลือดมังกรไม่ว่าหยดอยู่ในแผ่นดินไหนก็ยังคงเข้มข้น ถ้าไม่ใช่รูปแบบของโรงเรียนเราจะมองเห็นสมาคมแซ่ต่าง ๆ ที่ตั้งกระจายตัวอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งก่อตั้งมาเพื่อสนับสนุนเหตุผลใกล้เคียงกัน โรงเรียนเผยอิงสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2459 หรือในสมัยของรัชกาลที่ 6 จากการระดมทุนของชาวจีนแต้จิ๋วในไทย
คุณเคยเจอคนตรงหน้าที่แค่ฟังคำที่เขาพูดแล้วรู้สึกว่า “เออ! กูยอม กูต้องยกนิ้วให้” หรือแค่บางประโยคที่ส่งออกมาก็มีพลังทำให้เรารู้สึกนั่งไม่ติดต้องลุกขึ้นไปทำอะไรสักอย่างแล้วเพราะถ้าปล่อยให้นั่งเฉย ๆ จากนี้วินาทีเดียวก็สายเกินไปบ้างไหม ถ้าคุณเคยเจอ เขาคนนั้นคือคนที่ช่วย UNLOCK POTENTIAL บางอย่างในตัวคุณ นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ตลอดการทำงานและตลอดปี 2018 ที่ผ่านมาพวกเราร่วมเฟ้นหาบุคคลเจ๋งจากหลากที่มาที่มีความหลากหลายมานั่งพูดคุยประเด็นต่าง ๆ ที่น่าสนใจเพื่อมาส่งต่อพลังงานถึงกัน เพราะเราเชื่อว่ากระแสที่ดีจะเหนี่ยวนำเรื่องดีเข้ามา เมื่อคุณคบใครย่อมได้ถ่ายเททัศนคติบางอย่างจากเขามาด้วย ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาทั้ง 5 คนจากนี้จะเป็นคนที่คุณคุ้นเคยหรือไม่ก็ตาม แต่พวกเขาคือ 5 คนสุดท้ายในปีนี้ที่เราลงความเห็นแล้วว่าคุณควรทำความรู้จัก เพราะคุณจะได้เก็บเกี่ยวพลังไปใช้ในปีหน้าอย่างแน่นอน ความไร้สาระ คือความสดแจ้งเกิดฝัน หนึ่งคนที่พิสูจน์ว่าแพสชั่นแม่งไม่ต้องเป็นเรื่องที่มีสาระอะไรก็ได้ แต่ว่าได้สาระเหี้ย ๆ ปีนี้เราต้องยกตำแหน่งให้เขาคนนี้ “เย่ – ธนวัฒน์” นักคราฟต์ดาบ Lightsaber ที่เลือกออกจากงานประจำที่รัก มาหาความไร้สาระที่ “รักมากกว่า” “ผมรักงานประจำที่ทำมากเลยนะ ผมชอบแอนิเมชั่น ชอบ CG มีความฝันที่อยากทำหนังใหญ่ อยากมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในนั้น แต่พอทำอยู่ 3-4 ปี เริ่มรู้สึกว่าไม่ไปไหนซักที มาถึงจุดนึงก็เริ่มคิดว่ากูจะนั่งอยู่หน้าคอมตรงนี้ไปตลอดหรอวะ พอดีกับที่ช่วงนั้นเริ่มสะสม Lightsaber เริ่มสั่งมาโมดิฟายเก็บและโมขายไปด้วย
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าบทความนี้ไม่ใช่การอุปมาอุปมัยอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องจริงที่วิทยาศาสตร์เข้ามาศึกษาตรวจสอบทั้งสิ้น ในชีวิตนี้เรามักได้สนทนากับเพื่อนฝูงกันบ่อยว่า “การตรอมใจ” มันทำให้ตายได้จริงไหม หรือการรู้สึกยอมจำนนกับโลกใบนี้และสิ่งที่ถาโถมเข้าใส่แต่ไม่ลุกมาเอามีดกดบนผิวเนื้อมันจะทำให้เราอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน เมื่อในทางการแพทย์เรายังไม่อาจตายได้จนกว่าหัวใจจะหยุดเต้น สมองจะหยุดสั่งการ แต่วันนี้เราพบคำตอบแล้วว่า คุณตายจริงแน่นอนหากยอมยกธงขาวให้กับการใช้ชีวิตตามระดับขั้นตอนเหล่านี้ ซึ่งวินิจฉัยว่าเป็นอาการที่เรียกว่า Give-up-itis หรือการตรอมใจตาย