“Words are more powerful than weapons.” หนึ่งในวลียอดฮิตที่ทุกคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความจริง ยิ่งถ้าเราลองเปิดบันทึกประวัติศาสตร์โลกดูจะพบว่าในเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ คำพูดหรือ Speech เพียงไม่กี่นาทีกลับพลิกประวัติศาสตร์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ นอกจากจะส่งผลต่อเรื่องราวในอดีตแล้ว Speech ที่ยิ่งใหญ่นั้น ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่ตกยุค ยังร่วมสมัยและสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตของเราได้เสมอ วันนี้เราจึงยก 5 Speech สำคัญในบันทึกประวัติศาสตร์จากปากบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่ากาลเวลาไม่สามารถทำอะไรได้ และเราเชื่อว่านี่จะเป็นบทเรียนชีวิตชั้นดีให้กับหนุ่ม ๆ ได้แน่นอน Duties of American Citizenship – Theodore Roosevelt Buffalo, New York, January 26, 1883 Speech ที่ดีที่สุดของประธานาธิบดีคนที่ 26 แห่งสหรัฐอเมริกาในการกล่าวกล่าวปาฐกถาที่เมือง Buffalo มลรัฐ New York ครั้งนี้ Theodore Roosevelt พูดถึง ‘หน้าที่ของพลเมืองอเมริกัน’ เขาเจาะลึกเหตุผลทางทฤษฎีว่าทำไมทุกคนจึงควรมีส่วนร่วมทางการเมือง อีกทั้งยังกล่าวว่าเป็นหน้าที่ของพลเมืองของรัฐที่จะสร้างรัฐบาลที่ดีขึ้นมาและเป็นสิ่งที่ทุกคนควรเอาใจใส่ ผ่านมากว่า 120 ปีแล้ว แต่ Speech
“ศิลปะแม่งคืออะไรกันแน่?” ประโยคคำถามไม่สั้นไม่ยาว แต่ชวนให้ผู้ชายอย่างเรากุมขมับครุ่นคิดได้ไม่รู้จบ เข้าขั้นปัญหาโลกแตกจำพวกความรักคืออะไร ? หรือไก่กับไข่อะไรมันเกิดก่อนกันวะ ? ศิลปะสำหรับบางคนจึงเป็นสิ่งสูงส่งไกลตัว ศิลปะคือสิ่งกินไม่ได้ แล้วเราแม่งจะไปสนใจมันทำไม ? ในขณะที่ศิลปินก็ดูเป็นคนเข้าถึงยาก พูดจารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำช่างสูงส่ง ล้ำค่า ในขณะที่คนทำงานศิลปะบางคนนิยามสิ่งที่พวกเขาทำต่างออกไป ศิลปะมันไม่ได้สูงส่งอะไรอย่างที่ใครพยายามยัดเยียด ศิลปะไม่ใช่ศีลธรรมล้ำค่าที่ใครต้องมาเคารพ กราบไหว้ ศิลปะสำหรับพวกเขาจึงอาจหมายรวมถึงการกิน-ขี้-ปี้-นอน ใช่ ศิลปะหมายถึง “ชีวิต” ที่จะเป็นใคร สูงส่งหรือไม่ก็เข้าถึงศิลปะได้เท่า ๆ กัน วิธีคิดที่ว่าศิลปะไม่จำเป็นต้องสูงส่งหรือปีนบันไดดู ทีม UNLOCKMEN ลงความเห็นร่วมกันว่าโคตรเท่ และเมื่อถึงปลายปี ห้วงเวลาที่เราตระเวณสนทนากับศิลปินมาหลากหลายแล้วต้องรวมลิสต์ HIGH & HYPE ให้เหลือ 5 คน เราจึงยกให้ 5 ศิลปินต่อไปนี้เป็นศิลปินที่เราว่า HIGH & HYPE ในความหมายของการสร้างสรรค์แบบที่เราชอบที่สุดในปี 2018 แพร-รัมภาพร วรสีหะ ศิลปะแม่งคืออะไรกันแน่: ศิลปะอาจคือการร้อยเรียงตัวตน ศิลปะแบบที่เราถูกฝังหัวมาตั้งแต่เด็ก อาจหมายถึงบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือศิลปะต้องรับใช้สังคม แต่กับ แพร-รัมภาพร
