ว่ากันว่าการทำการค้าขายหากจะประสบความสำเร็จก็ควรจะต้องทำการ “Research” เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องในการวางแผน เช่นเดียวกับการทำค่ายเพลง ในบางครั้งก็มีการทำอัลบั้มรวมศิลปินเพื่อดูกระแสว่าวงไหนควรจะได้ไปต่อ และตัวอย่างอีกหนึ่งเคสที่ชัดเจนที่สุดคือ “Showroom Vol.1” ของ genie records ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2004 อัดแน่นไว้ทั้งหมด 7 วง ประกอบไปด้วย DAY TRIPPER วงดนตรีแนวบริตป๊อป ที่มี 2 สมาชิกดูโอ้คือ “อู” และ “ทวน” พวกเขาได้ชื่อวงมาจากเพลงของ The Beatles สำหรับผลงานที่ฝากไว้ใน “Showroom Vol.1” มีด้วยกัน 2 เพลงคือ “อยากอยู่ตรงนี้ตลอดไป” และ “คนที่คุณเฝ้ารอ” โดยทั้ง 2 เพลงมีโทนที่แตกต่างกัน เพลงแรกจะมาในอารมณ์ของความเศร้าหมอง ส่วนเพลงที่ 2 จะอยู่ในอารมณ์ของความสดใส หลังจากผลงานดังกล่าว Day Tripper ก็มีอัลบั้มออกมาอีก 2 ชุดได้แก่ “The Day Tripper” (2005) และ “Guilty”
“Do It Or Die 1” ของค่าย Music Bugs คืออัลบั้มรวมศิลปินที่เคยสร้างกระแสฮือฮาให้กับดนตรีนอกกระแสในปี 2005 เป็นอย่างมาก เพราะมันอุดมไปด้วยเหล่าวงที่เล่นดนตรีหนัก ๆ ที่ส่วนมากมาจากแวดวงอันเดอร์กราวน์ โดยมีวงรุ่นพี่ที่มีชื่อเสียงมาก่อนแล้วใช้เป็นแม่เหล็กดึงดูดคนฟัง นำโดย Basher, Oblivious, Bikini, Winky, Underfloor, Housetrap, Ritalinn, Zigg, Harem Belle และ Madame Dubois ผลงานชุดนี้ถูกวางขายตรงกับกระแสดนตรีอีโมบูมทั่วโลกพอดี มันก็ยิ่งส่งผลให้ช่วยปลุกกระแสในบ้านเราขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งต่อเนื่องจากโปรเจกต์ Showroom 1 ของทาง genie records ที่ปล่อยมาก่อนหน้านี้ โดยมีวงอย่าง Retrospect และ Sweet Mullet นำทางไปก่อนแล้ว เรามาย้อนวันวานไปสัมผัสดนตรีที่ถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้ม “Do It Or Die 1” กันซักหน่อยดีกว่าครับ BASHER เป็นวงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโปรเจกต์นี้ พวกเขาโด่งดังมากับเพลงอย่าง “เสียดายของ”
พูดถึงชื่อวง Oasis หลาย ๆ คนน่าจะนึกถึงเพลงอย่าง “Wonderwall” หรือ “Don’t Look Back In Anger” มาเป็นอันดับแรก ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันคือเพลงที่โด่งดังมากที่สุดของวงร็อกจากเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ แต่หากจะให้พูดถึงบทเพลงที่โชว์ความอัจฉริยะของ Noel Gallagher ในการครีเอตท่วงทำนองของดนตรีขึ้นมา จะต้องมีเพลง “All Around The World” อยู่ในลิสต์อย่างแน่นอน “All Around The World” คือผลงานจาก “Be Here Now” อัลบั้มที่ 3 ของวง Oasis ที่วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1997 แต่เพลงนี้ถูกปล่อยออกมาให้ฟังทาง BBC Radio 1 ก่อนวันวางแผงอัลบั้ม 10 วัน แต่หากให้มองไปถึงแบ็คกราวน์ของ “All Around The World” แท้จริงแล้วมันเป็นบทเพลงที่ถูกทำไว้ตั้งแต่ปี 1992
ต่อเนื่องจากบทความครั้งที่แล้ว “11 อัลบั้มโคตรแรร์! ของวงการอันเดอร์กราวน์ไทยปี 2000-2005” มาต่อกันที่ผลงานที่กลายเป็นของหายากสำหรับวงการร็อกและเมทัลไทยในช่วงปี 2006-2010 จะเป็นของศิลปินวงใดกันบ้าง เราไปทำการขุดมาให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกันแล้วครับ G6PD “PAST OF PIECES” (2006) G6PD วงดนตรีสไตล์เมทัลคอร์ จากเมืองล้านนา จังหวัดเชียงใหม่ พวกเขาเติบโตมาจากวงการอันเดอร์กราวน์แบบขนานแท้ ก่อนจะได้รับโอกาสร่วมงานกับสังกัด Day One Records ที่ดูแลโดย สมศักดิ์ แก้วทิตย์ มือกลองของวงดอนผีบิน “Past Of Pieces” คืออัลบั้มเต็มชุดแรกของพวกเขา ที่เต็มด้วยท่วงทำนองอันหนักหน่วง ทำลายล้าง มันส์ตั้งแต่เพลงแรกไปยันเพลงสุดท้าย แถมยังทำความเข้าใจกับเนื้อหาของเพลงได้ง่ายเพราะใช้ภาษาไทยในการเล่าเรื่องทั้งหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ G6PD สร้างรากฐานแฟนเพลงเมทัลเฮดไทยอย่างรวดเร็ว แทร็กแนะนำ : “เส้นทางความฝัน” IMAGINARY LIE (2007) หากพูดชื่อวง Imaginary Lie หลายคนอาจจะไม่คุ้นหู แต่หากพูดถึงชื่อวง No More Tear หลาย ๆ
ช่วงกลางดึกคืนหนึ่งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมบังเอิญได้เห็นหน้าฟีดบนเพจ Facebook ของ Shonen MainStream โพสต์ว่ามีมังงะน่าสนใจออกใหม่ ที่กำลังไฮป์อย่างมากชื่อ Takopi’s Original Sin ซึ่งมียอดอ่านออนไลน์สูงเป็นระดับปรากฎการณ์ของการ์ตูนญี่ปุ่น-ในตอนที่ 1 มีคนกดอ่านรวมกว่า 8 ล้านครั้ง และตอนที่ 16 ซึ่งเป็นตอนจบก็มีคนอ่านภายในวันเดียวถึง 3 ล้านครั้งเลยทีเดียว (อัพเดทข้อมูล 14/11/2022) แต่ทว่า นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจมังงะเรื่องนี้ซะทีเดียว แต่เป็นเป็นเพราะคำเตือนถึง 2 ครั้งของทางเพจ ที่บอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้มีเนื้อหาที่สะเทือนต่อจิตใจอย่างรุนแรงมาก ถึงแม้ว่าพล็อตเรื่องจะมีความคล้ายกับ Doraemon ก็ตาม … นี่ล่ะคือสิ่งที่ดึงดูดผมเข้าสู่โลกของ Takopi’s Original Sin ของจริง ขอยอมรับแบบไม่ปกปิด ผมรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ไม่เชื่อการเตือนถึง 2 ครั้งอย่างหวังดีนั้น เพราะเรื่องราวของ Takopi’s Original Sin ทำเอาหดหู่อย่างมากหลังอ่านจบ-ในระดับที่เกือบจะเขียนคอลัมน์นี้ไม่ไหว ซึ่งถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกของผมออกมาเป็นภาพ มันก็คงเหมือนกับกำลังเดินเข้าหาคมมีดเป็นพันเล่ม โดยที่ก่อนหน้านั้นดื่มยาพิษเข้าไปอึกใหญ่ โลกของมังงะเรื่องนี้เต็มไปด้วยความไม่น่าไว้ใจ ความกระอักกระอ่วน ความเจ็บปวด เกินกว่าจะหายใจได้อย่างเต็มปอดและรู้สึกปลอดภัยขณะที่อ่าน แต่ก็ต้องบอกว่า
เพิ่งจะเปิดการแสดงสดในบ้านเราถึง 2 รอบไปหมาด ๆ ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี สำหรับ LANY วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟ ป๊อป/ร็อก จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในวันที่ 3 พฤศจิกายน ตรงกับโชว์วันแรกของพวกเขา ทาง Unlockmen ก็ได้รับเกียรติให้เป็น 1 ใน 6 สื่อที่ได้เข้าไปนั่งสัมภาษณ์กับ 2 หนุ่ม Paul Jason Klein และ Jake Clifford Goss แบบ Exclusive สุด ๆ Lany ก่อตั้งวงเมื่อปี 2014 โดยเริ่มต้นกันมาทั้งหมด 3 คนด้วยกัน ได้แก่ Paul Jason Klein ร้องนำ/กีตาร์/คีย์บอร์ด, Jake Clifford Goss กลอง และ Charles Leslie
การกลับมาของอัลบั้มชุดที่ 6 (เลขจริงที่ไม่ได้ตั้งเอาชื่อมงคลแบบชุดที่ 8) ของวง POP ที่ม่วนที่สุดในค่ายห้องเล็ก Smallroom ชื่อ Tattoo Colour หลังจากที่หายจากการปล่อยอัลบั้มเต็มถึง 5 ปี แล้วก็ต้องบอกว่าพวกเขากลับมาอย่างสม ‘ศักดิ์ศรี’ จริง ๆ ทั้งการมีชื่อด้อมของตัวเองเป็นครั้งแรกว่า ‘ชาวนัวร์’ ไปจนถึงคอนเซปต์ของการทำอัลบั้ม ‘เรือนแพ ชุดที่ 6’ ที่ทั้ง 4 คนเช่าบ้านอยู่ด้วยกันเพื่อตกผลึกเพลงของทั้งอัลบั้ม จนทำให้กลายเป็นอัลบั้มที่สำหรับแฟน ๆ แล้ว ใช้คำว่า ‘ใช่’ ได้อย่างสิ้นเปลืองที่สุด ย้อนเวลากลับไปในปี 2008 ตอนที่อัลบั้ม ‘ชุดที่ 8 จงเพราะ’ กำลังโปรโมทซิงเกิล ‘จำทำไม’ อยู่นั้น มันเป็นตอนเดียวกับที่ผู้เขียนกำลังนั่งเรียนพิเศษเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามัธยมปลาย ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาว่ากันว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญและยากที่สุดในชีวิตวัยรุ่น แต่เราก็โชคดี ที่มีเพลงของ Tattoo Colour เป็นเหมือนซาวด์แทร็คประกอบชีวิต ชุบชูจิตวิญญาณของเด็กคนนั้นให้การเติบโตอย่างไม่ยากจนเกินไปนัก และในปัจจุบันที่เป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้ว ความเป็นเด็กของเราก็ยังถูกซ่อนไว้ในความทรงจำที่มีร่วมกับเพลงของพวกเขาเสมอ จะเปิดเพลงไหน เปิดเมื่อไหร่
ฮิปฮอปแนวดนตรีที่ก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่ในช่วงปี 1970’s นอกจากจะมีจังหวะดนตรีที่โดดเด่น อีกสิ่งที่มาคู่กันคือการร้องแร็ป ซึ่งในปัจจุบันมันก็ได้แตกแขนงออกมามากมาย แพร่กระจายไปทั่วโลกไม่เว้นในประเทศไทย ซึ่งในบ้านเรากระแสดนตรีฮิปฮอปก้าวขึ้นมาเป็นที่นิยมในคนหมู่มากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เราได้เห็นแร็ปเปอร์หน้าใหม่เกิดขึ้นมามากมาย แต่ถ้าหากให้พูดถึงกลุ่มศิลปินฮิปฮอปไทย ที่สร้างอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงให้กับศิลปินรุ่นหลังคงหนีไม่พ้น Thaitanium โดยเฉพาะอัลบั้ม “Thai