และจะตายภาย 3 วันหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการยอมแพ้ต่อการมีชีวิตอยู่ Dr. John Leach จาก University of Portsmouth ได้ศึกษาปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “give-up-itis” ซึ่งใช้เรียกแทนอาการ “จิตตาย” ทางการแพทย์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงและแตกต่างจากสิ่งที่เรียกว่าฆ่าตัวตาย แถมมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอาการซึมเศร้าด้วยแต่เป็นการหมดอาลัย ยกธงขาวให้กับการใช้ชีวิตเสียเฉย ๆ ซึ่งสิ่งนี้มักเชื่อมโยงกับสมองส่วนหน้าของเราและเป็นเงื่อนไขให้เราตายได้จริง แพทย์สันนิษฐานความตายจาก give-up-itis ว่ามันคือสิ่งที่เปลี่ยนวงจรของ anterior cingulate cortex ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมองที่มีส่วนต่อการคาดการณ์การตัดสินใจ การควบคุม และตอบสนองต่อความเครียด เรียกง่าย ๆ ว่าปกติเวลาที่เราเจอความผิดปกติส่วนนี้ เรามักจะข้ามผ่านมันได้เพราะว่ามีแรงกระตุ้นของความรู้สึกอยากมีชีวิตต่อไปเป็นแรงขับเคลื่อนจูงใจ แต่ถ้าคิดว่าวันนึงมันไม่มีอะไรไปรักษาแล้วเพราะไม่อยากอยู่แล้ว การเยียวยาทั้งระบบก็ไม่เกิด และมันจะยับยั้งการหลั่งสารโดพามีนซึ่งกระทบกับการทำงานของสมองและร่างกายในที่สุด Dr. Leach ได้อธิบาย 5 ขั้นของการยอมแพ้ทางใจที่จะนำเราไปสู่ความตายตามลำดับดังนี้ Social withdrawal
ของบางชิ้นเราซื้อไปก็ไม่รู้ว่าทำอะไร แต่พอซื้อมาแล้วมันรู้สึกดีกว่าไม่ซื้อ และแม้หลายคนจะบอกว่ามึงมันบ้าวัตถุเราก็ยังยินดีจะซื้อต่อไปมากกว่าอยู่ดี ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่ทุ่มทุนจ่ายเงินเพื่ออะไรสักอย่างไม่สิ้นสุดโดยไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงทำ ก่อนจะโหมซื้อของให้รางวัลตัวเองจนกระเป๋าแฟบ ลองอ่านบทความนี้อีกทีเพราะมันอาจจะทำให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้างได้ดีขึ้นและบางทีอาจเปลี่ยนทัศนคติให้คุณเก็บเงินเพิ่มในปีนี้ได้ด้วย ผลงานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน International Journal of Psychology เผยว่าคนใจบางหรือรู้สึกไม่มั่นคงต่อสภาพแวดล้อม ความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตมักใช้วิธีซื้ออะไรบางอย่างถมหลุมความรู้สึกของตัวเอง เพราะเขาคิดว่าการซื้อวัตถุสักชิ้นมาครอบครองจะสร้างความมั่นคงทดแทนช่องว่างในใจได้ ของยิ่งเยอะ ใจยิ่งร้าวราน? ที่มาของการทดลองนี้เริ่มต้นจากความคิดตั้งต้นเรื่องการช้อปบำบัดว่ามีผลมาจากความรู้สึกไม่มั่นคงทางใจของนักซื้อทั้งหลาย และความรู้สึกอยากครอบครองนี้คาดว่ามาจากความไม่มั่นคงทางใจ ซึ่งน่าจะเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวและคนรอบข้างที่ไม่ดีนัก เรียกง่าย ๆ ว่าไม่สมหวังในความรัก ไม่สามารถครอบครองความรักก็หันมาครอบครองของแทน