หลังจากที่เราไม่ได้อัพเดทเรื่องราวประวัติของแบรนด์แฟชั่นมาสักระยะหนึ่ง วันนี้เราก็ไปเจอข้อมูลของแบรนด์กระเป๋ายี่ห้อหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะนอกจากคอนเซ็ปต์ในการสร้างสินค้าที่โคตรเท่แล้ว เรื่องราวความเป็นมาของพวกเขาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เรากำลังพูดถึง Freitag แบรดน์กระเป๋าสุดแนวที่ครองใจวัยรุ่นสายสตรีทฮิปสเตอร์ และก้าวขึ้นมาเป็น top of mind เวลาที่ใครสักคนอยากจะเลือกซื้อกระเป๋าสักใบที่ อึด ถึก ทน “Freitag” เกิดขึ้นจากมันสมองของสองพี่น้อง Danial และ Markus Freitag ในปี 1993 ซึ่งในขณะนั้นทั้งสองคนอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์แถบชานเมืองซูริคทำให้พวกเขาทั้งสองต้องใช้จักรยานเป็นพาหนะในการเดินทางแทบจะตลอดเวลา โดยที่ในตอนนั้นพวกเขาต้องการจะหากระเป๋าใส่เอกสาร messenger bag ที่มีขนาดใหญ่พอที่จะเก็บอุปกรณ์การเรียน และสามารถใช้เดินทางร่วมกับจักรยานได้ กระทั่งวันหนึ่งขณะที่ทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่ในครัว ก็ได้เหลือบมองออกไปที่ถนน เขาเห็นรถทุกคันมีผ้าใบคลุมอยู่จึงเกิดไอเดียว่า น่าจะลองเอาผ้าใบนี้มาใช้ทำกระเป๋าได้ เพราะด้วยสีสัน คุณสมบัติกันนำ้ได้ ทนทาน และที่สำคัญคือเป็นวัสดุรีไซเคิล ความคิดในการสร้างกระเป๋าจึงได้เริ่มขึ้นจากจุดนี้ สองพี่น้องได้เริ่มหาผ้าใบคลุมรถบรรทุกมาล้างทำความสะอาด แล้วก็ตัดเย็บกันเองจนได้เป็นกระเป๋าใส่เอกสาร messager bag ตามที่ต้องการ ซึ่งนอกจากวัสดุผ้าใบ Markus และ Danial ยังนำของเหลือเหลือใช้ส่วนอื่น ๆ อาทิ เข็มขัดนิรภัยรถยนต์สำหรับทำสายสะพาย และยางในรถยนต์เย็บเก็บขอบริมกระเป๋า โดยหวังว่าจะใช้คอนเซ็ปต์ ECO-Friendly มาประยุกต์
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันทุกปีเกี่ยวกับเรื่องของความสูงและความเตี้ย ว่ากันว่าคนที่ตัวสูงกว่าจะได้เปรียบกว่าคนเตี้ย แล้วคนที่เตี้ยล่ะ ถือว่าเป็นปมด้อยจริงหรือไม่? UNLOCKMEN บอกเลยว่าต่างสไตล์รูปร่างก็มีข้อดีต่างกันไป ส่วนสูง คือเรื่องของความแตกต่างทางด้านสรีระ ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัยด้วยกันทั้งในเรื่องของพันธุกรรม โภชนาการ การออกกำลังกาย รวมถึงสภาพแวดล้อม ที่ส่งผลให้โลกนี้เกิดส่วนสูงที่หลากหลาย และในงานวิจัยส่วนมากต่างก็ลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าคนตัวสูงมักจะได้รับโอกาสต่าง ๆ ที่ดีกว่าคนตัวเตี้ย แล้วเพราะอะไรงานบรรดาวิจัยจึงได้ผลลัพธ์ออกมาว่าคนตัวสูงจะมีโอกาสที่มากกว่า? ยกตัวอย่างงานวิจัยจาก Princeton University ค.