ปกติเวลาเราแก้ปัญหา เรามักคิดวิธีแก้ปัญหาจากประสบการณ์หรือความรู้ที่เรามีอยู่แล้ว ซึ่งบางครั้งมันก็อาจเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่สามารถค้นพบวิธีการแก้ปัญหาแบบใหม่ ที่อาจมีประสิทธิภาพมากขึ้น และให้ประโยชน์เราได้มากกว่าวิธีคิดแบบเดิม เราเลยอยากมาแนะนำวิธีการฝึกคิดนอกกรอบ หรือ Lateral Thinking เพื่อให้เราสามารถแก้ปัญหาที่เผชิญในชีวิตได้ดีขึ้น Lateral Thinking คืออะไร ? Lateral Thinking เป็นวิธีคิดเชิงสร้างสรรค์ยุคที่เกิดขึ้นในปี 1967 โดยนักจิตวิทยามือรางวัลชื่อว่า Edward de Bono ซึ่งแนวคิดนี้จะสนับสนุนให้มีการมองปัญหาจากมุมมองใหม่ เพื่อให้นักคิดค้นพบวิธีการแก้ปัญหาแบบใหม่ที่อาจถูกซ่อนอยู่ หากลองเปรียบเกมหมากฮอสเป็นปัญหาหนึ่งที่ต้องได้รับการแก้ไข ผู้เล่นที่มี Lateral Thinking จะไม่ใช้ตัวหมากฮอสที่มีอยู่ในการแก้ปัญหา แต่อาจจะเปลี่ยนมัน หรือ ใช้อย่างอื่นในการแก้ปัญหาแทน Lateral thinking จะเกี่ยวข้องกับ 4 ทักษะนี้ ได้แก่ การรับรู้ไอเดียหลักที่ส่งผลต่อความเข้าใจในปัญหา การค้นหาวิธีอื่นในการมองสิ่งที่อยู่รอบตัว การทำลายความไม่หยืดหยุ่นทางความคิด และรู้จักใช้โอกาสในการสนับสนุนไอเดียอื่น หากเราพัฒนาทักษะเหล่านี้แล้ว เราจะแก้ปัญหาได้ดีขึ้นและมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นอย่างแน่นอน เราจะนำ Lateral Thinking มาใช้ได้อย่างไรบ้าง ? ข่าวดี คือ เราสามารถพัฒนา Lateral
เมื่อก่อนพวกเราเรียกร้องอยากทำงานที่บ้าน แต่วันนี้ดูเหมือนการ Work From Home จะกลายเป็นวิถีชีวิตหลักไปเรียบร้อยแล้ว Designer หลายคนจึงหันมาออกแบบเพื่อสร้างประสบการณ์เปลี่ยนบ้านให้เหมาะกับการทำงาน และยังช่วยประหยัดพื้นที่มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่หลายคนมีพื้นที่บ้านจำกัด ทีมนักออกแบบจาก OPEN SOHKO DESIGN และ NOSIGNER จึงร่วมกันออกแบบพื้นที่การทำงานคอนเซปต์ใหม่แบบ DIY home office ที่มาในรูปแบบกล่องสี่เหลี่ยม เรียกว่า ‘Re-SOHKO TRANSFORM BOX’ กล่องมหัศจรรย์ที่ทำได้หลากหลายหน้าที่ และสามารถช่วยประหยัดพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แค่กางและพับเก็บ! Re-SOHKO TRANSFORM BOX กล่องมากฟังก์ชันที่พร้อมเปลี่ยนแปลงพื้นที่ภายในให้ตอบโจทย์แต่ละคนได้ เมื่อกางกล่องสี่เหลี่ยมสูงประมาณตู้เย็นออก ก็จะเจอกับ Workspace พร้อมโต๊ะทำงานสำหรับวาง laptop พร้อมขั้นวางของ ตู้เก็บของแบบ Built-in พับเก็บและขยายการใช้งานได้สารพัด สามารถเลือก DIY ฟังก์ชันที่ต้องการแตกต่างกันไป และยกไปใช้งานนอกบ้านได้ง่ายเมื่อพับเก็บ เป็นดีไซน์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของดีไซน์เนอร์ญี่ปุ่น ที่ผสมผสานตอบโจทย์ได้ทั้ง Form และ Function เพราะการดีไซน์ที่มีประโยชน์ ไม่ใช่การออกแบบแค่ความสวยงาม แต่ต้องตอบโจทย์ปัญหาที่พวกผู้คนต้องเจอในชีวิตประจำวันให้ดีขึ้นได้ด้วยนั่นเองครับ