เพราะอกหักไปของก็ยังอยู่กับเราเป็นความสัมพันธ์ที่มั่นคงถาวร หรือคนขาดความอบอุ่นในครอบครัวก็มีแนวโน้มที่จะหันมาซื้อของทดแทนความรู้สึกนั้นแทน ของที่ไม่เคยได้ในวัยเด็กกลายเป็นอะไรที่ต้องพิชิตในวันที่มีเงินซื้อ Ying Sun และเพื่อนร่วมงานจาก Beijing Key Laboratory of Experimental Psychology จึงทำการทดลองพิสูจน์สมมุติฐานนี้ โดยทำการทดลองกับคนจำนวน 237 คน ถามคำถามเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ร่วมกับคนรอบข้าง และคนรัก แล้วนำมาเปรียบเทียบกับคำถามที่ว่าด้วยสิ่งสำคัญในชีวิตที่มีตัวแปรเป็นทั้งสิ่งที่ชี้ว่าเป็นเราเป็นคนประเภทวัตถุนิยมและไม่ใช่วัตถุนิยม ตัวอย่างคำถามบางส่วนที่อยู่ในแบบทดสอบเหล่านี้ พวกเราคิดคำตอบไว้ในใจดูก่อนไปดูผลวิจัยได้ “เรารู้สึกกังวลว่าคู่รักของเราไม่แคร์เราเท่าที่เราแคร์เขา” “เรารู้สึกกังวลเวลาคู่รักเข้าใกล้” “เราชอบใช้ของหรูหรามีระดับ” “ชีวิตของเราจะดีขึ้นเมื่อได้เป็นเจ้าของบางอย่างที่เราไม่มี” เมื่อตอบคำถามเหล่านี้เสร็จผู้วิจัยจะเริ่มวัดความเป็น “วัตถุนิยม” ในตัวของผู้ทดสอบด้วยการโชว์ชุดคำบางอย่างบนจอคอมพิวเตอร์อย่างคำว่า “เงิน” “ท้องฟ้า” รวมทั้งคำที่ไร้ความหมายอื่น ๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกดคำที่เขาคิดว่ามีความหมายกับชีวิตและกดเลือกคำที่คิดว่าไม่มีความหมายอะไร ผลการทดลองชี้ชัดว่าใครที่มีอ่อนไหวกับเรื่องความสัมพันธ์มักให้ความสำคัญกับสิ่งของที่เป็นวัตถุมากกว่า
ถึงเราชาว UNLOCKMEN จะจดจ่อตั้งใจนำเสนอเนื้อหาทางออนไลน์มากแค่ไหน แต่เราก็ไม่ได้ละความสนใจไปจากการสัมผัสหนังสือเล่มและยังชื่นชอบการพลิกอ่านตัวอักษรเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ยามว่างเสมอ หยุดยาวที่กำลังจะถึงนี้ หากคุณมือว่างยังไม่รู้จะทำอะไรและเบื่อการสไลด์จอเต็มทน ลองมาเริ่มต้นกับหนังสือที่พวกเราชื่นชอบประจำปีนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจว่ามันอาจเป็นเล่มที่คุณกำลังตามหาอยู่ก็ได้ B Side. The Untold Story of BNK48 ผู้แต่ง: พีรพิชญ์ ฉั่วสมบูรณ์ และธัญวัฒน์ อิพภูดม สำนักพิมพ์: Salmon Book ไอดอลคือสิ่งที่หลายคนสัมผัส แต่ไม่ได้มีโอกาสเข้าถึงเรื่องราวมากนัก B Side. The Untold Story of BNK48 เล่มนี้จึงเปรียบเสมือนหนังสือคลี่ใจของคนอ่านทุกคนไม่ว่าคุณจะได้รู้จัก BNK48 ไอดอลแห่งยุคสมัยที่กำลังสร้างปรากฏการณ์ตอนนี้หรือไม่ แต่บันทึกเรื่องราวเล่มนี้ของพวกเธอจะพาคุณไปรู้จักเด็กสาวในฐานะคนธรรมดาที่มีความรู้สึก จิตใจ และจิตวิญญาณที่มุ่งมั่นในสิ่งที่ทำจนก้าวมาสู่ความสำเร็จ UNLOCKMEN’S OPINION: จริง ๆ เราก็อยากจะยกหนังสือเล่มอื่นขึ้นมา เพราะดูเราจะหมกมุ่นกับไอดอลวงนี้มากเกินไปแล้ว (ในคอนเทนต์ UNLOCKMEN Pick Movie เราก็ยกให้ Girls Don’t Cry เป็นหนังที่เราชอบที่สุดในปีนี้) แต่เราก็โกหกตัวเองไม่ได้และก็ไม่อยากโกหกผู้อ่านด้วย เพราะสำหรับเรา 2018 คือปีแห่ง