ศ. 2006 อ้างอิงว่าชายที่ตัวสูงจะได้เปรียบทางด้านสติปัญญามาตั้งแต่เกิด โดยวัดจากการทดสอบสมรรถภาพทางสมองตั้งแต่ยังเป็นทารก รวมถึงผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Sydney ซึ่งได้ทำการเปรียบเทียบจากรายได้ประชากรจำนวน 20,000 คน และพบว่าโดยเฉลี่ยคนตัวสูงจะมีฐานะที่ดีกว่า ทั้งนี้ในสหรัฐอเมริกาก็มีงานวิจัยที่วัดอัตราความสำเร็จของเหล่าประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ออกมาเป็นกราฟว่า ผู้นำที่สูงมักมีอัตราเติบโตอย่างก้าวกระโดด ก็ยิ่งสนับสนุนความคิดเรื่องคนตัวสูงจะฉลาดและมีเสน่ห์ ดังวลีที่ว่า “Tall men make great presidents” จากสถิติผลการเลือกตั้งสหรัฐ ฯ แสดงให้เห็นว่าผู้สมัครที่มีความสูงมากกว่าคู่แข่งมักได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี นับตั้งแต่ ค.ศ.1789 ที่สหรัฐ ฯ ได้ประธานาธิบดีคนแรกอย่างจอร์จ วอชิงตัน มาจนถึง ค.ศ.2016 ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งจากการเลือกตั้งทั้งหมด
หากพบเห็นใคร Aggressive ขึ้นมา ไม่ว่าจะด้วยนิสัยเดิมหรือหน้าใหม่ที่แต่ก่อนสงบเยือกเย็นดั่งสายน้ำ วันดีคืนดีกลับกลายเป็นคนโกรธง่ายโกรธแรงเป็นพายุ อย่าเพิ่งฉงนกับอาการขึ้น ๆ ลง ๆ ของเขาเหล่านั้น เพราะอาการหัวร้อนแบบนี้ สามารถเกิดขึ้นได้กับ “คนนอนน้อย” โปรดทำความเข้าใจเขาเหล่านั้นไปพร้อมกับ UNLOCKMEN ที่จะมาเล่าให้ฟังว่าทำไมการนอนน้อยมันถึงทำให้คนหัวร้อนได้จริง ๆ 404 Sleep Not Found เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าการนอนมันส่งผลกับร่างกายของเราโดยตรง นั่นหมายความว่า นอกจากสุขภาพแล้ว อารมณ์ของเราก็จะแปรผันไปตามการพักผ่อนของเราด้วย เหมือนที่วันไหนได้นอนเต็มอิ่ม เราก็จะดีดเหมือนม้าแข่งพร้อมลงสนาม วันไหนนอนน้อยก็พาลให้อารมณ์ขุ่นมัว หงุดหงิดง่าย เอียงไปทาง Negative แบบเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างหลังจริงจังถึงขนาดที่มี Research ออกมายืนยันแล้ว โดย Iowa State University researchers ตีพิมพ์เรื่องนี้ใน Journal of Experimental Psychology แม้ว่าเรื่องนี้เหมือนจะเป็นเรื่องที่เรารู้กันอยู่แล้ว แต่การศึกษาครั้งนี้ได้ข้อมูลอย่างอื่นเพิ่มเติมอีกด้วย อย่างอาการนอนน้อยเป็นสาเหตุอันดับแรก ๆ ที่ทำให้คนเราเกิดจะหงุดหงิดกับสิ่งรอบตัวขึ้นมาเฉย ๆ การศึกษาก่อนหน้านี้ พบความเชื่อมโยงระหว่างการนอนและอารมณ์โกรธ Zlatan Krizan Professor
มันต้องมีสักเสี้ยววินาทีที่ผู้ชายอย่างเราคิดจะกินคลีน กินเพื่อสุขภาพ กินปราศจากโซเดียม ฯลฯ แต่เมื่อเราริลองจะใช้ชีวิตกับอาหารคลีนเพื่อสุขภาพ เราจะสัมผัสได้เลยว่าราคามันสูงลิ่วเกินกว่าที่เราจะกินคลีนวันละสามมื้อได้ไหว อาทิตย์ละสองสามครั้งอาจพอทน แต่ถ้าต้องกินทุกมื้อ เราก็จำใจต้องกลับไปซบอกร้านป้าอาหารตามสั่งที่หนักผงชูรส หนักน้ำปลา คุณค่าทางอาหารอาจสู้ไม่ได้ แต่ราคาสบายกระเป๋ามากกว่า ปัญหาเงินในกระเป๋ามีมากไม่พอจ่ายราคาอาหารที่ถูกสุขลักษณะอนามัยจึงเกิดขึ้น และไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่บ้านเราเท่านั้นในอังกฤษก็มีปัญหานี้เช่นกัน รัฐบาลอังกฤษเขาก็ห่วงใยประชาชนของตัวเองจึงมีคำแนะนำอย่างเป็นทางการว่าอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีโภชนาการเหมาะสมคือการรับประทานผักและผลไม้วันละ 