เวลาที่เราต้องทำงานหลายชิ้นพร้อมกัน เราอาจเกิดอาการคิดมาก และเกิดคำถามกับตัวเอง เช่น จะลงมือทำงานชิ้นไหนก่อนดี หรือ ควรใช้เวลาทำงานแต่ละชิ้นนานแค่ไหน เป็นต้น ซึ่งความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นในหัว อาจทำให้เราลงมือทำงานได้ช้า และสามารถจัดการงานได้แย่ลงด้วย UNLOCKMEN เห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ เลยอยากมาแนะนำเทคนิคที่จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นชื่อว่า ‘GTD’ ซึ่งหากใครรู้จักและรับเทคนิคนี้ไปแล้ว จะทำงานได้ productive มากขึ้นอย่างแน่นอน GTD คืออะไร GTD หรือ Getting Things Done คือ เทคนิคสร้างความโปรดักทีฟที่พัฒนาโดย David Allen ที่ปรึกษาด้านการบริหาร และเจ้าของหนังสือยอดฮิตอย่าง “Getting Things Done” โดยเทคนิคนี้จะเกี่ยวข้องกับการบริหารเวลา (time management) และจัดความสำคัญของสิ่งที่เราต้องทำ (priorities) เพื่อป้องกันอาการสมองรกที่เกิดขึ้นจากการรับมือกับภาระจำนวนมาก และทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดลง สำหรับประโยชน์ของ GTD ที่เห็นได้ชัด คือ มันทำให้เรารู้ว่าควรทำอะไรก่อนและหลัง ช่วยให้เราจัดการกับสิ่งที่อยู่ในหัวได้อย่างเป็นระบบ ป้องกันไม่ให้เราเกิดอาการคิดมาก และสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้มันยังช่วยให้เราสามารถสลับบทบาทในชีวิตของตัวเองได้ดีขึ้น เช่น บางคนอาจจะเป็นทั้งพ่อคน และผู้บริหาร เทคนิคนี้จะช่วยให้ทำหน้าที่ในแต่ละบทบาทได้ดีขึ้น
พอเกิดโรคระบาดขึ้นมา เทรนด์การตลาดออนไลน์ก็เปลี่ยนไปพอสมควร เนื่องจากทุกคนต้องอยู่บ้านกันมากขึ้น โลกออนไลน์เลยได้รับความสำคัญมากกว่าแต่ก่อน ธุรกิจที่เมื่อก่อนไม่ได้อยู่บนโลกออนไลน์ก็ต้องมาอยู่ในแพลตฟอร์มนี้กันมากขึ้น เมื่อการตลาดออนไลน์เริ่มเป็นพื้นที่แข่งขันทางธุรกิจที่ดุเดือดมากขึ้น และการเอาตัวรอดบนแพลตฟอร์มนี้ดูจะเป็นเรื่องยากมากขึ้นทุกที UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำเทคนิคในการทำ Digital Marketing เพื่อให้นักธุรกิจทุกคนสามารถรอดพ้นจากวิกฤต COVID-19 กันได้ถ้วนหน้า ทำการตลาดออนไลน์หลายช่องทาง การตลาดบน Facebook เพียงช่องทางเดียว ดูจะล้าสมัยไปแล้ว เพราะตอนนี้มีหลายช่องทางที่บูมในช่วงวิกฤต COVID-19 ไม่ว่าจะเป็น TikTok หรือ Clubhouse แถม Facebook เองก็ยังมีปัญหาที่ทำให้คนเริ่มออกไปเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการปรับอัลกอริทึมที่ทำให้ยอด Organic Reach ของเพจต่าง ๆ ลดลง หรือการใช้ AI ในการตรวจสอบเนื้อหาที่อยู่ในแพลตฟอร์ม ซึ่งพ่วงสารพัดปัญหาตามมา ไม่ว่าจะเป็น การปฏิเสธโฆษณาที่สุจริต หรือ การลบ เพจ และ กลุ่มที่ไม่ได้มีเนื้อหาละเมิดกฎอะไร ดังนั้นการเอาตัวรอดในโลกออนไลน์ จึงต้องใช้การตลาดออนไลน์หลายช่องทางเข้ามาเกี่ยวข้อง กล่าวคือ แบรนด์ควรสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์บนหลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Instagram, Facebook, Youtube, Blockdit
เมื่อก่อนคนทำงานคงได้ยินกันบ่อยเรื่อง Work-Life Balance หรือ การรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิต ซึ่งช่วยประคับประคองความสุขในชีวิตให้คงอยู่ไปได้ยาวนาน แต่ในความเป็นจริง Work-Life Balance อาจเกิดได้ยากเกินไป เพราะการทำงาน Overtime (OT) เกิดขึ้นได้เสมอ แถมคนส่วนใหญ่ก็หมดเวลาไปกับการทำงานมากกว่าการใช้ชีวิตอยู่แล้ว ดังนั้น การแบ่งเวลาให้งานและชีวิตอย่างสมดุลจึงเป็นเรื่องที่โหดหิน และทำให้หลายตนเครียดมากกว่าเดิมได้ UNLOCKMEN เลยอยากให้ทุกคนลืมเรื่อง Work-Life Balance ไปสักพัก และมาทำความรู้จักกับ Work-Life Flow ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ Work-Life Balance อะไร คือ Work-Life Flow Work-Life Flow คือ คอนเซ็ปท์ที่แนะนำให้เราทำทุกกิจกรรมโดยไม่ต้องเคร่งเรื่องตารางเวลามาก แต่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น หรือ ความสามารถในการปรับวิธีการใช้ชีวิตของตัวเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการใช้ชีวิต ยกตัวอย่างเช่น ถ้าวันไหนเรารู้ว่าต้องทำงานล่วงเวลาจนดึก เราก็อาจตื่นเช้าขึ้น เพื่อให้มีเวลาทำสิ่งอื่นมากขึ้น เป็นต้น หากเรารับคอนเซ็ปท์นี้มาใช้ในชีวิตจะส่งผลดีต่อตัวเราหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ช่วยลดความเครียดในการทำงาน ช่วยให้เราทำงานได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น และช่วยให้เราสามารถจัดการชีวิตได้ดีขึ้นด้วย ถือเป็นแนวคิดที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นอย่างมาก เราจะสร้าง Work-Life Flow
สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องการหลงลืมนัด วันสำคัญ หรือ เวลาส่งงาน จนมำพลาดพลั่งอยู่บ่อยครั้ง ในบทความนี้ UNLOCKMEN มีเทคนิคที่อยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกันชื่อว่า ‘Tickler File’ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถจัดการกับภาระที่ต้องทำในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ชีวิตเราเป็นระบบระเบียบได้มากขึ้นอีกด้วย Tickler File หรือ 43 Folders System คือ วิธีการจัดเอกสารโดยกาใช้แฟ้มข้อมูลทั้งหมด 43 โฟลเดอร์ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ โฟลเดอร์ที่เรียงตามวันของเดือน (วันที่ 1 – 31 ) จำนวน 31 โฟลเดอร์ และ โฟลเดอร์ที่เรียงตามเดือนของปี (เดือนที่ 1 – 12 ) จำนวน 12 โฟลเดอร์ โดยโฟลเดอร์กลุ่มแรกจะทำหน้าที่ในการใส่สิ่งจำเป็นสำหรับวันนั้น หรือ ต้องการให้มีการแจ้งเตือนในวันนั้น ส่วนแฟ้มเดือนจะทำหน้าที่รวบรวมเอกสารสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละเดือน วิธีการใช้งาน Tickler File คือ เราเอาเอกสารหรือไฟล์ที่เราอยากให้ความสนใจในวันใดวันหนึ่งในอนาคต เช่น
ร่างกายของเราประกอบไปด้วยฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต อาทิ โดปามีน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ช่วยให้เราสามารถโฟกัสและเกิดแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น หากสารตัวนี้หลั่งออกมาในปริมาณมาก มันก็จะทำให้เรายิ่ง productive ในการทำงานมากขึ้นได้ ฉะนั้น เราเลยอยากมาแนะนำวิธีการบูสโดปามีน เพื่อให้ทุกคนรู้สึก feel good ตลอดเวลาทำงานกัน ออกกำลังกาย หากมีเวลาว่าง เราขอแนะนำให้ทุกคนออกกำลังกันสักหน่อย เพราะการออกกำลังกายมีประโยชน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ช่วยให้ร่างกายเกิดการสร้างเซลล์สมอง ชะลอความแก่ของเซลล์สมอง แถมยังช่วยเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น นอร์เอพิเนฟริน (สร้างความตื่นตัว) เซโรโทนิน (ต้านความเครียด) และโดปามีน ซึ่งเป็นสารเคมีประเภทที่ช่วยให้อารมณ์ของเราดีขึ้นได้ ซึ่งการออกกำลังกายเราไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานอย่างที่คิดเลย