ในสังคมปัจจุบันที่ชุดความคิด ‘ชายเป็นใหญ่’ นั้นล้าหลังไปแล้ว คำถามที่ว่าผู้ชายอย่างเราควรจะวางตัวอย่างไรให้เหมาะสมจึงกลายเป็นคำถามสำคัญและยากที่จะหาคำตอบ เพราะเรื่องนี้ไม่มีคำตอบที่ตายตัว เป็นสิ่งที่ใช้ความพึงพอใจของปัจเจกในแต่ละสังคมเป็นคำตอบ อย่างไรก็ตามวันนี้ ‘Barack Obama’ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนดังและ ‘Stephen Curry’ สุดยอดนักบาสเก็ตบอล NBA แห่งยุค จะมาเสนอแนวทางที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เราได้ฟังกัน เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ เมือง Oakland รัฐ California มีงานสัมมนาเรื่อง How to ‘Be a Man’ โดยมีวิทยากร 2 คน ซึ่งก็คือ Barack Obama และ Stephen Curry จุดมุ่งหวังคือการให้ผู้ชายรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชายผิวสีได้หลุดพ้นจาก ‘กับดัก’ ทางสังคม “พวกเราทุกคนน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าการจะเป็นผู้ชายที่ดีได้นั้น ต้องเริ่มจากการเป็นมนุษย์ที่ดีเสียก่อน นั่นหมายความต้องมีความรับผิดชอบ ทำงานหนัก มีน้ำใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น” Obama เริ่มต้นบทสนทนา “ความคิดที่ว่าการจะแสดงออกถึงความเป็นชายของตัวเองนั้นคือการต้องกดคนอื่นให้ต่ำกว่าตัวเองมันล้าสมัยไปแล้ว” “เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าเมื่อกลุ่มวัยรุ่นรู้สึกว่าไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม พวกเขาจะทำอะไรบางอย่างเพื่อแสดงออกให้ผู้อื่นทราบ” “ถ้าคุณรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องกดคนอื่นให้ต่ำลงเพื่อลบปมดังกล่าว ลองเปลี่ยนเป็นยกย่องเชิดชูดูสิ” “ผมเห็นด้วยกับเรื่องนั้น”
“เมื่อก่อนเราไม่เอาอะไรเลย อยากแค่ร้องเพลงอย่างเดียว … ไม่อยากทำอะไรที่มันไม่ใช่ตัวเอง อยากแค่ทำเพลงอย่างเดียวจริง ๆ” ตัวตน ความชอบ ความฝัน แพสชั่น เป็นเหมือนภารกิจชีวิตที่เราทุกคนต้องทำมันให้สำเร็จ ยิ่งกับเรื่องการสร้างตัวตนในยุคนี้ น้ำหนักของมันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ใครบ้างจะอยากเป็นสิ่งอื่นที่ตัวเองไม่อยากเป็น ใครจะอยากเสียเวลาไปฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ แม้การฝืนทน จำนนต่อสิ่งที่ไม่ชอบ กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของหลาย ๆ คน แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเปอร์เซ็นต์ของคนที่ประสบความสำเร็จเพราะทำตามความฝันเพียงอย่างเดียวมีจำนวนน้อยกว่ามาก เพื่อพูดคุยเรื่องส่วนผสมของความสำเร็จ ความชอบ การทำตามความฝัน ชื่อของ “แป้งโกะ” – จินตนัดดา ลัมะกานนท์ หญิงสาวเสียงใสที่ประสบความสำเร็จทางดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อยโดยเริ่มต้นจากการ Cover เพลงเป็นชื่อแรก ๆ ที่เรานึกถึง ศิลปินเต็มขั้นที่มีทั้งผลงานเพลงเป็นของตัวเองและยังคง Cover งานเพลงศิลปินอื่น