แม้ในเวทีสงครามการค้าของโลกจะไม่มีญี่ปุ่นนับรวมอยู่ในนั้น แต่เรื่องมหาอำนาจทางวัฒนธรรม พวกเราละสายตาจากเขาไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะหลายกระแสของญี่ปุ่นกลายเป็นกระแสหลักที่ข้ามน้ำข้ามทะเลไปดังที่อื่นต่อได้ ทั้งวัฒนธรรมการกินอย่างซูชิ งานศิลปะที่กล่าวว่าแวนโก๊ะ หนึ่งในศิลปินชื่อก้องโลกยังคลั่งไคล้จนเคยวาดเลียนแบบไว้ กระแสธุรกิจเองก็เช่นกัน ญี่ปุ่นมักมีบริการแบบใหม่มาให้เราตื่นตัวตลอดเวลา ล่าสุดเทรนด์ใหม่ที่กำลังเติบโตเรียกว่า “Ohitorisama” หรือที่แปลว่า “ทำอะไรด้วยตัวเอง” เพิ่มขึ้นในสังคม ฟังดูแล้วก็เหมือนเจ้าของร้านค้าไปนั่งเฝ้ากระทู้ challenge ในบ้านเราที่แข่งกันตั้งคำถามว่า ใครเคยทำกิจกรรมต่าง ๆ คนเดียวบ้างทั้งเรื่องดูหนัง ฟังเพลง กินบุฟเฟ่ต์ แล้วตอบสนองบริการสนองความต้องการคืนเพื่อให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาของสังคม ทั้งหมดที่เรากล่าวถึงด้านบนก็ยังนับว่าเป็นขั้นเบาะ ๆ ระดับความจริงจังของการเพิ่มธุรกิจตอบสนองคนเพียงคนเดียวของญี่ปุ่นนี่ถ้าตัดเกรดต้องให้ A++ ไปเลย เพราะ Ichiran ramen ราเม็งกินข้าวคนเดียวล้อมพาร์ติชั่นสามด้านก็ได้มาจากเขา ไปจนถึงธุรกิจเอเจนซี่ Solo Wedding แต่งงานคนเดียว แหกแนวคิดเรื่องการแต่งการงานต้องมาเป็นคู่เสมอไปก็มี บริษัทที่นำเที่ยวคนเดียวก็เยอะ และล่าสุดคือการร้องคาราโอเกะคนเดียวหรือ “1 Kara” ก็เกิดและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ห้องขนาดเล็กรูปแบบบูธสำหรับหนึ่งคนอยู่ ไม่เหลือพื้นที่ให้ใครแทรกตัวเข้าไปฟังนี้มันเริ่มต้นมาจากสิ่งที่ Koshidaka karaoke เห็นว่ากลุ่มลูกค้าของเขากว่า 30% ในรอบ 6 ปีคือลูกค้าที่มาร้องเพลงคนเดียวจึงได้ริเริ่มธุรกิจนี้ขึ้น และกำลังขยายตัว คนเดียวก็มีความสุขคือเทรนด์ใหม่ ยิ่งข้อมูลของสถาบันวิจัยประชากรและประกันสังคมเผยว่าคนจำนวนมากกว่าหนึ่งในสามของประชากรครัวเรือนในญี่ปุ่น 53
ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง เห็นแต่ไม่รับรู้ เรียนแต่ไม่เข้าใจ…เรามันห่วย! ในชีวิตนี้คงมีสักครั้งที่เราต้องเผชิญสถานการณ์เดจาวูนี้ วิถีการเรียนรู้แบบเด็กหลังห้องที่เรียนอะไรก็ไม่ค่อยจะเข้าหัว ท่องอะไรก็ลืม ซึ่งแม้เราจะพลิกแพลงเอาตัวรอดมาได้แต่ลึก ๆ ก็ยังต้องสะกิดใจกับตัวเลขประเมินนั้นอยู่ดี พูดบ้าน ๆ ว่าความรู้สึก “ห่วย” มันคอยย่องมาทิ่มแทงเราเสมอ แล้วมันแปลว่าเรา “ห่วย” จริงหรือเปล่า? แน่นอนว่าคำตอบคือ “ไม่” เพราะประสบการณ์บอกเราว่าคนประสบความสำเร็จดัง ๆ หลายคนบนโลกใบนี้ก็ไม่ได้เกรดดีเสมอไป แต่มีจุดร่วมเรื่อง “ความเข้าใจ” และการหาเส้นทางเรียนรู้ให้ถ่องแท้จากนั้นค่อยนำไปใช้แบบเต็มสูบ ซึ่งมันก็แปลว่า ถึงการเรียนในห้องเรียนจะเป็นการสอนจับปลาแต่ใช่ว่าการเรียนรู้แบบเดียวกันจะใช้ได้กับทุกคน เมื่อ “ทุกอย่างไม่ได้อยู่ที่การเรียน