Rider” ที่สร้างปรากฏการณ์ต่อวงการเพลงไทยได้มากมาย ด้วยสไตล์ที่เรียลและเท่ จึงไม่น่าแปลกใจที่อัลบั้มนี้จะถูกยกย่องให้เป็น “Pioneer” ของวงการฮิปฮอปในบ้านเรา และมันก็เพิ่งมีอายุครบรอบ 20 ปีไปหมาด ๆ ด้วยเหตุนี้ทาง Unlockmen จึงขอพาทุกคนไปเจาะลึกถึงแบ็คกราวน์ของ “Thai Rider” จากปากของสมาชิกทั้ง 4 คน ได้แก่ KH, SDthaitay, DABOYWAY และ BIG CALO มาฟังประสบการณ์ของการต่อสู้จากนิวยอร์กสู่กรุงเทพกันครับ AA CREW ก่อนจะมาสู่ Thaitanium หลาย ๆ คนอาจจะทราบกันดีว่าสมาชิกบางคนเคยมีผลงานเพลงกันมาก่อนแล้ว ได้แก่ ขันที่เคยทำฮิปฮอปดูโอ้ในชื่อ “ขันที” ส่วนเวย์ก็เคยอยู่กับ “Teen 8 Grade A” และนั่นมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด
อีกหนึ่งทีมชาติในศึกฟุตบอลโลกที่มีคนเชียร์ในบ้านเราจำนวนไม่น้อย คงหนีไม่พ้น “อิตาลี” เจ้าของแชมป์โลก 4 สมัย และแชมป์ฟุตบอลยุโรปอีก 2 สมัย อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีลีกอันแข็งแกร่งนามว่า “กัลโช่ เซเรียอา” ที่มีสโมสรยักษ์ใหญ่ ได้แก่ Juventus, Inter Milan, A.C. Milan, Roma, Lazio และ Napoli นอกจากนั้นแล้วทีมชาติอิตาลียังมีประวัติศาสตร์ฟุตบอลมาอย่างยาวนาน ผลิตนักเตะระดับตำนานมามากมาย เช่น Paolo Maldini, Franco Baresi, Roberto Baggio, Giuseppe Meazza, Paolo Rossi หรือ Dino Zoff เป็นต้น และยังมีเหล่าตำนานอีก 1 ชุดที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นคือชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2006 ณ ประเทศเยอรมนีนั่นเอง อิตาลี 2006 ที่อุดมไปด้วย นักเตะเก๋าประสบการณ์ ชุดนักเตะของทีมชาติอิตาลีที่ถูกคัดตัวไปโม้แข้งในศึกฟุตบอลโลกปี 2006 ภายใต้การคุมทีมของ Marcello Lippi
หนึ่งในรูปแบบ ‘อัลบั้มที่ดี’ สำหรับเรา คือการที่เพลงในนั้นมีหลาก Mood & Tone เพื่อที่จะสามารถเล่าเรื่องราวของคอนเซปต์อัลบั้มซึ่งถูกคิดเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน แล้วจากจุดนั้นเอง ดนตรีที่อะเรนจ์ เนื้อร้องที่ถูกเขียน ก็ต้องเกิดขึ้นจากศิลปินซึ่งเข้าใจตัวเองและจุดที่ว่าไปมาก ๆ และอัลบั้ม Your Girl เป็นแบบนั้น … นี่คือเพลง Pop ในยุคสมัยใหม่ ที่ประกอบด้วยซาวด์จากเครื่องสังเคราะห์เต็มไปหมด แต่กลับยังสามารถคงความประณีตในการเรียบเรียงได้เป็นอย่างดี ไปจนถึงเนื้อร้องที่เขียนเองก็เยี่ยมไม่แพ้กันเลย เคยฟังบทสัมภาษณ์ที่ไหนสักที่เมื่อนานมากแล้ว จำได้ว่าคุณวีชอบซีรีส์เรื่อง That 70’s Show มาก คือที่จำได้แม่นจนขึ้นใจเนี่ย เป็นเพราะมันบังเอิญมากว่าเราเองก็เป็นแฟนคลับของเรื่องนี้ด้วย และก็ไม่เคยมีเพื่อนคนไหนที่ชอบเหมือนกันมาก่อน เรารัก Sit-Com ของเหล่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาด้วยกันในห้องใต้ดิน ‘บ้านฟอร์แมน’ มาก ๆ ถึงขนาดว่าเมื่อดูซีซั่นสุดท้ายจบลงไปแล้ว