5 จาน และรับประทานปลาที่มาจากแหล่งน้ำ (ที่สะอาดและยั่งยืน) ทุกสัปดาห์ แต่ผลปรากฏว่ามีเด็กราว ๆ 3.7 ล้านคนที่ไม่สามารถกินอาหารที่ถูกโภชนาการตามหลักอาหารที่ดีนั้นได้ “เพราะคนจนไม่มีความรู้มากพอไง เลยกินแต่อาหารแย่ ๆ ไม่ดีต่อตัวเอง” ในอดีตคำกล่าวหามักมุ่งไปที่การขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการกินอาหารที่ดี แต่จากรายงานของมูลนิธิอาหาร (Food Foundation) แห่งสหราชอาณาจักรพบว่า 20% ของครอบครัวในสหราชอาณาจักรที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,860 ปอนด์ต่อปีจะต้องใช้เงิน 42% ของรายได้หลังจากหักค่าที่อยู่อาศัยเพื่อทำอาหารให้ตอบสนองความต้องการของแนวทาง “Eatwell Guide” ของรัฐบาล ค่าใช้จ่ายในการกินอาหารถูกโภชนาการสำหรับครอบครัวที่มีผู้ใหญ่สองคนและเด็กสองคน (อายุสี่ถึงแปดปี) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 112.04 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (หรือราว ๆ 46,985 บาทต่อสัปดาห์) จินตนาการไม่ออกจริง ๆ ว่าถ้าต้องจ่ายเงินเยอะขนาดนี้ เพื่อกินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ จนไม่เหลือเงินไปทำอย่างอื่น
เรานั่งสนทนากันในวันที่แสงแดดดี ไม่มีกลิ่นอายความเศร้า แต่เอ่ยถึง “ความตาย” กันเหมือนเรื่องปกติสามัญเรื่องหนึ่งไม่ต่างจากเรื่องเล่าข่าวเช้า หรือเรื่องเล่าพูดคุยธรรมดาช่วงบ่าย พี่ที่คุ้นเคยกันคนหน่ึงกล่าวว่าช่วง 25-35 คือวัยที่เราทยอยไปงานแต่งอย่างบ้าคลั่ง แต่หลังจาก 40 เป็นต้นไป งานศพจะเป็นงานที่เราไปบ่อยที่สุด คนที่เรารักจะทยอยจากไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การพบ พราก จาก ลา และแสดงความอาลัยต่อสิ่งที่จากคือธรรมดาของโลก สิ่งที่น่าสนใจคือในทุกงานศพมักมีวัฒนธรรมการแสดงความอาลัยต่อเจ้าของงานอย่างการมอบพวงหรีดดอกไม้ที่เรารู้สึกเคยชินกับการให้ แต่ไม่เคยมองว่าปลายทางของมันจะจบลงอย่างไร จนกระทั่งได้พบกับรูปแบบหรีดใหม่อย่าง “หรีดหนังสือ” ที่ช่วยกระตุกต่อมคิด เราจึงพบว่าแท้จริงแล้วความเศร้ามันสามารถส่งต่ออะไรให้กับคนอื่นได้มากมาย ทั้งผู้วายชนม์ คนที่ยังอยู่ และสังคม แถมหรีดนี้ยังได้รับการดีไซน์ออกมาสไตล์มินิมัลสมเกียรติ เหมาะแก่การส่งต่ออีกด้วย เพื่อติดตามเบื้องหลังความคิดสร้างสรรค์นี้ UNLOCKMEN จึงมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้คิดโครงการและผู้เกี่ยวข้องกับหรีดหนังสือเหล่านี้ ดอกไม้สด ลูปความเศร้าที่จบไม่สวย ถ้าพูดถึงหรีดงานศพ “ดอกไม้สด” จะเป็นสิ่งแรกที่เราคิดถึง ธรรมดาแล้วเรามักจะคิดว่าเป็นวัสดุธรรมชาติเดี๋ยวก็คงย่อยได้ แต่จากสถิติปลายปีที่แล้วเฉพาะเทศกาลลอยกระทงบริเวณลุ่มน้ำปิงพบว่ามีขยะกระทงจำนวนถึง 120 ตันภายในวันเดียว แล้วสำหรับงานศพที่เกิดขึ้นทุกวัน เฉลี่ยทั่วประเทศวันละ 1,200 งาน คงไม่ต้องบอกว่าเราจะพบกองหรีดเป็นพะเนินขนาดไหน บวกการสร้างคาร์บอนฟุตปริ้นท์ปริมาณสูงถึง 359 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ ยังไม่นับรวมฟอร์มาลีนที่นำมาฉีดเพื่อคงความสดให้พวกเราต้องสูดเข้าไปซึ่งจะสร้างอันตรายอีกมากมาย ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้คุณสุชาดา สหัสกุล นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ริเริ่มดำเนินการโครงการอย่างจริงจัง