โดยสวมวิญญาณการเล่าและตีความในรูปแบบฉบับของตัวเอง อย่างซิงเกิ้ลล่าสุดที่ปล่อยออกมาอย่าง คำอธิบายของ Ewery ก็เป็นเพลงที่เธอชื่นชอบถึงเลือกมาทำ ส่วนเราก็ยอมรับว่าชื่นชมทั้งน้ำเสียงและการถ่ายทอดอารมณ์ ไพเราะอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่แพ้ต้นฉบับ เราตั้งใจมาพูดคุยเรื่องเส้นทางการเติบโตของเธอ สิ่งที่ต้องก้าวข้ามเพื่อทำตามความฝันจนสำเร็จตั้งแต่ยุคอินเตอร์เน็ตยังไม่แรงเท่าวันนี้ แต่หนึ่งในคำตอบของเธอที่ “โต” กว่าตัวและความคาดหวังของเราที่ตอบกลับมา กลับน่าสนใจกว่าเก่า เมื่อแป้งโกะลุกขึ้นมายอมรับว่า “ความชอบ” ที่เคยพาไปถึงฝั่งนี่แหละ คือ “กรอบ” ชิ้นใหญ่ที่ชีวิตที่เราต้องก้าวข้ามไป อุปสรรคที่มากกว่าเสียงวิจารณ์ภายนอก
เราล้วนแต่เติบโตมาพร้อม ๆ กับคำกำชับสั่งสอนของผู้ใหญ่ว่า “ห้ามคุยกันเรื่องการเมืองและศาสนา ถ้าไม่อยากมีความบาดหมาง ขัดแย้ง” แต่ในทางกลับกัน UNLOCKMEN คิดว่าการซุกปัญหาไว้ใต้พรมเหมือนปัญหาและความขัดแย้งไม่เคยมีอยู่ต่างหากที่จะยิ่งทวีพลังความอัดอั้นในตัวเราแล้วระเบิดออกสู่สังคมอย่างรุนแรง เมื่อความรุนแรงของการเมืองปะทุขึ้นเรื่อย ๆ เราเลยอยากชวนผู้ชายทุกคนปลดล็อกตัวเองไปอีกขั้น ด้วยการพูดคุยเพื่อแสดงความคิดเห็นของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็รับฟังทัศนคติทางการเมืองของผู้อื่น เพื่อเรียนรู้แลกเปลี่ยนและนำข้อมูลที่มีเพิ่มขึ้นใช้ตัดสินใจลงคะแนนเสียงเพื่อชี้ชะตาประเทศได้อย่างมีวิจารณญาณที่สุด โดยเฉพาะในจังหวะที่บรรยากาศทางการเมืองและการหาเสียงกำลังดุเดือดเลือดพล่านแบบนี้ บางขณะที่เราก็ยังไม่พร้อมพูดคุยเรื่องนี้กับใคร แต่ก็อาจมีบางคนพยายามชวนเราคุยเรื่องนี้อยู่ดี นี่จึงเป็นการเตรียมความพร้อมและสร้างความฉลาดทางอารมณ์ไว้ล่วงหน้า ไม่ให้เราระเบิดอารมณ์ใส่ใครเพียงเพราะคุยกันเรื่องการเมือง ไม่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น เราจะเชียร์ใคร สนับสนุนใคร หรือฟากการเมืองใดก็ได้ เช่นเดียวกันกับที่คนอื่นก็มีสิทธิ์สนับสนุนความคิดเห็นทางการเมืองของฝั่งที่เขาเลือก ดังนั้นขั้นตอนแรกที่ต้องท่องจำให้ขึ้นใจคือทุกคนคือมนุษย์ที่มีสิทธิและมีเสียงเท่า ๆ กันกับเรา หลีกเลี่ยงการยัดเยียดว่าใครเป็นควาย เป็นเหี้ย เป็นหมา ฯลฯ เพียงเพราะเขาไม่สนับสนุนฝั่งเดียวกับเรา หรือสนับสนุนฝั่งที่เราไม่ชอบ การลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น และการเพิ่มความเกลียดชังทางคำพูด ไม่ทำให้บทสนทนาราบรื่นแน่นอนไม่ว่าจะเรื่องทางการเมืองหรือเรื่องไหน ๆ บทสนทนาคือการพูดและฟัง ไม่ใช่แค่การหักล้าง การสนทนาเรื่องการเมืองกับใครก็ตาม อาจไม่ได้หมายถึงแค่การเอาชนะ กดดันหรือโน้มน้าวใจอีกฝั่งให้เชื่อเหมือนเรา คิดเหมือนเรา หรือเชื่อเหมือนเราเท่านั้น การสนทนาเรื่องการเมืองอาจหมายถึงการแลกเปลี่ยนโดยเราได้พูดเพื่อแสดงความคิดเห็นของเรา ในขณะเดียวกันเราก็รับฟังความคิดเห็นของคนที่คิดต่างจากเรา เราอาจไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดออกมา แต่เราควรรับฟังเพื่อรู้ว่าเขาคิดอะไร โดยใช้เหตุและผลคุยกันมากกว่าอารมณ์และความเกลียดชัง ถ้าเจอคนเกรียนใส่ จงเลี่ยงออกมา บทสนทนาเรื่องการเมืองจะไปข้างหน้าได้ก็ต่อเมื่องทั้งเราและคนในวงสนทนาต้องการแลกเปลี่ยน เข้าใจและรับฟังซึ่งกันและกัน เมื่อใดก็ตามที่ในวงสนทนานั้นมีคนเกรียนใส่ไม่ยั้ง
