การสะสมกับผู้ชายก็เป็นเหมือนของคู่กัน เราทุกคนต่างเคยมีช่วงเวลาแห่งความหลงใหลในเรื่องราวหรือสิ่งของบางอย่างและเมื่อเวลาผ่านไปความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ก็กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากครอบครอง ซึ่งเป็นสาเหตุให้ใครหลายคนสะสมสิ่งของต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความชอบของตัวเองเอาไว้มากมาย เช่นเดียวกันกับคุณเพชรจ้า-วิเชียร กุศลมโนมัย ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนรู้จักเขาดีในฐานะดีเจและพิธีกรมากฝีมือ แต่ขณะเดียวกันหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ผู้ชายคนนี้ยังมีชีวิตในอีกมุมที่ตัวเขาให้ความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือการสะสมสิ่งของต่าง ๆ ตั้งแต่ชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปจนถึงชิ้นใหญ่จนต้องสร้างที่เก็บสำหรับของสะสมแต่ละไอเทมโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าเป็นคอลเล็กเตอร์แถวหน้าตัวจริงอีกคนในประเทศไทยก็ว่าได้ ด้วยไลฟ์สไตล์ในฝันกับการถูกห้อมล้อมด้วยเสื้อผ้า, รองเท้าและซุปเปอร์คาร์คันงาม แต่จะมีสักกี่คนเข้าใจถึงเหตุผลที่ชายคนนี้เลือกสะสมของต่าง ๆ ให้เข้ามาอยู่ในคอลเลกชัน ซึ่งวันนี้ก็เป็นโอกาสดีที่ตัวเขาให้เกียรติเปิดบ้านหลังใหม่ เพื่อเล่าถึงจุดเริ่มต้นการสะสมของทั้งหมด ให้เราได้รู้ ได้เห็นเกี่ยวกับแรร์ไอเทมทุกชิ้นที่เก็บซ่อนเอาไว้ จุดเริ่มต้นการสะสม หลังออกมาต้อนรับอย่างอารมณ์ดีพร้อมถ้วยกาแฟในมือ ก่อนจะขอตัวไปเปลี่ยนชุดให้พร้อมต่อการพูดคุย ทำให้เรามีเวลาได้สำรวจส่วนต่าง ๆ ภายในบ้าน ซึ่งมักจะมีมุมหรือห้องพิเศษไว้สำหรับของสะสมต่าง ๆ ซึ่งบอกได้เลยว่าเยอะโคตร ไล่มาตั้งแต่ทางเข้ากับคอลเลกชันรถคันพิเศษในการาจสุดเอ็กซ์คลูซีพ หรือโซนตู้เก็บรองเท้าซึ่งไม่ต่ำกว่าร้อยคู่และเมื่อทุกอย่างพร้อม การเปิดกรุของสะสมของเขาก็เริ่มขึ้น คุณเพชรจ้าเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นการสะสมของชิ้นแรกในชีวิตซึ่งฟังดูไม่น่าเชื่อ เพราะมันคือสมุดสะสมแสตมป์เล่มหนา 4 เล่มที่ตัวเขาหยิบมาให้ดู พร้อมกับโน้ตที่มีลายมือของเด็กเขียนกำกับเวลาเริ่มสะสมเอาไว้เป็นวันที่ 4 เมษายน ปี 2534 หรือ 27 ปีที่แล้ว โดยเด็กชายเพชรจ้าเริ่มสะสมแสตมป์ครั้งแรกเพราะได้รับอิทธิพลจากคุณพ่อของเพื่อนที่มีความรู้เกี่ยวกับการสะสมแสตมป์ บวกกับความที่ยังเด็กเมื่อได้รู้ว่าการสะสมทำให้ของที่เคยซื้อมาในราคา 1 บาท ต่อมาอาจขายได้ในราคา 20