ก็ติดตามอ่านชีวิตของนักแสดงแต่ละคน พร้อมดูคลิปวันสุดท้ายที่พวกเขายืนเรียงกันหน้ากระดานพร้อมกันเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอด 8 ปี ซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง และเสียใจเสมอที่ Topher Grace ที่รับบท Eric Forman เลือกจะไม่อยู่ในช่วงเวลานั้นด้วย เอ้า ๆ ต้องขออภัยด้วยนะครับที่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวเล่าเสียยืดยาว
เสน่ห์ของซีรีส์ดราม่ากึ่งคอมเมดี้ของประเทศญี่ปุ่น นอกจากจะเบาสมอง ได้ยิ้มมุมปาก เรายังจะได้สัมผัสการโอเวอร์แอคติ้งที่คล้ายกับการชมอนิเมะเอามาก ๆ แถมมักจะแฝงข้อคิดดี ๆ เอาไปปรับจูนให้ชีวิตคิดบวกมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับซีรีส์เรื่อง “วิถีเผ็ดแซ่บร้อน (The Way Of The Hot & Spicy)” ที่ออกฉายเมื่อปี 2021 ทาง Netflix ซีรีส์เรื่องนี้มีทั้งหมด 12 ตอน เป็นผลงานของ 3 ผู้กำกับ ได้แก่ Keisuke Shibata จำนวน 7 ตอน, Paul Young จำนวน 3 ตอน และ Tatsuro Nishikawa จำนวน 2 ตอน โดยในแต่ละตอนมีความยาวที่ไม่ถึงชั่วโมง ดังนั้นจึงเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลา ในการรับชมซีรีส์ที่มีความยาวได้เป็นอย่างดี ส่วนเนื้อหาของเรื่องนี้คือการเบลนด์เอาชีวิตของเซลส์แมนมาโยงเข้ากับปรัชญการกินเผ็ด! สำหรับนักแสดงนำ ประกอบด้วย Akito Kiriyama (อดีตสมาชิกวงไอดอล “Johnny’s West”) รับบทเป็น
ในช่วงที่โลกเต็มไปด้วยความโกลาหลจากเหตุการณ์เลวร้ายที่เข้ามาไม่หยุดหย่อนแบบนี้ หลาย ๆ คนก็คงมีวิธีคลายเครียดต่างกันออกไป แต่สำหรับคนที่หลบจากโลกความจริงเอาใจไปปล่อยในมังงะอย่างพวกเรา การมาถึงของอนิเมะบู๊เลือดสาดอย่าง Chain Saw Man ที่กำลังไฮป์ที่สุดในทุกแพลตฟอร์มตอนนี้ ดูจะหนักเกินไปเหลือเกิน ก็ชอบแหละ แต่ขอห่างกันสักพักไปก่อน เพราะตอนนี้มังงะแบบ Slice Of Life น่าจะตอบโจทย์ชีวิตตอนนี้มากกว่า มังงะแนว Slice Of Life เป็นการ์ตูนที่จะพาเราปล่อยใจ พร้อมค้นหาความหมายของชีวิตบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความสามัญธรรมดาในทุกวันที่ผ่านไป จริง ๆ ถ้าลองสังเกตุดี ๆ ก็จะเห็นว่ามังงะแทบทุกเรื่องจะมีตอนที่เป็น Slice Of Life ซ่อนอยู่เสมอ เป็นวันที่ตัวเอกของตอนนั้น ๆ ทำอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่คิดอะไรมาก แค่เดินไปตามท้องถนนเฉย ๆ ให้คนอ่านได้พักหายใจก่อนที่จะออกเดินทางเสพเนื้อเรื่องหลักอันเข้มข้นต่อไป UNLOCKMEN ขอแนะนำมังงะ Slice Of Life ที่ผู้เขียนอ่านเอง รักเอง และเชื่อว่าคนอ่าน UNLOCKMEN น่าจะชอบด้วยเหมือนกัน เพราะโลกมันเครียดมากแล้ว เพราะฉะนั้นคงไม่มีอะไรดีเท่ากับการที่มังงะสักเล่มจะสามารถสร้างวันหยุดให้กับใจเราทุกครั้งที่เปิดอ่านนี่ล่ะ : ) โคทาโร่อยู่คนเดียว