อัพเดทข่าวดีของ #กรุงเทพเมืองคอนเสิร์ต ปี 2023 เมื่อวงดนตรีตัวแทนความรู้สึกของชาวมิลเลนเนียม The 1975 ประกาศมาเมืองไทยเป็นครั้งที่ 3 ในเดือนเมษายนปีหน้า โดยก่อนหน้าก็เพิ่งปล่อยอัลบั้มชุดใหม่ Being Funny In a Foreign Language ไปไม่นาน จนเกิดเป็นกระแส The 1975 Fever ทั่วบ้านทั่วเมืองกันอีกครั้ง เมื่อพูดถึงการออกอัลบั้มใหม่ของวงนี้ มันจะมีวัฒนธรรมอยู่หนึ่งอย่างที่ใครหลายคน (รวมถึงเราเอง) รอคอยที่จะได้เจอทุกครั้ง ก็คือ Costume & Make Up ของวงนั่นเอง ไม่ใช่! (จริง ๆ อันนั้นก็รอแหละ) มันคือการรอฟังว่าเราจะได้เจอกับเพลงแบบไหนใน ‘อินโทรแทร็คแรก’ ที่ชื่อเดียวกับวง The 1975 อันเป็นเพลงเปิดของทุกอัลบั้ม ที่จะแนะนำว่าเราจะเจอกับเพลงประมาณไหนในอัลบั้มนั้น และเนื่องจากผู้เขียนเป็นติ่งวง The 1975 อย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2013 (9 ปี!) ตั้งแต่ที่วงปล่อยอัลบั้มแรก อยากชวนวิเคราะห์กันหน่อยดีกว่าว่ามีเหตุผลอะไรให้เพลง The 1975
การเดินทางของวงดนตรีโดยมากแล้วจะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นซีนอินดี้หรือซีนอันเดอร์กราวน์ก็ตาม เพราะนั่นคือพื้นฐานสำคัญในการสร้างประสบการณ์ให้วงแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และยังเป็นช่องทางแรกในการกอบโกยแฟนเพลงด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าทุกวงต่างก็มีเป้าหมายที่จะเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น บางวงก็แค่ต้องการมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง มีงานโชว์เข้ามาเรื่อย ๆ ในแบบที่สามารถใช้ดนตรีเลี้ยงชีพได้ แต่ก็มีวงอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเติบโตก้าวขึ้นมาเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลกให้ได้ แน่นอนว่าเป้าหมายมีไว้พิชิต แต่ก็ไม่ใช่ทุกวงที่จะฝ่าฟันตะลุยอุปสรรคจนไปถึงฝั่งฝันได้ แต่สำหรับวง Bring Me The Horizon พวกเขาสามารถทำได้สำเร็จแล้วเป็นที่เรียบร้อย THIS IS WHAT THE EDGE OF YOUR SEAT WAS MADE FOR จุดเริ่มต้นของวง Bring Me The Horizon เริ่มต้นเมื่อปี 2004 ณ เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ จาก 2 คู่ซี้ Oliver Sykes (นักร้องนำ) และ Matt Nicholls (มือกลอง) ทั้งคู่ต่างชื่นชอบดนตรีเมทัลคอร์ที่มีกลิ่นอายของนอยซ์ซาวด์ (ยุคเก่า) ของฝั่งอเมริกาเป็นอย่างมาก อย่างเช่นวง
Queen คือหนึ่งวงในร็อกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลจากประเทศอังกฤษ ทุก ๆ ผลงานเพลงที่สร้างออกมาล้วนยิ่งใหญ่ และกลายเป็นเพลงระดับคลาสสิคที่คงอยู่คู่วงการดนตรีต่อไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นเพลง “Bohemian Rhapsody”, “We Are The Champions”, “Love Of My Life”, “We Will Rock You” และอีกมากมาย แต่น่าเสียดายเส้นทางการสร้างสรรค์ผลงานของวง Queen ต้องจบลงไปเมื่อปี 1991 เนื่องจาก Freddie Mercury นักร้องนำของวงได้จากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 