“ผิวหน้าและผิวกายไม่ใช่จะมีความหมายต่อคุณผู้หญิงเท่านั้น เพราะในคุณสุภาพบุรุษนั้น ก็มีความหมายไม่แพ้กันเลยทีเดียว ต้องการบำรุง ดูแลสุขภาพผิวพรรณ เพราะสุขภาพผิวที่ดีนั้นมีผลต่อสุขภาพทางจิตใจเช่นกัน” พ.ญ.วิญญารัตน์ ตันศิริ แพทย์ผิวหนัง ผู้ชายส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำอะไรต้องไปให้สุด ทุกครั้งที่เริ่มสนใจอะไร เราจะไปค้นคว้าข้อมูลจนได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้แจ้ง ลองถามเรื่องรถยนต์กับคนรักรถดู แค่เสียงจากท่อก็รู้แล้วว่าเครื่องยนต์อะไร รถรุ่นไหน ทำอะไรมาบ้าง หรือคนสะสมนาฬิกา เห็นแค่หน้าปัดด้วยหางตาก็สามารถระบุยี่ห้อ รุ่น ราคา ปีผลิตของนาฬิกาเรือนนั้นได้ ในขณะเดียวกัน เรื่องผิวหน้าตัวเอง อวัยวะที่เปิดเผยชิ้นใหญ่ที่สุดของร่างกายที่เราใช้งานอยู่ทุกวัน เรากลับไม่ค่อยรู้ถึงความความแตกต่างของโฟมล้างหน้าหญิงชาย คิดว่าใช้อะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้มือ หรือผู้ชายส่วนใหญ่เลือกใช้ของแฟนสาว อาจจะเพราะคิดว่ามันละเอียดอ่อนกว่า มันดีกว่า แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ นั่นเพราะผิวหน้าของผู้ชายและผู้หญิงนั้นแตกต่างกันมาก ไม่ว่าจะเป็นจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การดูแลรักษา ไปจนถึงปัจจัยภายในร่างกายอย่างเรื่องของฮอร์โมน สภาพผิว รูขุมขน ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่โลกนี้มีโฟมล้างหน้าสูตรสำหรับผู้ชายถือกำเนิดขึ้นมา ผิวผู้ชาย กับผิวผู้หญิง ต่างกันจริงหรือ? สำหรับผู้ชายคนไหนที่อดสงสัยไม่ได้ว่าผิวหน้าของเรานั้นแตกต่างจากผิวหน้าของผู้หญิงจริงหรือไม่ ? หรืออยากเข้าใจให้สุดเหมือนที่เราเข้าใจเรื่องอื่น ๆ ว่าผิวหน้าของผู้ชายแตกต่างจากผิวหน้าผู้หญิงอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบจากพ.ญ.วิญญารัตน์ ตันศิริ แพทย์ผิวหนังที่จะช่วยให้เราเข้าใจผิวตัวเองมากขึ้นและเลือกใช้โฟมล้างหน้าสูตรสำหรับผู้ชายได้ดียิ่งขึ้น โดยแพทย์ผิวหนังระบุว่าผิวผู้ชายแตกต่างจากผิวผู้หญิงดังต่อไปนี้ 1. มีฮอร์โมนเพศชาย คือ แอนโดรเจน ( Androgen
ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง “Constantine คนพิฆาตผี” คงต้องยอมให้กับความเท่ระเบิดระเบ้อของ Keanu Reeves ที่เจิดจรัสออกมาตลอดทั้งเรื่อง จนกลบเสียงวิจารณ์เนื้อหาที่ฉีกไปจากคอมมิกอย่างไม่มีชิ้นดี นอกจากความเท่ที่มันเตะตาคนดูอย่างเราแล้ว หลายคนคงจำรอยสักปริศนาที่แขนของ John Constantine ตัวเอกของเรื่องกันได้ดี โดยเฉพาะฉากยกแขนมาแนบกันเพื่อปราบเจ้าเด็กแสบ รอยสักนั้นไม่ได้ถูกดีไซน์ขึ้นมาใหม่ ให้มันเท่เข้ากับคาแรกเตอร์เฉย ๆ อย่างตัวละครในเรื่องอื่น แต่มันเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายและมีมานานอีกแล้วอีกต่างหาก UNLOCKMEN จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสัญลักษณ์นั้น ที่กลายมาเป็นรอยสักแสนสะดุดตาบนแขนของเขากัน ทำความรู้จักเรื่อง Constantine ก่อนจะไปทำความรู้จักกับสัญลักษณ์นั้น ลองมาทบทวนเนื้อเรื่อง “Constantine คนพิฆาตผี” กันหน่อย เผื่อมีบางคนที่ดูนานแล้วจนลืมเลือนเนื้อเรื่องไป หรือบางคนที่อาจจะยังไม่เคยดูเรื่องนี้มาก่อน ความเท่ของการปราบผีระดับตำนาน เรื่องราวของ John Constantine (Keanu Reeves) เขาไม่ได้เป็นนักบุญ แต่เขาคือผู้ที่เคยผ่านความตาย และมีพรสวรรค์ในการเห็นสิ่งใด ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ เขาใช้ชีวิตเพื่อกำจัดพวกเกเรกลับนรกไม่ให้เหลือซาก จนเขาได้ไปเจอกับตำรวจสาวที่ขอร้องให้เขาช่วยสืบเกี่ยวกับคดีการฆ่าตัวตายของน้องสาวฝาแฝดของเธอ แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น เมื่อความตายของสาวคนนั้นเป็นเพียงปมเล็ก ๆ ของเรื่องราวอันยุ่งเหยิงระหว่างปีศาจ ลูกตัวแสบของลูซิเฟอร์ที่อยากจะขึ้นมาป่วนโลกนี้แบบเต็มที ใครที่ชื่นชอบปีศาจแบบตามศาสนา ไม่ใช่ผีแบบ Ghost ล่ะก็ แนะนำเรื่องนี้เป็นอันดับต้น ๆ เพราะเรื่องนี้จะเต็มไปด้วย ปีศาจ ศาสนา
ถ้าทำงานแล้วได้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่าหรือมีหัวหน้าที่เข้าอกเข้าใจถึงงานหนักแค่ไหนก็ยังไหว แต่นั่นไม่ใช่กับบริษัทที่มีนโยบายแบบ Black Company เพราะนอกจากจะใช้งานหนักเยี่ยงทาสแล้ว บริษัทสีดำเหล่านี้ยังจ่ายเงินค่าล่วงเวลาในจำนวนที่น้อยนิด หรือถ้าหนักขึ้นไปอีกอาจจะต้องทำงานล่วงเวลาโดยไม่ได้รับค่าจ้างด้วยซ้ำ แถมยังต้องทำงานในวันหยุดอีกด้วย มันเกิดอะไรขึ้น ? แล้วทำไมเหล่ามนุษย์เงินเดือนเหล่านั้นถึงยังต้องยอมทนอยู่ ? ในช่วงสมัยที่ยากูซ่ายังมีอยู่ทั่วทั้งญี่ปุ่น ยากูซ่าเหล่านี้จะเปิดบริษัทเพื่อวัตถุประสงค์หลายอย่างไม่ว่าจะการสร้างช่องทางเป็นแหล่งรายได้เพื่อหล่อเลี้ยงแก๊งของตัวเอง หรือมีไว้เพื่อบังหน้าจากการทำธุรกิจใต้ดินผิดกฎหมาย ทำให้ในสมัยก่อนบริษัทของยากูซ่าเหล่านี้จะถูกเรียกกันว่า Black Company อย่างไรก็ตาม บริษัทสีดำที่ว่าในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกเฉพาะกับธุรกิจของเหล่ายากูซ่าอีกต่อไป แต่มันหมายถึงสำนักงานต่าง ๆ ทั่วเกาะญี่ปุ่นที่ใช้แรงงานพนักงานกินเงินเดือนเยี่ยงทาสอีกด้วย Black company (ブラック企業 burakku kigyō) บริษัทสุดโหดที่ชอบใช้งานพนักงานมากเกินความจำเป็น และมักเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการในสายครีเอทีฟและสายบันเทิงอย่างสื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร บริษัทผลิตเกม และรายการทีวีช่องต่าง ๆ ปัจจุบันบริษัทสีดำในญี่ปุ่นเหล่านี้ก็ขยายวงไปยังวงการอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว นอกจากรายได้อันน้อยนิดกับการทำงานล่วงเวลาที่หนักหน่วง อีกหนึ่งสิ่งที่ตามมาและพบเห็นได้บ่อยครั้งในบริษัทประเภท Black Company คือเรื่องของ power harassment หรือการกดขี่ กดดัน ข่มขู่พนักงานไปจนถึงการทำร้ายร่างกาย ซึ่งเหล่าลูกน้องในบริษัทสีดำเหล่านี้จะต้องน้อมรับแต่โดยดี ห้ามเรียกร้องหรือคัดค้านอะไรทั้งสิ้น ไม่ใช่เพียงแค่ความกดดันหรือการข่มขู่เท่านั้น เพราะในบางครั้งพนักงานที่เป็นผู้หญิงก็มักจะโดน sexual harassment หรือการล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศอยู่บ่อยครั้ง การกล่าวอ้างนี้ก็ไม่ได้เขียนขึ้นลอย
หลังจากที่เมื่อคืนปาร์ตี้อย่างหนักหน่วงจนไม่รู้ว่าภาพตัดไปตอนไหน เมื่อคุณฟื้นขึ้นมาบนเตียง หลังจากตั้งสติได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน สิ่งที่ตามมาแน่นอนคืออาการเมาค้างปวดหัว หรือที่ภาษานักดื่มเรียกว่า ‘แฮ้ง’ ส่วนจะปวดมากปวดน้อยก็ขึ้นอยู่กับปริมาณแอลกอฮอล์ที่กระดกเข้าไปเมื่อคืน อาการแฮ้งคือปัญหาที่อยู่คู่กับบรรดานักดื่มมาอย่างยาวนาน เป็นปัญหาโลกแตกที่ไม่มีใครตอบได้จริง ๆ ว่าบรรเทาด้วยวิธีไหนได้ผลที่สุด แต่ละคนก็มีวิธีแก้แฮ้งแตกต่างกันไปตามที่เรียนรู้จากประสบการณ์ -ทันทีที่ตื่นให้กระดกเพิ่มอีก 1 ช็อตหรือดื่มเบียร์ 1 ขวด เพื่อถอน -ดื่มน้ำหวานต่าง ๆ โดยเฉพาะน้ำอัดลม -ทานข้าวต้มหรือซุปร้อน ๆ -อาบน้ำอุ่น เหล่านี้คือวิธีแก้แฮ้งที่เราได้ยินกันมานาน และเชื่อว่าหลายคนคงเคยลองทำตาม แต่วันนี้เรามีวิธีที่แปลกใหม่มานำเสนอ เป็นคำแนะนำจากปากมืออาชีพที่ถูกรายล้อมด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตลอดเวลาอย่าง ‘บาร์เทนเดอร์’ นั่นเอง โดยข้อมูลทั้งหมดเรารวบรวมมาจาก Rooster Magazine ส่วนจะได้ผลหรือไม่นั้น ต้องลองดู “ก่อนนอนผมพยายามดื่มน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การขาดน้ำเป็นสิ่งอันตราย และเมื่อผมตื่นขึ้นมา อาหารเช้าจะเป็นกาแฟดำและขนมปังอะโวคาโด เท่านี้ผมก็สามารถเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว แต่ถ้าผมไม่ทำเช่นนี้ล่ะก็ ตลอดทั้งวันผมจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย -Shawn Campbell, Bartender “แน่นอนว่าต้องพยายามดื่มน้ำให้มากที่สุด และบังคับตัวเองให้ออกกำลังกาย ผมชอบที่จะฝึกมวย, โยคะร้อนหรือบางครั้งก็วิ่ง เมื่อเหงื่อออกสารเอนโดรฟินก็จะหลั่ง และมันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น” -Jim Kenyon, Bartender “Latkes (แพนเค้กมันฝรั่งแบบปราศจากกลูเตน ไข่และมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ)” -Alex Jump, Bartender/Bar Manager “วิธีที่ผมชอบคือดื่มน้ำหนึ่งขวดก่อนนอนตามด้วยยาแอสไพรินสองเม็ดและเมื่อตื่นมาผมมักจะดื่มเบียร์เป็นอย่างแรก