ทุกอย่างอยู่ที่การสอนด้วย” ธรรมชาติของแต่ละคนคลิ๊กกับวิธีการเรียนรู้ที่ต่างกัน เราจึงไม่พลาดเมื่อมีคนบอกว่าตอนนี้มีการแจ้งเกิดแพลตฟอร์มการเรียนรู้สุดเจ๋งแห่งแรกและแห่งเดียวของโลกที่คนเรียนมีอำนาจเลือกวิธีเรียนที่ใช่ได้นั้นอยู่ในประเทศไทย และทั้งหมดเริ่มต้นที่ตึก FYI จาก SEAC (South East Asia Center) ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเรานี้เอง! VISION POSSIBLE : แพสชันจากเด็กหลังห้องสู่แนวหน้าผู้นำ จากการเปิดตัวช่วงต้นปีที่ SEAC (South East Asia Center) เน้นการพัฒนาและยกระดับองค์กรยุคใหม่ด้วยหลักสูตรสร้างผู้นำและนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ได้รับการตอบรับขององค์กรชั้นนำทุกภาคส่วนด้วยจำนวนผู้เรียนรู้กว่า 30,000 คนที่ผ่านมา ทำให้คุณอริญญา เถลิงศรี
ผู้ชายเรารู้ดีว่าเกมเป็นมากกว่าความบันเทิง หลายเกมในไทม์ไลน์ชีวิตของเราสอนให้เรารู้เรื่องที่ครูไม่สอน ใครกำปืนใน Counter Strike จะได้รู้รุ่นปืนจากในนั้น Final Fantasy ก็สอนเราเรื่องภาษาอังกฤษที่ไม่คุ้นเคย และอีกหลาย ๆ เกมที่ให้ทักษะความคิดและการตัดสินใจ เมื่อเกมเป็นทุกอย่างให้เราและทำให้เราเติบโต UNLOCKMEN จึงรวม 3 เกมวัดใจ ปลดล็อกความคิดให้เสริมความเฉียบคมต่อไปนี้มาแนะนำกัน My Child Lebebsborn เกมแรกเน้นความเรียลเรื่องสตอรี่เกี่ยวกับซากสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีพื้นหลังเรื่องราวเกี่ยวกับนาซี สร้างขึ้นโดย Elin Festøy นักสื่อสารมวลชนที่นำเสนอเรื่องสงครามมานานหลายปีและประสบกับเหตุการณ์จริงจึงเกิดแรงบันดาลใจ ริเริ่มระดมทุนใน kickstarter เพื่อสร้างเกมนี้ขึ้น เธอนำเรื่องราวที่ได้พบกับเด็กที่กำเนิดในโครงการ Lebensborn โครงการผลิตเด็กเชื้อสายอารยันเข้าสู่โลกผ่านการทำสงครามด้วยการให้ทหารไปมีสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น ซึ่งเป็นแนวคิดการกระจายอำนาจหนึ่งของโครงการนาซีเยอรมันในยุคนั้นมาถ่ายทอด แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้คือเด็กที่เกิดจากโครงการนี้โดนละเลยกลายเป็นเด็กกำพร้าไปในปริยาย ส่วนเราเหล่าเกมเมอร์จะได้รับบทบาทเป็นผู้ปกครองจำเป็น จัดสรรทั้งเรื่องอาหาร การเรียน ตารางเวลา แต่มันจะไม่ได้เล่นง่ายขนาดนั้น เพราะบริบทของเรื่องจัดให้เราอยู่ในนอร์เวย์ดินแดนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเยอรมันยุคนั้น ระหว่างดำเนินเกมแต่ละช่วงหยอดความเรียลให้เราต้องเลือก เช่น ต้องหาเงินแต่ไม่มีเวลาเลี้ยงลูกลูกจะขาดความอบอุ่น หรือลูกไปโรงเรียนแล้วต้องโดนเพื่อนบุลลี่ กลั่นแกล้ง เป็นต้น สุดท้ายการเปลี่ยนผ้าขาวสะท้อนเรื่องราวประวัติศาสตร์เหล่านี้เราจะได้ซึมซับเรื่องราว และเข้าใจซากความพังของสงครามที่ไม่เพียงสร้างความเสียหายเป็นชีวิต แต่คนที่เหลืออยู่ก็ยังได้รับผลกระทบ งานนี้แม้ว่าจะไม่ใช่เกมแอคชั่นแต่ก็ประมาทไม่ได้เพราะกำลังมาแรง กระแสซื้อล้มหลามทั้งใน Google Play และ