การสื่อสารเป็นสิ่งที่คำคัญต่อการใช้ชีวิตในสังคม แต่อาจจะด้วยความทันสมัยของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารให้ง่ายขึ้น จากการสื่อสารในสมัยก่อนที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากันเท่านั้น กลายเป็นโทรศัพท์ที่ได้ยินแต่เสียง จนทุกวันนี้เราสื่อสารกันผ่านตัวอักษรเท่านั้น แม้จะบอกว่า เมื่อก่อนเราก็ใช้ตัวอักษรในการสื่อสารทางจดหมายเหมือนกัน แต่ความแตกต่างระหว่างลายมือ กับการพิมพ์นั้น มีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกันซ่อนอยู่ นั่นคืออารมณ์ของผู้เขียน เราอาจจะสังเกตลายมือของผู้เขียนได้ว่า เขารีบร้อน โกรธ หรือรู้สึกอะไรอยู่ได้ แต่การพิมพ์ข้อความผ่านโทรศัพท์อย่างปัจจุบันไม่สามารถจับต้องอะไรได้เลย ดังนั้น มันคงจะเป็นเรื่องยากถ้าหากเราจะรับรู้ถึงความรู้สึกใครสักคนอย่างแท้จริงผ่านการสื่อสารในสมัยนี้ นอกจากการเจอตัวเป็น ๆ ที่เราอาจจะพอเข้าใจถึงเบื้องลึกของบุคคลนั้น ๆ ได้ ด้วยวิธีการสังเกตภาษากาย วันนี้เราจึงจะมาแนะนำวิธีการอ่านภาษากายที่สามารถบอกคุณได้ว่า คนที่คุณกำลังสื่อสารด้วยกำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่มาให้ได้เรียนรู้กัน The Body Language ว่ากันว่าภาษากายมีความเฉพาะเจาะจงที่ชัดเจนต่อความรู้สึกของคนเรามากที่สุด ดังนั้น หากใครที่รับรู้การสื่อสารทางภาษากายได้ ก็เท่ากับว่าคุณสามารถอ่าน และรู้ถึงเบื้องลึกข้างในจิตใจคู่สนทนาได้ด้วย หากคุณรู้ภาษากายคุณจะได้ความจริงจากผู้ที่สื่อสารกับคุณอยู่เพิ่มมากขึ้น จากเดิมจะมีโอกาสเพียง 10% เท่านั้น ที่คุณจะสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างของคู่สนทนา เช่นอาจจะหลุดพูดออกมาเอง พูดแล้วฟังดูไม่น่าเป็นไปได้อย่างแน่นอน หรือ ที่เราเรียกว่าไม่เนียน ส่วนการสังเกตจากน้ำเสียง และความเร็วในการพูดนั้น สามารถจับพิรุธ และความรู้สึกจริง ๆ ได้ 40% ซึ่งก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นักจับโกหก หรือคนที่เรียนจิตวิทยามาใช้สังเกตความผิดปกติในบุคคลต้องสงสัย ส่วนสิ่งที่จะบอกความจริงที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้คู่สนทนาได้มากที่สุด ถึง 50%
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการดื่มของมึนเมาเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ กามารมณ์พลุ่งพล่าน และฉุดความยับยั้งชั่งใจให้ดิ่งลงเหว จนผู้ชายหลายคนเผลอทำอะไรไปโดยไม่คิด ราวได้ปลดแอกตัวเองออกจากคุกที่เรียกว่ากฎและบรรทัดฐานทางสังคมที่เป็นกรอบ แต่ในบรรดานักดื่มหลากหลายระดับ มีผู้ชายไม่น้อยที่อุทานวลี “เมาแล้วเงี่ย…ว่ะ” จนชินปาก เผลอคิดว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ไปกระตุกต่อมความใคร่อยากให้กำเริบ และปลุกเร้ามังกรน้อยใต้กางเกงให้พองตัวชูคอผงาดโด่ตามมา ในทางตรงกันข้ามหนุ่มบางคนกลับรู้สึกว่าการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นอุปสรรคต่อเซ็กซ์ของพวกเขา จากที่เจ้าโลกเคยเกรี้ยวกราดและสู้มือ กลายเป็นมังกรน้อยผู้หลับใหลที่ไม่มีวี่แววจะตื่น ร้ายกว่านั้นคือเบียร์ เหล้า ไวน์ และของมึนเมาอีกหลายขนาน ทำให้ผู้ชายไปไม่ถึงจุดสุดยอดและไม่ได้สำเร็จความใคร่ตามที่พวกเขาต้องการ คงไม่มีคำใดใช้นิยามเหตุการณ์นี้ได้ดีไปกว่า “Whisky Dick” ศัพท์สแลงอธิบายความอ่อนแอของบุรุษ ที่ยกแก้วเหล้ากระดกดื่มไม่ยั้ง แต่เมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศต้องการงัดกระบี่ฟาดฟันร่ายรำบนเตียง กระบี่เล่มเดียวเล่มนั้นของพวกเขากลับไร้คม ‘Whisky Dick’ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (จากแอลกอฮอล์) Whisky Dick ไม่ใช่คำศัพท์ทางการแพทย์ หากเป็นวลีที่ปรากฏขึ้นครั้งแรกในวรรณกรรมของกวีอังกฤษ William Shakespeare ใช้นิยามอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศอันเนื่องมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ Dr. Koushik Shaw ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะจาก The Austin Urology Institute เชื่อว่าความหมายบางส่วนของ Whisky Dick ยังคงเดิมเหมือนในอดีต แต่บริบทในปัจจุบันซ่อนความรู้สึกที่หนักอึ้งขึ้นไปอีก เพราะ Whisky Dick ถูกใช้ขยี้ความหงุดหงิดและอับอายของผู้ชายต่อหน้าสาว ๆ