“ขีดจำกัด” ใคร ๆ ก็คงต้องติดอยู่กับคำนี้ ถ้ามีโอกาสสักทีเราล้วนแต่ต้องการทำลายมันลงเพื่อใช้ชีวิตไร้ขีดจำกัดแบบที่เราฝัน โดยเฉพาะชีวิตคนเมืองที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง ความรับผิดชอบทั้งกับตัวเราเอง ครอบครัวและคนที่เรารัก การมีชีวิตไร้ขีดจำกัดจึงล้วนเป็นสิ่งที่เราฝันถึง “พื้นที่อยู่อาศัย” ที่จะช่วยให้เราใช้ชีวิตไร้ขีดจำกัดได้จึงไม่ต่างจากตัวช่วยสำคัญที่จะเติมเต็มชีวิตให้เราได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่จะดีแค่ไหน ? ถ้าพื้นที่อยู่อาศัยไม่ใช่แค่เติมเต็มชีวิตให้ไร้ขีดจำกัด แต่มาพร้อมความสะดวกสบายครบครันแบบที่เรารอคอยมาทั้งชีวิต SAMYAN MITRTOWN ถือเป็นอีก Mixed Use Project แห่งปีที่ตอบโจทย์ชีวิตไร้ขีดจำกัดของคนเมืองโดยเฉพาะส่วนที่ลุ้นระทึกกันมานานอย่างส่วนพื้นที่พักอาศัย อย่าง ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์ (TRIPLE Y RESIDENCE) แห่ง SAMYAN MITRTOWN ถือเป็นคอนโดมิเนียมที่ส่งเสริมชีวิตไร้ขีดจำกัดที่แท้จริง ทั้งในแง่การเดินทางโดย TRIPLE Y RESIDENCE ตั้งอยู่บนพื้นที่ทองคําที่สวยที่สุดของถนนพระราม 4 นอกจากนั้นยังเติมได้ครบทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง และที่สำคัญคือบริการ Facility 24 ชั่วโมง ชีวิตไร้ขีดจำกัดขนาดนี้จะมีรายละเอียดน่าสนใจขนาดไหน เราอยากชวนทุกคนมาตื่นตาตื่นใจกับความสะดวกครบครันไปพร้อม ๆ กันTRIPLE Y RESIDENCE: เดินทางง่ายไร้ขีดจำกัด ชีวิตที่มีข้อจำกัดเรื่องการเดินทางทำให้คนเมืองอย่างเราไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจปรารถนา แต่จะดีแค่ไหนถ้า TRIPLE Y RESIDENCE ทำให้ชีวิตไร้ขีดจำกัดได้ด้วยทำเลศักยภาพที่ทำให้ทุกการเดินทางง่ายดังใจนึก TRIPLE
สรรพสามิตฯ บุกตึกแถวจับหนุ่มนิติศาสตร์ ม.ดัง คิดค้นสูตรหมักเบียร์ขายเอง! ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน นี่คือพาดหัวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ เป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการคราฟต์เบียร์ไทยที่ทั้งคนในและนอกวงการต่างให้ความสนใจ เพราะก่อนหน้านี้คราฟต์เบียร์ในไทยยังเป็นอะไรที่เทา ๆ ไม่ได้มีการเอาผิดทางกฎหมายอย่างจริงจังจนกระทั่งเหตุการณ์นี้ ‘เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร’ คือชื่อของผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว คนส่วนใหญ่คงไม่มีใครรู้จักเขามาก่อน มีข้อมูลชายคนนี้เท่าที่ข่าวนำเสนอ แต่เรากับเขาเคยพบปะกันมาบ้างในกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ รวมถึงเรื่องเบียร์ที่เราค่อนข้างเป็นแฟนคลับ ตามดื่มคราฟต์เบียร์ของเขามาตั้งแต่ยังไม่เกิดเรื่อง เราจึงค่อนข้างตกใจกับข่าวนี้พอสมควร 2 ปีผ่านไป จากผู้ต้องหาในวันนั้น ในวันนี้เขากลับมีชื่อเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรในนามพรรค ‘อนาคตใหม่’ พร้อมนโยบายผลักดันคราฟต์เบียร์ไทยให้ถูกกฎหมาย