45 ปี ทิ้งไว้แต่เพียงเสียงร้องที่คอยขับกล่อมโลกใบนี้มายาวนานจนถึงปัจจุบัน และจากการสูญเสียในครั้งนั้นคงไม่มีใครคิดว่าเราได้ฟังเพลงใหม่ ๆ ที่มีเสียงร้องของ Freddie Mercury อีกแล้ว แต่มันกลับไม่ใช่แบบนั้น เพราะยังคงมีผลงานที่ถูกเก็บไว้ปล่อยออกมาให้ฟังในบางช่วง และล่าสุดทาง Brian May และ Roger Taylor สองสมาชิกดั้งเดิมของวงได้ค้นพบเพชรล้ำค่าที่หายสาบสูญไปนานกว่า 34 ปี ย้อนกลับไปในช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2022 แฟน ๆ
ในบางครั้ง บันทึกหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของโลก ก็เกิดขึ้นจากสิ่งเล็ก ๆ บนพื้นที่เล็ก ๆ แบบที่เราคาดไม่ถึง เช่นเดียวกับโลกของ Hip Hop และ Hennessy สองวัฒนธรรมที่โคจรมาพบกัน มีความสนิทสนมแน่นแฟ้นจนกลายเป็นภาพจำที่อยู่คู่กันมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เมื่อเห็น Rapper ต้องเห็นขวด Hennessy อยู่ในมือ และมีคำว่า Hennessy อยู่ในท่อนแร็พมาโดยตลอด ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดภายหลังจากจุดเริ่มต้นของ Hip Hop ในอพาร์ทเมนท์ Sedgwick Avenue ห้อง 1520 ย่าน Bronx ณ มหานครนิวยอร์ก ปี 1973 เริ่มจากความต้องการหาเงินเพิ่มของ Cindy Campbell ที่อยากหาซื้อชุดสวยใส่รับเปิดเทอม แต่เด็กที่อาศัยในย่าน Bronx ยุคนั้นไม่ใช่เด็กที่จะแบมือขอเงินพ่อแม่ได้ เธอจึงเกิดไอเดียอยากจัด back-to-school party ในห้องพัก และว่าจ้างน้องชาย Clive aka ที่นั่น DJ Kool Herc ให้มารับบทดีเจสำหรับปาร์ตี้ที่ชื่อว่า
ตอนอายุ 17 ปี คุณกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนมากคำตอบก็น่าจะหนีไม่พ้น “การเรียน” ซึ่งมันก็คือเรื่องปกติของทุก ๆ คนที่ต้องเผชิญอยู่แล้ว แต่สำหรับ “สไปรท์ – ศุกลวัฒน์ พวงสมบัติ” แร็ปเปอร์วัยเยาว์เจ้าของเพลง “ทน” (ร่วมกับ GUYGEEGEE) ที่ฮิตติดชาร์ตบิลบอร์ด ด้วยท่อนฮุค “พี่ไม่มี Louis Vuitton มีแต่หนี้ก้อนโต” ปัจจุบันเขามีอายุ 17 ปีเช่นกัน แต่สามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นศิลปินอาชีพได้ในเวลาอันรวดเร็ว แถมยังกลายเป็นผู้นำครอบครัว ซื้อบ้านหลังใหญ่ให้พ่อกับแม่ได้แล้ว แต่ความฝันของสไปรท์กว่าจะได้มาไม่มีคำว่าง่าย อะไรที่เป็นสิ่งผลักดันให้หนุ่มน้อยจากจังหวัดฉะเชิงเทราประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ มาติดตามเรื่องราวของแร็ปเปอร์ตัวจี๊ดคนนี้กันครับ พรสวรรค์การร้องเพลงเกิดขึ้นในห้องน้ำ สไปรท์ เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่ถึงแม้จะดูแสบแต่ก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจ มีความซื่อซื่อแบบตรงไปตรงมา เขาได้เล่าให้ฟังถึงที่มีมาที่ไปของชื่อตัวเอง ซึ่งไม่ได้มาจากการที่พ่อแม่ชอบดื่มน้ำอัดลมแต่อย่างใด “ผมเคยถามพ่อผมอยู่เหมือนกันครับ พ่อผมบอกว่าตอนเด็ก ๆ (ตอนแรกเกิด) ผมอยู่ในตู้อบในโรงพยาบาล พ่อผมบอกว่าผมตัวขาวมากก็เลยตั้งเป็นสไปรท์ เพราะน้ำสไปรท์มันขาว ก็เลยมาเป็นสไปรท์ครับ” สไปรท์ เติบโตมาไม่ต่างจากเด็กทั่ว ๆ ไป คือใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปโรงเรียน เล่นสนุกไปเรื่อยเปื่อย