เพียงแค่ออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นเวลา 10 – 20 นาทีก็เห็นผลแล้ว ทำสมาธิ การทำสมาธิไม่ว่าจะในท่ายืน นั่ง หรือ เดิน ก็เป็นผลดีต่อจิตใจของเราทั้งนั้น เพราะมันช่วยเพิ่มระดับโดปามีนในร่างกายของเราได้ ส่งผลให้เราอารมณดี โฟกัสได้มากขึ้น และมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้แน่ชัดว่า การทำสมาธิช่วยเพิ่มโดปามีนในมือใหม่หรือไม่ แต่ในกลุ่มคนที่มีประสบการณ์แล้วมันเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เราเลยอยากแนะนำให้ทุกคนฝึกการทำสมาธิกันเอาไว้ โดยอาจเริ่มจากการนั่งสมาธิก่อนซึ่งเป็นอะไรที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยมากที่สุด นวด หากพนักงานออฟฟิศคนไหมมีเวลาว่าง อาจลองไปใช้บริการร้านนวดแผนไทยสักร้าน
พอเข้าสู่วัยทำงานแล้ว การนอนดูจะเป็นเรื่องที่ยากขึ้นยากขึ้นทุกที เพราะเวลาทำงานได้เบียดบังเวลานอนพอสมควร บางคนต้องทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่น และมีเวลานอนไม่เพียงพอ ส่วนบางคนทำงานแบบ Shift Work คือ ทำงานในเวลาที่คนอื่นนอน และนอนในเวลาที่คนอื่นทำงาน ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติที่เรียกว่า ‘Shift Work Sleep Disorder’ ได้ เราเลยอยากมาแนะนำวิธีรับมือกับความผิดปกติประเภทนี้ Shift Work Sleep Disorder (SWSD) คือ ความผิดปกติด้านการนอนที่เกิดจากการมีเวลาทำงานที่ไม่ปกติ เช่น แบ่งกะทำงาน (Split Shifts) ทำงานช่วงกลางคืน (Graveyard Shifts) หรือเช้าตรู่ (Early Morning Shifts) ทำให้ร่างกายและนาฬิกาชีวิต (วงจรเซอร์คาเดียน) ทำงานไม่สัมพันธ์กัน ปกตินาฬิกาชีวิตของเราจะทำงานร่วมกับแสงและความมืด ในช่วงพระอาทิตย์ขึ้น ตาของเรารับรู้แสงอาทิตย์ และจะไปกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกมีพลังและตื่นตัว (เช่น คอร์ติซอล) ส่วนในเวลาที่ไม่มีแสงอาทิตย์ สมองจะผลิตฮอร์โมนอีกตัวหนึ่งที่ทำให้ร่างกายรู้สึกง่วงและผ่อนคลายชื่อว่า ‘เมลาโทนิน’ การทำงานไม่เป็นเวลา ทำให้ตาของเรารับแสงผิดเวลาบ่อยครั้ง ส่งผลให้นาฬิกาชีวิตไม่สอดคล้องกับร่างกาย เราจึงเกิดความผิดปกติต่าง ๆ เช่น รู้สึกง่วงอย่างหนักในเวลาที่ควรตื่น
ทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในตำแหน่งบริหาร เช่น ผู้บริหาร หรือ ผู้จัดการ คือ ความสามารถในการพาตัวเองออกจากอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง เพราะ 2 สิ่งนี้อาจทำให้เราคิดแบบไม่เป็นเหตุเป็นผล ส่งผลให้การตัดสินใจย่ำแย่ลง และอาจนำไปสู่การแก้ปัญหาผิดพลาด ซึ่งสร้างความเสียหายต่อธุรกิจได้ UNLOCKMEN เลยอยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก Professional Detachment ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในเวลาที่เผชิญหน้ากับปัญหา้รื่องงาน อะไร คือ PROFESSIONAL DETACHMENT ? Professional Detachment คือ ความเชี่ยวชาญด้านการแยกตัวเองออกจากอารมณ์และความรู้สึกเมื่อเจอกับความตรึงเครียดสูง เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลมากที่สุด โดยคนที่มีทักษะด้านนี้ มักจะมีความอดทนสูง ใจเย็นได้ในทุกสถานการณ์ และไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งเวลาจัดการปัญหา Professional Detachment เป็นสกิลที่สำคัญต่อคนที่ทำงานในตำแหน่งบริหารมาก