ดูเป็นผู้ชายที่มีชีวิตน่าสนใจไม่ใช่น้อย และโชคดีที่วันนี้เรามีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับเขา เอาเป็นว่าเราไปทำความรู้จัก เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร กับบทบาทท้าทายครั้งใหม่ในชีวิตไปพร้อม ๆ กัน เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร คือใคร? “สวัสดีครับ ผมชื่อ เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร อายุ 29 ปี เรียกผมว่าเท่าก็ได้ แต่ฉายาของผมที่คนทั่วไปรู้จักก็น่าจะเป็นหนุ่มนิติคราฟต์เบียร์ เพราะว่า 2 ปีก่อนผมโดนจับไปเพราะทำคราฟต์เบียร์” นอกจากการเป็นหนุ่มนิติคราฟต์เบียร์ ไลฟ์สไตล์ด้านอื่นเท่าพิภพเป็นยังไงบ้าง? “จริง ๆ ไลฟ์สไตล์ผมก็เป็นคนง่าย ๆ รักอิสระ ทำอะไรค่อนข้างตามใจตัวเอง
อาหารอีกหนึ่งปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต เป็นพลังงานหล่อเลี้ยงร่างกาย หลายคนกินเพื่ออยู่ บางคนอยู่เพื่อดื่มด่ำรสชาติที่คลุกเคล้าอยู่ในปาก หรือบางคนก็เลือกที่จะบริโภคเชิงสัญญะ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรามักจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง เรามักจะอิดออดเมื่อเจอร้านที่แสนจะอร่อยแต่ไม่ถูกสุขอนามัย หรือร้านที่สะอาดก็ดันไม่ถูกปากเราจนกินไม่ลง ในเมื่อเราเลือกได้ที่จะกินหรือไม่กินตั้งแต่แรก ทำไมไม่ลองลงมือทำกินเองกันบ้างล่ะหนุ่ม ๆ รวบตึงเอาทุกข้อดีที่เราอยากได้มาไว้ด้วยกัน เก็บไว้เป็นอีกสกิลติดตัว โชว์สาวได้ กินเองก็ดี หากอยากจะเริ่มต้นแต่ไม่รู้ว่าจะต้องจับจุดไหนก่อน UNLOCKMEN มีเรื่องง่าย ๆ ที่ควรรู้มาแนะนำ เลือกวัตถุดิบให้เป็น อีกหัวใจหลักของอาหารคือ เราต้องเลือกวัตถุดิบให้เฉียบเสียก่อน ถ้าจะมาบอกว่าอันนั้นเลือกแบบนั้น อันนี้เลือกแบบนี้ ผู้ชายอย่างเรางงหูตาแตก จำไม่หมดอย่างแน่นอน เอาเป็นว่าลองแยกเป็นสองอย่างง่าย ๆ คือ เนื้อสัตว์ กับ ผัก ก่อน จริง ๆ เดี๋ยวนี้ตามห้างสรรพสินค้า มีวัตถุดิบที่น่าเชื่อถือด้วยยี่ห้อ การการันตีคุณภาพ เยอะแยะมากมายดาหน้ามาให้เราเลือกเต็มแผง สิ่งที่เราต้องทำคือเลือกมันให้ถูกกับเมนูที่เราจะทำ อย่างเนื้อสัตว์เนี่ย ต้องทำความรู้จักกับแต่ละส่วนของมันก่อน ส่วนนี้จะให้ Texture แบบนี้ ความเหนียว ความนุ่ม ของแต่ละส่วนก็ไม่เท่ากัน อย่าคิดว่าส่วนไหนก็เหมือนกันหมดเชียว ส่วนผัก อันนี้เหมือนจะยากสำหรับหนุ่ม ๆ ที่คงจะแยกความแตกต่างกับเรื่องยิบย่อยไม่ค่อยถูก อย่างใบโหระพากับใบแมงลัก หรือจะเบสิกอย่างใบกะเพรากับใบสะระแหน่
ในปีนี้กระแสอาหารอะไรกำลังมาบ้าง ? นี่เป็นคำถามที่เหล่านักชิมและผู้รักสุขภาพถามหากันตั้งแต่ต้นปี จึงทำให้เว็บไซต์อย่าง michelin.com ที่โด่งดังในเรื่องของการจัดอันดับมิชลินสตาร์ ร่วมกับสำนักข่าว CNBC ได้รวบรวมเทรนด์อาหารที่น่าสนใจประจำปี 2019 เอาไว้เป็นที่เรียบร้อย และ UNLOCKMEN จะพาไปชมกับ 5 เทรนด์อาหารที่น่าสนใจของปีนี้ 1. อาหารเอาใจนักกินสายเขียว เพราะกัญชาคือประเด็นที่ร้อนแรงมาตั้งแต่ต้นปี