การจะสร้างดนตรีให้กลายเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก ในบางครั้งเราอาจจะไม่ต้องสร้างงานเพลงที่มันเหนือชั้นหรือยากจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกันการสับคอร์ดกีตาร์ง่าย ๆ เพียงไม่กี่คอร์ดก็สามารถครองโลกได้เช่นกัน ซึ่งแนวดนตรีที่ว่านั้นก็คือ “พังก์” โดยเฉพาะในสาย “ป๊อปพังก์” ที่ฟังง่ายแต่สนุก ได้ทั้งมันส์ ได้ทั้งความไพเราะไปพร้อม ๆ กัน และหนึ่งในวงที่ปูแนวทางมายาวนานกว่า 30 ปี แถมยังเป็นอิทธิพลให้วงรุ่นน้องมากมายนับไม่ถ้วน คงหนีไม่พ้น Green Day วงทริโอ-ป๊อปพังก์ จากอีสต์ เบย์, รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ก่อตั้งวงมาตั้งแต่ปี 1987 และค่อย ๆ ไต่ระดับชื่อเสียงจนกลายเป็นวงระดับโลกอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน สิ่งที่ได้กล่าวมาสามารถยืนยันได้จากยอดสตรีมมิ่งต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ เรามาดูกันดีกว่ามีผลงานเพลงไหนของวง Green Day ที่มียอดเข้าชม MV เกินกว่า 100 ล้านวิวบ้าง “BOULEVARD OF BROKEN DREAMS” VIEWS = 662 M เพลงช้าสุดฮิตของวง Green Day ผลงานจากอัลบั้ม “American Idiot”
แม้ว่าดนตรีสายหนักหน่วงอย่างเมทัลจะไม่ได้รับความนิยมในบ้านเรา และมีแฟนเพลงเฉพาะกลุ่มในจำนวนที่ไม่มาก ทำให้การขายงานโชว์ให้ได้อย่างวงปกติทั่วไปบนท้องตลาดก็ยากตามไปด้วย นั่นทำให้รายรับของคนที่เล่นดนตรีแนวนี้ไม่มีทางหาเลี้ยงชีวิตได้เพียงพอแน่นอน แม้อุปสรรคที่ขวางจะใหญ่โตมากนัก แต่ก็ยังมีอีกหลาย ๆ ศิลปินที่ไม่เคยท้อแท้ แถมยังคอยพัฒนาฝีมือ ต่อยอดคุณภาพ จนกล้าพูดได้เต็มปากว่าสามารถฟัดกับวงต่างประเทศได้อย่างสบาย ๆ ซึ่งวงที่ทำให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนมากที่สุดคงต้องยกให้ Annalynn! BASED ON NU METAL Annalynn มีจุดเริ่มต้นวงตั้งแต่ปี 2003 หรือกว่า 19 ปีที่แล้ว การรวมตัวในตอนนั้นคือการลุยประกวดดนตรีที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งนำโดย 2 สมาชิกหลักที่อยู่มาถึงปัจจุบันนั่นคือ “บอน” (ร้องนำ) และ “เอก” (เบส) โดยช่วงแรกพวกเขานำเสนอสไตล์ดนตรีนูเมทัล ที่เป็นที่นิยม ณ เวลานั้น โดยมีวง Deftones ที่เปรียบเสมือไอดอลและแรงบันดาลใจ หลังจากที่ได้ข้อตกลงว่าต้องการทำเพลงอย่างจริงจัง Annalynn จึงได้ผลิตผลงานเพลงเป็นของตัวเอง และต่อยอดกลายเป็น “EP.First Shut Up, Then Shut Down” ออกมาในปี 2004 รวมไปถึงในช่วงแรกพวกเขาได้มีโอกาสทำงานกับค่าย Sexy Pink