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าบทความนี้ไม่ใช่การอุปมาอุปมัยอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องจริงที่วิทยาศาสตร์เข้ามาศึกษาตรวจสอบทั้งสิ้น ในชีวิตนี้เรามักได้สนทนากับเพื่อนฝูงกันบ่อยว่า “การตรอมใจ” มันทำให้ตายได้จริงไหม หรือการรู้สึกยอมจำนนกับโลกใบนี้และสิ่งที่ถาโถมเข้าใส่แต่ไม่ลุกมาเอามีดกดบนผิวเนื้อมันจะทำให้เราอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน เมื่อในทางการแพทย์เรายังไม่อาจตายได้จนกว่าหัวใจจะหยุดเต้น สมองจะหยุดสั่งการ แต่วันนี้เราพบคำตอบแล้วว่า คุณตายจริงแน่นอนหากยอมยกธงขาวให้กับการใช้ชีวิตตามระดับขั้นตอนเหล่านี้ ซึ่งวินิจฉัยว่าเป็นอาการที่เรียกว่า Give-up-itis หรือการตรอมใจตาย และจะตายภาย 3 วันหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการยอมแพ้ต่อการมีชีวิตอยู่ Dr. John Leach จาก University of Portsmouth ได้ศึกษาปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “give-up-itis” ซึ่งใช้เรียกแทนอาการ “จิตตาย” ทางการแพทย์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงและแตกต่างจากสิ่งที่เรียกว่าฆ่าตัวตาย แถมมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอาการซึมเศร้าด้วยแต่เป็นการหมดอาลัย ยกธงขาวให้กับการใช้ชีวิตเสียเฉย ๆ ซึ่งสิ่งนี้มักเชื่อมโยงกับสมองส่วนหน้าของเราและเป็นเงื่อนไขให้เราตายได้จริง แพทย์สันนิษฐานความตายจาก give-up-itis ว่ามันคือสิ่งที่เปลี่ยนวงจรของ anterior cingulate cortex ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมองที่มีส่วนต่อการคาดการณ์การตัดสินใจ การควบคุม และตอบสนองต่อความเครียด เรียกง่าย ๆ ว่าปกติเวลาที่เราเจอความผิดปกติส่วนนี้ เรามักจะข้ามผ่านมันได้เพราะว่ามีแรงกระตุ้นของความรู้สึกอยากมีชีวิตต่อไปเป็นแรงขับเคลื่อนจูงใจ แต่ถ้าคิดว่าวันนึงมันไม่มีอะไรไปรักษาแล้วเพราะไม่อยากอยู่แล้ว การเยียวยาทั้งระบบก็ไม่เกิด และมันจะยับยั้งการหลั่งสารโดพามีนซึ่งกระทบกับการทำงานของสมองและร่างกายในที่สุด Dr. Leach ได้อธิบาย 5 ขั้นของการยอมแพ้ทางใจที่จะนำเราไปสู่ความตายตามลำดับดังนี้ Social withdrawal
มุมมองที่เรามีต่อชีวิต กำหนดว่าเราพอใจแล้ว ยังอยากขับเคี่ยวให้มันเข้มข้นกว่านี้ หรืออยากจะผ่อนคลายให้มันลื่นไหลกว่าที่เป็น ในขณะที่มุมมองของคนอื่นมีต่อเราจะเป็นเหมือน Hint ที่คอยแนะนำเราอยู่ห่าง ๆ ในวันที่เราไม่อาจมองเห็นตัวเองได้ชัดเจนนัก ดังนั้นไม่ว่าเรามีมุมมองต่อตัวเราแบบไหน การได้เห็นมุมมองของคนอื่น อาจจะเป็น Case Study ที่ดีสำหรับการใช้ชีวิตของเรา แม้ว่าชีวิตคนเราไม่อาจใช้บทเรียนของคนอื่นได้ 100% ก็ตาม ลองมาดูมุมมองเข้มข้นของชีวิตผ่านซีรีส์บน Netflix ที่จะมาพลิกมุมมองของเราให้ได้ลองไปยืนในด้านอื่นที่ไม่คุ้นเคยกันบ้าง Black Mirror เทคโนโลยีที่ช่วยโอบอุ้มเราให้อยู่บนความสะดวกสบาย ให้เราได้ใช้ชีวิตลื่นไหลกว่าแต่ก่อน ในตอนที่ยังคงพึ่งพาระบบ Manual หรือ Analog กันอยู่ เราอาจมองว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้อมรอบแบบนี้มันช่างสมบูรณ์แบบ จนนึกภาพไม่ออกว่า ถ้าเราขาดสิ่งเหล่านี้ไปเราจะใช้ชีวิตยังไงไหว ลองมาดูเรื่องนี้ เรื่องราวของเทคโนโลยีในอีกด้านที่คอยกลืนกินเราอย่างช้า ๆ เหมาะกับคนเวลาน้อยมาก ๆ เพราะเท่ากับว่าใช้เวลาดูตอนนึงแค่ 40 นาที แถมเนื้อเรื่องยังจบในตอนอีกต่างหาก แกนเรื่องหลักของทุกซีซั่นคือการใช้เทคโนโลยีในทางที่ชวนให้เกิดความหมิ่นเหม่ทางศีลธรรม จนเกิดคำถามเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีในชีวิตของเราว่าขอบเขตของมันควรอยู่แค่ไหน เราหรือมันกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายควบคุม เป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า อาจจะฟังดู Sci-Fi เสียเหลือเกิน แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาได้ดี เข้าใจง่าย และออกมาในเชิงการตั้งคำถามกับชีวิตไม่ได้มีเนื้อหาเฉพาะ Geek IT เท่านั้น
ของบางชิ้นเราซื้อไปก็ไม่รู้ว่าทำอะไร แต่พอซื้อมาแล้วมันรู้สึกดีกว่าไม่ซื้อ และแม้หลายคนจะบอกว่ามึงมันบ้าวัตถุเราก็ยังยินดีจะซื้อต่อไปมากกว่าอยู่ดี ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่ทุ่มทุนจ่ายเงินเพื่ออะไรสักอย่างไม่สิ้นสุดโดยไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงทำ ก่อนจะโหมซื้อของให้รางวัลตัวเองจนกระเป๋าแฟบ ลองอ่านบทความนี้อีกทีเพราะมันอาจจะทำให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้างได้ดีขึ้นและบางทีอาจเปลี่ยนทัศนคติให้คุณเก็บเงินเพิ่มในปีนี้ได้ด้วย ผลงานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน International Journal of Psychology เผยว่าคนใจบางหรือรู้สึกไม่มั่นคงต่อสภาพแวดล้อม ความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตมักใช้วิธีซื้ออะไรบางอย่างถมหลุมความรู้สึกของตัวเอง เพราะเขาคิดว่าการซื้อวัตถุสักชิ้นมาครอบครองจะสร้างความมั่นคงทดแทนช่องว่างในใจได้ ของยิ่งเยอะ ใจยิ่งร้าวราน? ที่มาของการทดลองนี้เริ่มต้นจากความคิดตั้งต้นเรื่องการช้อปบำบัดว่ามีผลมาจากความรู้สึกไม่มั่นคงทางใจของนักซื้อทั้งหลาย และความรู้สึกอยากครอบครองนี้คาดว่ามาจากความไม่มั่นคงทางใจ ซึ่งน่าจะเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวและคนรอบข้างที่ไม่ดีนัก เรียกง่าย ๆ ว่าไม่สมหวังในความรัก ไม่สามารถครอบครองความรักก็หันมาครอบครองของแทน เพราะอกหักไปของก็ยังอยู่กับเราเป็นความสัมพันธ์ที่มั่นคงถาวร หรือคนขาดความอบอุ่นในครอบครัวก็มีแนวโน้มที่จะหันมาซื้อของทดแทนความรู้สึกนั้นแทน ของที่ไม่เคยได้ในวัยเด็กกลายเป็นอะไรที่ต้องพิชิตในวันที่มีเงินซื้อ Ying Sun และเพื่อนร่วมงานจาก Beijing Key Laboratory of Experimental Psychology