ทั้งการทำให้กัญชาถูกกฎหมายและกลายเป็นพืชที่ใช้ในการสันทนาการ ในบางประเทศที่กัญชากลายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายแล้วก็ไม่รอช้านำเจ้าพืชสายเขียวนี้มาเป็นส่วนประกอบของอาหารนานาชนิดเป็นที่เรียบร้อย ไม่ว่าจะอาหารคาวอย่าง ซูชิ ขนมปังกระเทียม แซนวิช สลัด ไปจนถึงของหวานอย่างบราวนี่ มัฟฟิน และไอศกรีม ที่หลาย ๆ คนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าจะต้องได้รับความนิยมอย่างแน่นอน เพราะกัญชานั้นมีส่วนช่วยคลายความเครียด ทำให้หลับสนิท และบางคนก็มีความคิดว่าการใส่กัญชาลงไปในอาหารเล็กน้อยก็จะช่วยทำให้คึกคักในเรืองทางเพศได้ 2. Pacific Rim Cuisine ถึงแม้ชื่อจะเหมือนกับหนังแอคชั่น Sci-fi ชื่อดังอย่าง Pacific Rim แต่อาหารประเภทนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด Pacific Rim Cuisine คือชื่ออาหารฟิวชันซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัตถุดิบที่ได้มาจากหมู่เกาะต่าง ๆ ทั่วมหาสมุทรเอเชียแฟซิฟิก ไม่ว่าจะเป็นปลา สาหร่าย
เคยไหมเมื่อบางครั้งรู้สึกโกรธมาก ๆ แต่ทำอะไรไม่ได้ หรือไม่พอใจอะไรต้องเก็บไว้ในใจและไม่รู้ว่าจะไประบายพลังงานลบได้ที่ไหน แล้วถ้าต้องจ่ายเงิน 700 บาท แต่สามารถระบายอารมณ์โดยการทำลายข้าวของได้ตามใจเพื่อคลายความหัวร้อนลงคุณจะยอมจ่ายหรือไม่ ? ถ้าคำตอบที่มีอยู่ในใจคือใช่ UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับห้องที่ทุกคนสามารถแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาได้ดั่งใจ เพราะอารมณ์โกรธคือสิ่งที่ทุกคนจะต้องเคยพบเจอสักครั้งในแต่ละวันทำให้บริษัทมีชื่อว่า Smash เกิดไอเดียสร้างรายได้จากความโกรธอย่างห้องที่มีชื่อว่า ห้องระบายอารมณ์ หรือ Anger Room ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เป็นห้องที่พร้อมรับมือผู้คนที่นำพาความโกรธมาระบาย ณ ที่แห่งนี้ ก่อนที่ลูกค้าจะได้เข้าไปใช้บริการในห้องระบายอารมณ์ ทางบริษัท Smash จะมอบไม้เบสบอลหรืออาวุธเบาอื่น ๆ ให้ลูกค้าถือติดมือ และกำหนดให้ลูกค้าทุกคนสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันก่อนเข้าสู่ห้องระบายอารมณ์ เพื่อป้องกันสิ่งของที่แตกกระจายเพราะภายในห้องจะมีข้าวของต่าง ๆ เช่น ขวดแก้วหรือแจกัน เตรียมไว้ให้หวดอย่างเต็มแรงเป็นเวลา 30 นาที ในราคา 158 หยวนหรือราว 700 บาท เจ้าของบริษัท Smash นามว่า Jim Meng บอกเล่าถึงธุรกิจของตัวเองว่าห้องระบายอารมณ์นี้เปิดมาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2018 และลูกค้าราว 600 คนต่อเดือนของเขาได้ทำลายขวดแก้วไปแล้วเดือนละกว่า 15,000 ขวด แถมเขาเคยเห็นลูกค้าหญิงรายหนึ่งนำภาพถ่ายในวันแต่งงานของตัวเองมาทุบทิ้งจนเละและทิ้งไว้ในห้องอีกด้วย สำหรับเสียงตอบรับของเหล่าลูกค้าที่ได้ลองใช้บริการห้องระบายอารมณ์ต่างบอกว่ารู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ทำลายสิ่งของต่าง