ความเศร้า ความปวดเจ็บและหยาดน้ำตาคือสิ่งที่อยู่เคียงข้างมวลมนุษยชาติมานานจนแยกไม่ออก วินาทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกเราต่างก็ต้องเปล่งเสียงร่ำไห้เพื่อหายใจ เพื่อแสดงถึงสัญลักษณ์แห่งการมีชีวิตเสียแล้ว แต่ยิ่งผู้ชายอย่างเราเติบโตขึ้นมาเท่าไร เรามักถูกมาตรฐานทางสังคมกดดันว่า ห้ามเศร้า! ห้ามมีน้ำตา! อย่าแสดงอารมณ์อ่อนไหวออกมาถ้าไม่อยากดูเป็นคนอ่อนแอ! น้ำตาลูกผู้ชายจึงเป็นสิ่งท้าย ๆ ที่เราจะแสดงให้ใครเห็นไม่ว่าเราจะเศร้ามากเพียงไหน แต่น่าแปลกที่ความเศร้าบางรูปแบบ น้ำตาบางหยดเราไม่อาจควบคุมมันได้ หลายครั้งเราจึงร้องไห้ออกมาหลังกิจกรรมสุดซาบซ่านเสียวสยิวเสียอย่างนั้น ก่อนอื่น…อย่าตื่นตระหนกไป เพราะความเศร้านี้มีที่มา น้ำตานี้มีชื่อเรียก คุณไม่ได้ร้องไห้หลังมีเซ็กซ์เพียงลำพัง ขณะที่เกมวาบหวิว กิจกรรมสวาทดำเนินไป ความสุขของเราทะยานขึ้นเหมือนรถไฟเหาะตีลังกาที่ผ่านการตลบซ้ำ ๆ จนวูบไหวในท้องน้อยอย่างหยุดไม่อยู่ แต่เมื่อเซ็กซ์จบลงก็คล้ายกับว่ารถไฟเหาะตีลังกาขบวนนั้นค่อย ๆ ดิ่งตัวลงสู่สภาวะปกติ และเด็กน้อยอย่างเราต้องกลับบ้านไปอย่างเหงา ๆ จู่ ๆ เราก็ทำนบน้ำตาแตก ร้องไห้ออกมาต่อหน้าสาวที่เพิ่งเสียวไปด้วยกันหยก ๆ ผู้ชายคนไหนที่เคยเผชิญสถานการณ์แบบนี้ UNLOCKMEN อยากกระซิบบอกคุณ (และอยากให้คุณกระซิบบอกเพื่อน ๆ ต่อไป) ว่ามันเป็นเรื่องปกติมาก ๆ แถมเป็นภาวะอาการที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ เราไม่ได้สติแตกไปคนเดียวแน่นอน Post-coital Dysphoria หรือ PCD คือชื่อเรียกของภาวะนี้ซึ่ง Ian Kerner ผู้เป็น Sex Therapist อธิบายว่า
ปัญหายิ่งใหญ่ของผู้ชายที่ทำงานดุเดือดเลือดพล่านอย่างเรา ๆ นอกจากเรื่องงานกองมหาศาลที่ทำเท่าไหร่ก็เหมือนว่าไม่เคยจะน้อยลงเลย คงหนีไม่พ้นปัญหาเรื่องเวลานอนที่มีน้อยจนต้องหอบสารร่างคล้ายซอมบี้ไปทำงานบ่อย ๆ จนปัญหาการนอนน้อยส่งผลกระทบกับเรื่องอื่น ๆ เป็นทอด ๆ ไม่รู้จบ แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดก็คือการนอนน้อยมันส่งผลให้เราตายไว! แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าทุ่มเททำงานหาเงินมาแทบตาย แต่ยังไม่ทันได้ใช้เงิน ไม่ทันได้หาความสุขแต่ต้องมาหมดลมหายใจไปซะก่อนอย่างนี้ ? (เฮ้อ) ก่อนอื่นต้องอย่าคิดว่าการนอนน้อยเป็นเรื่องเล่น ๆ แค่เหนื่อย ๆ เพลีย ๆ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่หว่า ? นักวิจัยพบว่ามนุษย์ที่อายุต่ำกว่า 65 ปีลงมาที่ได้นอนวันละ 