แม้ว่าวง Nirvana จะปิดฉากตัวเองลงไปตั้งแต่ปี 1994 แต่ชื่อของพวกเขายังคงถูกพูดถึงอยู่ตลอดเวลา สาเหตุก็เพราะความยิ่งใหญ่ของ 3 สมาชิก Kurt Cobain, Dave Grohl และ Krist Novaselic ที่เคยบิวด์ให้กระแสของดนตรีกรันจ์กลายเป็นไฟที่ลุกโชนไปทั่วโลก เกิดเป็นไฟลามทุ่งที่เปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ทางดนตรีไปตลอดกาล โดยผลงานชุดสุดท้ายที่ทิ้งไว้ให้กับโลกใบนี้คือ “In Utero” ซึ่งเพิ่งมีอายุครบรอบ 29 ปีไปหมาด ๆ “In Utero” คือผลงานชุดที่ 3 วางจำหน่ายครั้งแรกในรูปแบบเทปและไวนิล ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 1993 ตามมาด้วยการวางขายแผ่นไวนิลในอเมริกาวันที่ 14 กันยายน 1993 และวางขายทั่วโลกวันที่ 21 กันยายน 1993 มันออกมาพร้อมกับความคาดหวังในระดับสูง เพราะอัลบั้มก่อนหน้านี้คือ “Nevermind” ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ซึ่งการต่อยอดความสำเร็จนั้นตามปกติทั่วไปหากเป็นวงอื่น ๆ อาจจะทำดนตรีที่มีซาวด์ไม่แตกต่างไปจากเดิม เพื่อเป็นการเพลย์เซฟ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่วง Nirvana ทำ! พวกเขาเดินหน้าเข้าสู่ห้องอัด
Slipknot ถือได้ว่าเป็นวงดนตรีเมทัลที่ประสบความสำเร็จเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก พวกเขาเริ่มแจ้งเกิดนับตั้งแต่อัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวง ที่ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 1999 เตะตาผู้คนด้วยภาพลักษณ์ชวนหลอนของสมาชิกทั้ง 9 คน ที่ปกปิดใบหน้าของตัวเองไว้ภายใต้หน้ากาก ราวกับว่าหลุดออกมาจากภาพยนตร์สยองขวัญ พร้อมด้วยชุดหมีสีแดงสดคล้ายผู้ป่วยในโรงพยาบาลจิตเวช ด้วยอิมเมจที่ชวนดึงดูดทำให้เหล่าเมทัลเฮดทั่วโลกต่างให้ความสนใจกับ Slipknot อย่างรวดเร็ว และยิ่งพอได้เข้าไปสัมผัสดนตรีอันดิบเถื่อน ก็ยิ่งทำให้ทุกคนต้องถวายตัวกลาย Maggots (ชื่อเรียกแฟนเพลงของ Slipknot) ไปโดยอัตโนมัติ ปัจจุบันพวกเขามีผลงานออกมาแล้วทั้งหมด 6 อัลบั้มด้วยกัน และกำลังจะมีอัลบั้มใหม่ “The End, So Far” ในวันที่ 30 กันยายน 2022 แต่ก่อนจะได้ไปฟังผลงานใหม่ เรามาลองดูกันดีกว่าผลงานเพลงไหนของ Slipknot ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในการเข้าชม MV ทาง YouTube 5 อันดับแรก ไปติดตามกันได้เลย 1.PSYCHOSOCIAL “454,000,000” VIEWS บทเพลงที่มียอดวิวสูงสุดอันดับแรกคาดเดาไม่ยากเลย สำหรับเพลง “Psychosocial” ผลงานจากอัลบั้ม “All Hope Is Gone”
Arctic Monkeys คือวงดนตรีแห่งยุคโพสต์พังก์รีไววัล ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ด้วยเสน่ห์ทางดนตรีที่ชวนดึงดูด บวกกับภาพลักษณ์สุดเท่ของวง นั่นทำให้พวกเขาสามารถสร้างฐานแฟนเพลงได้อย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ออกผลงานอัลบั้มแรกที่มีชื่อว่ายาว ๆ ว่า “Whatever People Say I Am, That’s What I’m Not” ที่ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 23 มกราคม ปี 2006 กับสังกัด Domino Recording Company ผลงานชุดนี้ทางวงได้ Jim Abbiss มารับหน้าที่โปรดิวซ์เซอร์ ซึ่งเขาเคยร่วมงานกับ Bjork และ Massive Attack มาแล้ว รวมไปถึงได้ยกพลกันไปอัดเพลงที่ The Chapel ในเมืองเชฟฟิลด์ บ้านเกิดของพวกเขาเอง ส่วนชื่ออัลบั้มก็ได้มาจากประโยคหนึ่งจากนวนิยายเรื่อง “Saturday Night and Sunday Morning” ประพันธ์โดย Alan Sillitoe “Whatever People Say I