จึงทำการทดลองพิสูจน์สมมุติฐานนี้ โดยทำการทดลองกับคนจำนวน 237 คน ถามคำถามเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ร่วมกับคนรอบข้าง และคนรัก แล้วนำมาเปรียบเทียบกับคำถามที่ว่าด้วยสิ่งสำคัญในชีวิตที่มีตัวแปรเป็นทั้งสิ่งที่ชี้ว่าเป็นเราเป็นคนประเภทวัตถุนิยมและไม่ใช่วัตถุนิยม ตัวอย่างคำถามบางส่วนที่อยู่ในแบบทดสอบเหล่านี้ พวกเราคิดคำตอบไว้ในใจดูก่อนไปดูผลวิจัยได้ “เรารู้สึกกังวลว่าคู่รักของเราไม่แคร์เราเท่าที่เราแคร์เขา” “เรารู้สึกกังวลเวลาคู่รักเข้าใกล้” “เราชอบใช้ของหรูหรามีระดับ” “ชีวิตของเราจะดีขึ้นเมื่อได้เป็นเจ้าของบางอย่างที่เราไม่มี” เมื่อตอบคำถามเหล่านี้เสร็จผู้วิจัยจะเริ่มวัดความเป็น “วัตถุนิยม” ในตัวของผู้ทดสอบด้วยการโชว์ชุดคำบางอย่างบนจอคอมพิวเตอร์อย่างคำว่า “เงิน” “ท้องฟ้า” รวมทั้งคำที่ไร้ความหมายอื่น ๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกดคำที่เขาคิดว่ามีความหมายกับชีวิตและกดเลือกคำที่คิดว่าไม่มีความหมายอะไร ผลการทดลองชี้ชัดว่าใครที่มีอ่อนไหวกับเรื่องความสัมพันธ์มักให้ความสำคัญกับสิ่งของที่เป็นวัตถุมากกว่า
เทคโนโลยีที่ไม่มีการควบคุมมักจะสร้างปัญหาให้พวกเราได้เป็นประจำ อย่างในปีนี้เราได้เห็นการขยายตัวของยานยนต์อัตโนมัติไร้คนขับหรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า โดรน กลายมาเป็นของเล่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยการเข้าถึงที่ง่าย ราคาไม่แพง จึงมีทั้งคนที่ซื้อไปใช้อย่างสร้างสรรค์ และคนที่ซื้อไปใช้สนองความต้องการแปลก ๆ ของตัวเอง ถึงแม้หลายประเทศจะยังไม่อนุญาตให้นำโดรนขึ้นบินอย่างอิสระ และต้องมีการขอใบอนุญาตหรือแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนก็ตาม แต่แน่นอนว่ายังมีคนลักลอบนำโดรนขึ้นบินอยู่ดี และถ้าหากวันหนึ่งเราเจอกับโดรนแปลกหน้าบินเข้ามาในพื้นที่ส่วนบุคคลขณะทำกิจกรรมส่วนตัวกับคนรู้ใจอยู่ แทนที่จะต้องคอยถามว่าของใคร การมีปืนสำหรับสอยโดรนให้ร่วงโดยที่ไม่สร้างความเสียหายเก็บไว้ซักกระบอกก็คงจะดีไม่น้อย เทคโนโลยีปืนสอย Drone นั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับความน่าเป็นห่วงจากสารพัดปัญหาที่มาจากโดรนเถื่อน หรือล่าสุดกับปัญหา Drone ต้องสงสัยที่บินวนป่วนอยู่ในสนามบินประเทศอังกฤษจนการจราจรทางเครื่องบินปั่นป่วนไปหมด ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งเรื่องของเที่ยวบินที่ต้องถูกระงับ เพราะไม่สามารถนำเครื่องบินขึ้นได้ เนื่องจากอาจเกิดการชนโดรนและทำให้ตัวเครื่องบินเสียหาย เพราะการบังคับโดรนสามารถทำได้จากระยะไกล ทำให้ในบางครั้งก็ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ที่ควบคุมโดรนนั้นอยู่ตรงไหน ยากจะหาต้นตอเจ้าของมันได้ เพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับโดรนที่ไม่ทราบที่มาที่ไป จึงทำให้บริษัท OpenWorks Engineering ของประเทศอังกฤษเร่งพัฒนาปืนสำหรับจำกัดโดรนในชื่อสุดเท่ว่า Skywall 100 ปืนขนาดใหญ่แบบวางบนบ่า (Shoulder-mounted) น้ำหนัก 10 kg ที่แม้จะหนักแต่มีประโยชนมากมายเพื่อให้องค์กรต่าง ๆ สามารถซื้อเจ้าปืนอันนี้ไว้ใช้ในยามจำเป็น หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างกรณีโดรนไม่ทราบที่มาบินเข้ามาในพื้นที่ส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต ป้องกันการสอดแนม รวมถึงการรุกล้ำละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การใช้งานเจ้า Skywall 100 นั้นก็แสนจะง่ายดาย เพราะมันคือปืนที่จะสอยโดรนให้ร่วงอย่างง่ายดายด้วยแก๊สอัดลมพื่อส่ง หัวจรวด SP40 ติดตั้งตาข่ายไว้สำหรับจับโดรน
“เด็กสมัยนี้” กลายเป็นวลีที่ถูกใช้เพื่อต่อว่าพฤติกรรมไม่ดีของคนที่เกิดหลังเรา โดยไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรเราก็มักจะบอกว่าเด็กสมัยนี้ช่างไม่ได้เรื่อง สู้สมัยเราไม่ได้เอาเสียเลย คำว่าเด็กสมัยนี้ก็เป็นทั้งข้อเท็จจริงและกับดัก เพราะการเติบโตในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมการเปิดกว้างทางสังคมที่แตกต่างกันก็ย่อมนำไปสู่การมีลักษณะนิสัยบางแบบที่ต่างกัน แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเราจะเหมารวมได้หมดว่า “เด็กสมัยนี้” ดีกว่าหรือแย่กว่าเรา อย่างไรก็ตาม “เด็กสมัยนี้” มักถูกมองว่าใจง่าย ใจด่วน ใจเร็ว มีเซ็กซ์ไม่ยั้งคิดในสายตาผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องเซ็กซ์ที่ “สมัยนี้” ดูจะเปิดกว้างกว่า “สมัยก่อน” คนที่อายุมาก ๆ จึงอดเหมารวมไม่ได้ว่า “เด็กสมัยนี้มันต้องช่ำชองเรื่องเซ็กซ์กว่าพวกเขา” แถมเอาดะไม่ไว้หน้ายิ่งกว่ารุ่นของตัวเองแน่นอน แต่งานวิจัยต่อไปนี้อาจต้องทำให้ “ผู้ใหญ่สมัยนั้น” ที่คิดว่าชาว MILLENNIAL หมกมุ่นเรื่องเซ็กซ์อาจต้องช็อกไปตาม ๆ กัน เพราะผลวิจัยดันออกมาบอกว่าชาว MILLENNIAL นี่แหละที่มีเซ็กซ์น้อยลง ถ้าเทียบกับคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ และเผลอ ๆ จะมีเซ็กซ์น้อยที่สุดในรอบ 60 ปีเลยด้วยซ้ำ! ก่อนจะพาไปดื่มด่ำกับเนื้อหา UNLOCKMEN ก็อยากให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า MILLENNIAL คือมนุษย์ที่เกิดในช่วงต้นศตวรรษ 80 ไปจนถึงปลาย 90 ซึ่ง (ตอนนี้อายุราว ๆ 19-38 ปี )
ที่สุดของตำนานนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ ซามูไรหาญกล้าผู้ออกรบอย่างดุดันแม้จะมีตาเพียงดวงเดียว สำหรับชายผู้ที่ชื่นชอบความเท่แบบญี่ปุ่นและชื่นชอบซามูไร คงไม่มีใครไม่รู้จักกับยุค เซ็นโงคุ ที่สร้างชื่อให้กับเหล่านักรบผู้เก่งกาจ และนักสู้คู่ยุคเดือด ซามูไรนาม ดาเตะ มาซามุเนะ ชายที่เกิดมาพร้อมกับความบกพกพร่องทางสายตา แต่ด้วยความสามารถที่ไม่เป็นสองรองใคร รวมถึงความแข็งเกร่งที่แสดงให้ทุกคนได้สัมผัสมากกว่าแค่ชื่อเสียง จนได้รับการขนานนามว่าเป็น มังกรตาเดียวแห่งเซ็นโงคุ ดาเตะ มาซามุเนะ เกิดเมื่อปีค.ศ. 1567 ในปราสาทของตระกูลโยเนซาวะ เขาเป็นลูกชายคนโตของไดเมียว (ผู้ครองนคร) แคว้นมุตสึ มาซามุเนะสูญเสียตาขวาตั้งแต่กำเนิดด้วยโรคไข้ทรพิษ (Smallpox) แต่บางตำนานก็ได้เล่าขานเรื่องราวของเขาอย่างแปลก ๆ เช่น ผู้เป็นพ่อสั่งให้คนรับใช้ประจำตัวเป็นผู้ควักลูกตาออก แต่ยังไร้ซึ่งเหตุผลที่หนักแน่นพอมารองรับข้อสันนิษฐานนี้ และก็มองไม่เห็นถึงความจำเป็นที่คนเราจะต้องควักลูกตาออกข้างหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามแต่ ดาเตะ มาซามุเนะ เป็นเด็กผู้ชายที่มีตาข้างเดียว ซึ่งความไม่สมบูรณ์นี้เองที่ถึงแม้จะเป็นพี่ชายคนโตของตระกูลก็ตาม กลับไม่ได้เป็นที่รักของมารดาเท่าไหร่นัก และถูกมองว่าไม่คู่ควรกับการได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งไดเมียวแห่งโยเซนาวะผู้ครองแคว้นมุตสึ ด้วยนิสัยหาญกล้าบ้าบิ่น ชื่นชอบการแข่งขัน กระหายชัยชนะ จึงทำให้ มาซามุเนะ เป็นที่ถูกพูดถึงตั้งแต่ยังเด็ก มีตำนานเล่าขานความโหดเหี้ยมเด็ดขาดของมาซามุเนะว่า เมื่อตอนอายุ 11 ปี และต้องแต่งงานกับ ทามูระ เมโงฮิเมะ แต่มาซามุเนะเกิดความหวาดระแวงว่าตระกูลทามูระจะพยายามหักหลัง เขาได้ลงมือสังหารคนรับใช้ของภรรยาตัวเองเสียสิ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่าในสังคมญี่ปุ่นสมัยก่อนยังมีมุมมองเรื่องอายุที่ต่างกับยุคปัจจุบัน เด็กเกือบทั่วทั้งเอเชียมักแต่งงานเร็วเป็นเรื่องธรรมดา และเด็กอายุสิบกว่าขวบก็มีเรื่องครอบครัวและความรับผิดชอบมาให้คิดมากกว่าเด็กอายุรุ่นเดียวกันอย่างในปัจจุบัน หลังจากนั้นต่อมาในปี 1581
ความกระหายที่จะเรียนรู้ไม่หยุดยั้งคืออีกคุณสมบัติสำคัญที่จะทำให้ผู้ชายอย่างเราอยู่รอดได้ในยุคสมัยที่อะไรก็เคลื่อนไปไวจนเราตามไม่ทัน จินตนาการดูว่าถ้ารอบตัวเรากำลังเคลื่อนไปข้างหน้า แต่เราหยุดอยู่กับที่ไม่เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เลย การอยู่กับที่ก็ไม่ต่างอะไรจากการถอยหลังจนตามอะไรไม่ทันอีกต่อไป การเรียนรู้จึงเป็นอีกกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราพัฒนา ไม่กลายเป็นมนุษย์ตกรุ่นในวันที่ AI กำลังพร้อมาแทนที่เราทุกขณะ แต่ไม่ใช่แค่การเรียนรู้เท่านั้นแต่การเรียนรู้ได้ไวดังใจคิดก็เป็นอีกสกิลสำคัญที่ต้องมีติดตัว สำหรับใครที่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เราจะเรียนรู้ให้ไวได้อย่างไรบ้าง UNLOCKMEN พามาเตรียมเรียนรู้อย่างเร็วไวไปพร้อม ๆ กัน เขียนด้วยมือเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนแบบไหน แต่จงจำไว้กระดาษและปากกานี่แหละคืออาวุธลับของการเรียนรู้ได้ไว จดจำได้ไว แม้โลกจะมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมายที่สะดวกสบายมากกว่า แต่การจดลงบนกระดาษกลับกลายเป็นวิธีที่ส่งเสริมการเรียนรู้ได้ดีกว่าการใช้อุปกรณ์เหล่านั้น เราไม่ได้พูดลอย ๆ แต่งานวิจัยจากสองนักวิจัยอย่าง Pam Mueller และ Daniel Oppenheimer ชี้ให้เห็นว่าคนที่เรียนรู้ด้วยการจดลงกระดาษจะเรียนรู้ได้มากกว่าคนที่ใช้คอมพิวเตอร์จดเนื้อหาแม้คนที่ใช้คอมพิวเตอร์จดจะจดได้มากกว่าก็ตาม คำอธิบายก็คือการจดด้วยปากกานั้นทำให้เราจดได้ช้ากว่า จึงทำให้เรารู้จักที่จะสรุปความตามที่เราเข้าใจ และรวบคอนเซปต์ของการเรียนรู้ในแต่ละครั้งได้ไวและดีกว่าการพิมพ์เอา ซึ่งการพิมพ์ทำได้ไว เราจึงแค่ลอกสิ่งที่ฟังหรือดูลงไปโดยไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้ หรือการวิเคราะห์ประเด็นในแบบของเรา ดังนั้นถ้าลงคอร์สเรียนสกิลใหม่ ๆ ไม่ว่าจะออนไลน์หรือออฟไลน์ครั้งหน้า ทำเท่ ทำวินเทจ คว้าสมุดเท่ ๆ ปากกาคูล ๆ สักด้ามแล้วจด แทนที่จะอัดเสียงหรือพิมพ์เถอะ ฟังคนอื่นสอน ก็สอนคนอื่นต่อ อีกวิธีการที่ช่วยให้เราเรียนรู้ได้ไวอย่างไม่น่าเชื่อคือ “การสอนคนอื่น” เรามักเข้าใจผิดว่าก่อนที่เราจะไปสอนคนอื่นได้เราจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นระดับหาตัวจับยากก่อน ซึ่งไม่จำเป็นเสมอไป
เมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน แฟนคลับลูกหนังของทีมฟุตบอลปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงพอจะเห็นข่าวคราวที่ว่ามีนักเตะเยาวชนเด็กไทยจะได้เซ็นสัญญากับสังกัดแมนยู ฯ ผ่านตากันมาบ้าง รวมถึงเรื่องของฝีเท้าที่ไม่ธรรมดาทั้งที่ยังอายุน้อย กับลูกเตะฟรีคิกคิกอันโด่งดังของ Corbyn Murray ที่สื่อเทียบเคียงได้กับลูกเตะฟรีคิกของอดีตนักเตะชื่อดังอย่าง เดวิด แบคแฮม กันเลยทีเดียว คอร์บิ้น เมอร์เรย์ หรือ Corbyn Murray เด็กหนุ่มผู้โตมากับครอบครัวที่รักการเล่นฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ เพราะปู่เป็นนักฟุตบอลเก่า พ่อก็ชื่นชอบกีฬาชนิดนี้เป็นอย่างมาก Corbyn ก็เลยคลุกคลีอยู่กับฟุตบอลมาโดยตลอด และเมื่อเขาอายุ 8 ขวบ ก็ได้รับข้อเสนอจากสโมสรฟุตบอลของอังกฤษ และทำให้เขากลายเป็นนักเตะเยาชนลูกครึ่งอังกฤษ-ไทย อย่างที่รู้กันดีว่าสโมสรแมนยู ฯ นั้นมีการคัดเลือกนักเตะระดับเยาวชนที่มีความเข้มข้น แต่ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นทำให้ Corbyn สามารถติดทีมเยาวชนของสโมสรชื่อดังอย่าง Manchester United ไม่ได้มีเพียงแค่สโมสร Manchester United เท่านั้น แต่ยังมีอีก 4 สโมรสรที่พร้อมจะรับ Corbyn เข้าทีมอคาเดมี ทั้ง Liverpool ที่เป็นทีมฟุตบอลโปรดของ Corbyn นอกจากนี้ยังมีสโมสร Blackburn Rovers F.C. ,