5 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้นติดต่อกันตลอด 7 วันมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่ได้นอน 6-7 ชั่วโมงขึ้นไป ดังนั้นการนอนน้อยจึงไม่ใช่แค่ส่งผลต่อสภาพความเป็นซอมบี้ไปทำงานเท่านั้น แต่มันส่งผลต่อระยะความยืนยาวที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ด้วย อย่างไรก็ตามทุกปัญหาย่อมมีทางออก เพราะหัวใจผู้ชายรักงานมันร่ำร้องว่า เฮ้ย กูนอนไม่ได้จริง ๆ ว่ะ กูต้องโหมทำงานหนักเพราะมันโคตรสะใจกับผลงานที่ออกมาได้ โดยทางออกนี้เสนอโดย Torbjorn Akerstedt นักวิจัยของสถาบันวิจัยความเครียด มหาวิทยาลัยสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน บอกว่าการอดนอนในช่วงวันทำงาน แล้วลองมานอนยาว ๆ ในช่วงวันหยุดเป็นการทดแทน ช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยได้จริง และเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างมาก! ดังนั้นใครที่เคยเจอพ่อแม่บ่น
หากพูดถึง Herschel Supply co หลายคนอาจติดภาพของแบรนด์ผู้ผลิตกระเป๋าแบ็คแพ็คและกระเป๋าเดินทางขวัญใจวัยรุ่นไปจนถึงคนทำงาน ซึ่งกำลังเติบโตและได้รับความนิยมไปทั่วทุกมุมโลก แต่ที่จริงแล้วตลอดช่วงระยะเวลา 9 ปี นับตั้งแต่ Herschel ถูกก่อตั้งขึ้นพวกเขาก็ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับแค่เรื่องกระเป๋า แต่ยังพัฒนาตัวเองและกำลังขยาย Categories สินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น พร้อมกับตอบโจทย์การใช้งานของกลุ่มลูกค้าอยู่เสมอ ถ้าสงสัยว่าอะไรที่เป็นพื้นฐานของการเติบโตอันรวดเร็วและแข็งแกร่งของพวกเขา วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ UNLOCKMEN ได้มาพูดคุยกับคุณ Lyndon Cormack (ลินดอน คอร์แม็ก) หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Herschel Supply co. ที่ได้แบ่งปันประสบการณ์เจ๋ง ๆ แบบ Exclusive รวมไปถึงบอกเล่าแนวทางและเบื้องหลังความสำเร็จของ Herschel ตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงแผนอนาคต ใครเป็นแฟนกระเป๋าแบรนด์นี้ และอยากรู้ว่าชายผู้กุมบังเหียนแบรนด์ระดับโลกคนนี้ มีขั้นตอนการทำงานและพัฒนาตัวเองยังไงบ้าง บอกเลยว่าใครอยากสร้างแบรนด์แฟชั่นให้ไปไกลระดับโลกควรอ่านให้จบ รับรองเกิดประโยชน์แน่นอน ย้อนกลับไปในวันที่ก่อตั้ง Herschel อะไรคือแรงบันดาลใจการสร้างแบรนด์ขึ้นมา ? “ในทุกธุรกิจมักเริ่มจากปัญหาอยู่เสมอ แต่ก็โชคดีที่ปัญหาของเรานั้นง่าย เรื่องของเรื่องคือเราพบว่ารูปแบบของกระเป๋าสะพายมันดูธรรมดาและน่าเบื่อจนเกินไป เลยอยากสร้างกระเป๋าที่ถูกขับเคลื่อนด้วยสไตล์และความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงใส่ใจในรายละเอียดการผลิต และนับตั้งแต่วันที่ก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน Herschel ก็ยังมุ่งมั่นในการพัฒนาผลงานให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน” อะไรคืออุปสรรคสำคัญในเวลานั้น