ดนตรีร็อกแม้ในปัจจุบันอาจจะดูเหงาลงไปบ้าง แต่ถ้าย้อนกลับไปในอดีต แนวดนตรีที่มีเสียงกีตาร์อันแตกพร่าจะโผล่ขึ้นมาเป็นกระแสหลักได้ตลอด เช่นเดียวกับในช่วงยุค 80’s จนถึงช่วงต้นยุค 90’s แนวดนตรีแกลมร็อก/เมทัล หรือที่ใคร ๆ ก็เรียกกันว่า “แฮร์แบนด์” ก็เคยได้รับความนิยมอย่างสุดขีดมาแล้วเช่นกัน (ก่อนจะโดนกรันจ์กินเรียบ) ภาพจำของวงดนตรีแฮร์แบนด์ คงหนีไม่พ้น การแต่งหน้าแต่งตาคล้ายผู้หญิงของบรรดาศิลปินชาย, การแต่งตัวที่แสดง Sex Appeal สูง, ดนตรีหนักแน่นในแบบเฮฟวี่เมทัลกับฮาร์ดร็อก ที่ฉาบไปด้วยเมโลดี้สุดป๊อป จนเคยถูกแซะว่าเป็น “ป๊อปเมทัล” และนอกจากจะมีเพลงเร็วไว้สร้างความมันส์ วงเหล่านี้มักจะต้องมีเพลงช้าสไตล์บัลลาดเป็นเพลงขายอยู่เสมอ ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้จริง ๆ ผลพลอยได้นอกจากยอดขายอัลบั้มของศิลปิน ก็คือกำไรหูของคนฟัง ที่มีเพลงเพราะ ๆ ให้ฟังอย่างไม่ขาดสาย และนี่คือ “Unlockmen Playlitst : 10 สุดยอดเพลงบัลลาดแห่งยุคแฮร์แบนด์” ที่เราคัดสรรค์มาให้ครับ NOVEMBER RAIN – GUNS N’ ROSES Guns N’ Roses คือหนึ่งในวงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงยุคแฮร์แบนด์ครองตลาด พวกเขาเป็นวงที่มีคาแรคเตอร์โดดเด่นมาก แต่ที่เด็ดกว่านั้นนั่นคือดนตรีที่เปี่ยมไปด้วยความสุดยอดจนใคร ๆ ก็ต่างยกย่องให้กลายเป็นระดับตำนาน
ในช่วงยุค 90’s เป็นช่วงเวลาที่ดนตรีอัลเทอร์เนทีฟเบิกบานสุดขีด ช่วยสร้างสีสันให้กับทั่วโลกได้เป็นอย่างดี มีวงมากมายเกิดขึ้นมาในยุคนั้น ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน ทำให้เราได้มีโอกาสเสพดนตรีที่ไม่ได้มาจากค่ายใหญ่เพียงอย่างเดียว มีตัวเลือกจากบรรดาวงนอกกระแสให้ได้ลิ้มลองกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งแน่นอนว่าก็มีอยู่หลาย ๆ เพลงที่ติดอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ด้วยเหตุนี้ Unlockmen เลยอยากขอพาทุกคนย้อนไปเวลาไปกับเพลย์ลิสต์ “10 เพลงโคตรเพราะฟังเพลินช่วงฝนตกจากยุคอัลเทอร์เนทีฟ 90’s” ให้ทุกคนได้เสพบรรยากาศเหล่านั้นกัน ก่อน – MODERNDOG Moderndog ถือได้ว่าเป็นวงหัวหอกในยุคอัลเทอร์เนทีฟไทยโดยแท้จริง พวกเขาแจ้งเกิดได้อย่างรวดเร็วนับตั้งแต่อัลบั้มแรกที่มีชื่อว่า “เสริมสุขภาพ” โดยมีเพลง “บุษบา” ที่เมื่อไหร่ที่ได้ฟังรับประกันได้เลยว่าโดดกันมันส์ แต่หากให้พูดถึงเพลงเพราะที่สร้างความประทับใจให้กับคนทั้งประเทศคงหนีไม่พ้น “ก่อน” ผลงานการเขียนเพลงของพราย ปฐมพร เพลง “ก่อน” ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จนถึงติดอันดับ 1 บนชาร์ตหลายคลื่นวิทยุ กลายเป็นผลงานสร้างชื่อและเป็นรากฐานสำคัญของวง Moderndog มาจนถึงปัจจุบัน ระหว่างเรา – อรอรีย์ เจ้าของฉายา “เจ้าแม่กรันจ์” ชื่อนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ความเจ๋งของเธอมันสะท้อนออกมาจากผลงานอัลบั้ม “Natural High” และ “Peel” ซึ่งมันได้กลายเป็นสมบัติล้ำค่าของวงการอัลเทอร์เนทีฟไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนเพลง “ระหว่างเรา”