เพราะการทำงานในตำแหน่งนี้ จำเป็นต้องใช้การตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผล และใช้อารมณ์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะถ้าพวกเขาเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยอารมณ์ เช่น ความเครียด ความกดดัน หรือ ความตื่นตระหนก มันจะส่งผลเสียต่อการตัดสินใจ วิธีคิด และการลงมือแก้ปัญหา ในทางกลับกัน หากเรามีความอดทน สามารถใจเย็นต่อหน้าปัญหาได้ นอกจากจะสามารถแก้ไขมันได้ดีขึ้นแล้ว มันยังทำให้คนอื่นเคารพและยอมรับในตัวเรามากกว่าเดิมด้วย เราจะตัดสินใจโดยใช้อารมณ์ให้น้อยที่สุดได้อย่างไร ? มนุษย์มักใช้อารมณ์ในการนำทางชีวิตมาตลอด
ในโลกของยาเสพติดคงไม่มีชื่อไหนโด่งดังไปกว่า ‘Pablo Escobar’ เจ้าพ่อโคเคนแห่งโคลัมเบีย เขาเปรียบเสมือน Michael Jackson แห่งวงการสิ่งผิดกฎหมาย เรื่องราวของเขาถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์มากมาย แต่ที่ประสบความสำเร็จที่สุดก็ต้องยกให้ซีรีส์ Narcos จาก Netflix ยุค 80 เป็นยุคที่ยาเสพติดกำลังเฟื่องฟูถึงขีดสุด มีผู้ค้ารายใหญ่หลายก๊กหลายเหล่า แต่ Pablo Escobar สามารถพาตัวเองไปอยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดได้ แค่ความใจถึงและเหี้ยมเกรียมคงไม่เพียงพอแน่นอน เขาต้องมีกลยุทธ์ในการทำธุรกิจที่ดีด้วย ถึงแม้ว่าธุรกิจของ Pablo Escobar จะเป็นธุรกิจผิดกฏหมาย แต่ก็ต้องยอมรับในความเด็ดขาดและฉลาดในกลยุทธ์ ดังนั้นเราคิดว่าเคล็ดลับการทำธุรกิจของเขาก็มีประโยชน์และสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจของทุกคนได้แน่นอน Escobar ตั้งใจจะทำให้โคเคนของเขาเป็นโคเคนที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก มีความบริสุทธิ์สูงกว่าเจ้าอื่น ๆ จึงเข้มงวดเรื่องคุณภาพการผลิต เขาไม่เชื่อในกลไกตลาดที่จะต้องตัดราคาแข่งกันเพื่อทำยอดขายให้ได้มากกว่า เพราะถ้าสินค้ามีคุณภาพต่อให้ราคาจะสูง ยังไงลูกค้าก็ยินดีจ่าย โดยเฉพาะในโลกยาเสพติดอย่างโคเคน ที่คุณภาพเป็นสิ่งที่จับต้องได้ไม่ยาก และยิ่งทำให้คนติดงอมแงมมากขึ้นด้วย และข้อนี้ถือว่า Escobar คิดถูก ส่งผลให้ยอดขายโคเคนของเขาพุ่งสูงว่าแก๊งค้ายาใด ๆ บนโลก โดยเฉพาะการขยายไปตลาดอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ต่อจากข้อด้านบน Escobar รู้ดีว่ากำลังซื้อของตลาดเป็นสิ่งสำคัญ ในโคลัมเบีย เขาขายโคเคน 1 กรัมได้ราคาแค่
บ่อยครั้งที่เราต้องเจอกับสถานการณ์ที่แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ยาก และตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งความอันตรายของสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเหล่านั้น คือ มันอาจทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Learned Helplessness ซึ่งเป็นอาการประเภทที่ทำให้เรายิ่งแก้ปัญหาและทำงานได้แย่ลงกว่าเดิม Learned Helplessness คือ ภาวะที่มนุษย์เจอกับความตรึงเครียด หรือ ควบคุมไม่ได้มาเป็นเวลานาน จนพวกเขาเกิดความรู้สึกสิ้นหวัง หรือ ไร้ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์นั้นอย่างสิ้นเชิง และสุดท้ายเมื่อมีโอกาสที่พวกเขาจะควบคุมหรือแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ พวกเขาก็จะหมดกำลังใจ และไม่พยายามที่จะคลี่คลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เหล่านั้นอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น คนที่พยายามเลิกสูบบุหรี่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ แล้วคิดว่า ตัวเองเกิดมาเพื่อเป็นนักสูบบุหรี่ เป็นต้น คนที่ตกอยู่ในภาวะนี้จะมีลักษณะเหล่านี้ เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดทางใจในฐานะผู้ถูกกระทำ (passive) กล่าวคือ เมื่อพวกเขาเจอกับความยากลำบาก พวกเขาจะนิ่งเฉยและไม่ลงมือทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เหล่านั้น พวกเขาจะไม่เรียนรู้ว่าการ take action หรือ การตอบสนองต่อปัญหาจะช่วยให้พวกเขาสามารถควบคุมมันได้ และอาจมีระดับความเครียดที่สูงกว่าปกติอีกด้วย Learned Helplessness ถือเป็นปัญหาที่ขัดขวางการใช้ชีวิตของเราพอสมควร เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกสิ้นหวังเวลาอยู่เบื้องหน้าปัญหาที่ซับซ้อน หมดแรงจูงใจในการแก้ปัญหา ทำลายความมั่นใจในการใช้ชีวิต และทำให้เรามองโลกในแง่ลบอีกด้วย อีกทั้งมันยังส่งผลเสียต่อความสามารถในการทำงานของเรา งานวิจัย (2004) จากภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัย Cedarville University ได้ศึกษาผลของ Learned Helplessness
ความโปรดักทีฟดูจะมีประโยชน์ต่อหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตลูกผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็น การทำงาน หรือ การพัฒนาตัวเอง ถ้าเราตั้งใจทำงาน มีความกระตือรือร้นในการทำผลงานให้ออกมาดีอยู่เสมอ เราสามารถก้าวหน้าได้เร็วกว่าใครเพื่อน แต่ความโปรดักทีฟที่มากเกินไปอาจให้ผลแย่ต่อชีวิตของเราเหมือนกัน เพรามันอาจนำมาซึ่งความรู้สึกผิดจากการหยุดทำงาน และทำให้เราไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสุขใจ เราเรียกความคลั่งไคล้ความโปรดักทีฟแนวนี้ว่า Toxic Productivity หรือ ภาวะผลิตภาพเป็นพิษ ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำลายสุขภาพจิตของมนุษย์ได้มากพอสมควร UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการเอาชนะอาการนี้ เพื่อให้ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจมากขึ้น รับรู้อาการ Toxic Productivity ก่อนที่เราจะลงมือแก้ปัญหาอะไรก็ตาม เราควรเข้าใจปัญหานั้นในระดับหนึ่งก่อน เพราะถ้าเราไม่เข้าใจปัญหา เราก็จะไม่มีความรู้เพียงพอสำหรับการแก้ปัญหา สำหรับเรื่อง Toxic Productivity ก็เช่นกัน ถ้าเราไม่รับรู้ว่าตัวเองกำลังมีปัญหานี้ การแก้ปัญหามันก็ยาก เราเลยอยากพูดถึงสัญญาณของ Toxic Productivity เพื่อให้ทุกคนลองเช็คตัวเองกันดู ได้แก่ สูญเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำหรือคิดเรื่องงาน คาดหวังปริมาณงานที่ตัวเองควรทำได้สูงเกินไป รู้สึกผิดหรือล้มเหลวเมื่อหยุดทำงาน รู้สึกว่าทำงานได้น้อยเกินไปบ่อย ๆ รวมถึง มีอาการนอนไม่ค่อยหลับ เพราะกังวลถึงเรื่องที่ยังค้างคา รับฟังคนที่รู้ใจ บางทีเราอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกเรื่องงานครอบงำชีวิตมากเกินไป หรือ บางทีก็รู้ แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาอะไร เมื่อเราไม่พูดคุยกับคนอื่น เราอาจเกิดอาการคิดเองเออเอง ซึ่งส่งผลเสียต่อเราและคนรอบข้าง อย่างการใช้ชีวิตคู่