เป็นโสดมานานจนชิน แต่ใช่ว่าจะมองไปเจอแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียว เพราะข้อเสียของการเป็นโสดมันก็อยู่รอบตัวเราไม่แพ้กับอิสระที่เรามีนั่นแหละ ถ้ายังไม่เจอลองมองไปรอบ ๆ ตัวสิ นั่นแหละ ตรงนั้นแหละ จานกองใหญ่ที่ยังไม่ได้ล้าง (ตั้งหลายวัน) ผ้ากองโตที่ล้นออกมานอกตะกร้า เสื้อผ้าที่ถอดตรงไหนวางตรงนั้น อย่าให้บรรยายถึงกองทิชชู่ใต้เตียงอีก แม้บางคนจะไม่ได้ไร้ระเบียบกันขนาดนั้น แต่เชื่อว่าหลายคนคงมีมุมรกเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น เมื่อไม่มีสาวมาห้อง จึงไม่จำเป็นต้องรีบผักชีโรยหน้า UNLOCKMEN ก็ยังอยากให้หนุ่ม ๆ ลองจัดระเบียบสารพัดสิ่งในห้องให้มันไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่ของมันอย่างเป็นระเบียบ ด้วยเทคนิคง่าย ๆ แม้จะเป็นผู้ชายที่ไร้จิตวิญญาณพ่อบ้านก็สามารถทำตามได้ แยกเอกสารสำคัญออกมา เอกสารสำคัญทางราชการ เอกสารทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นสำเนา ฉบับจริง หรืออะไรก็ตามที่หายไม่ได้ ถ้าหายคืองานช้าง ควรหาที่เก็บให้มันโดยเฉพาะ แบบไม่ไปปะปนกับพวกใบแจ้งหนี้ ใบปลิวอื่น ๆ ที่เราอาจจะเผลอรวบ ๆ ทิ้งทั้งกองก็ได้ อาจจะเป็นโต๊ะหัวเตียง ชั้นไหนสักชั้นที่ค่อนข้างมิดชิดและเป็นส่วนตัว ถ้าขยันขึ้นมาหน่อยก็แยกตามประเภทของเอกสารเอาไว้ด้วย อันนี้ของการเงิน อันนี้การศึกษา อันนี้สลิปเงินเดือน อะไรก็ว่าไป หรือถ้ายังคงคอนเซปต์หนุ่มขี้เกียจก็รวบ ๆ ใส่ซองเอาไว้แล้วเก็บเป็นที่ก็พอไหว แค่อย่าไปรวมกับกองกระดาษอื่นก็พอ เพราะนอกจากจะเสี่ยงหายไปไร้ร่องรอยแล้ว เวลาจะใช้ทีก็แทบจะพลิกแผ่นดินหา มันไม่ใช่วิถีของหนุ่มสมาร์ตเอาซะเลย มีมุมของสะสม หากเรามีของสะสมไม่ว่าจะชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ หนังสือการ์ตูน
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ้านเรามีเวลาเปิด – ปิด มีกำหนดเวลาขาย และเวลากินเราก็เป็นอันรู้กันว่าต้องช่วงเย็น ช่วงค่ำหลังเลิกงานเท่านั้นถึงจะเหมาะ เพราะถ้ากินก่อนนั้นเหมือนเราจะโดนตำหนิด้วยสายตา แต่ว่านั่นก็เป็นแค่ Timezone จากวัฒนธรรมในบ้านเราเท่านั้นไม่ได้รวมเส้นแบ่งเวลาอื่น โดยเฉพาะสำหรับเมืองเบียร์อย่างเยอรมันที่เขากินเบียร์กันต่างน้ำ กินหลังออกกำลังกาย กินแทบตลอดทั้งวัน เขายังมีวัฒนธรรมให้เน้นกินเบียร์ก่อนเที่ยงวันอีกด้วย! เรียกได้ว่าพอลืมตา คอที่แห้งผากของเราต้องร้องหาเบียร์ รินขึ้นซดแก้กระหายกันเลยทีเดียว ดื่มเบียร์เช้าช่วยย่อย การดื่มเบียร์เป็นศาสตร์หนึ่งไม่ต่างจากการดื่มไวน์ เบียร์มีความล้ำลึกของมัน มีหลายประเภท มีความหนักเบาตามช่วงเวลา และมีความคราฟต์ให้หลายคนต้องรู้สึกติดอกติดใจ สำหรับวัฒนธรรมการกินเบียร์ก่อนเที่ยงวันคือการดื่มเบียร์ในช่วง brotzei (มื้อที่ 2 ของช่วงเช้า ที่เริ่มกินกันช่วง 10 โมงเป็นต้นไป) พบมากใน “บาวาเรีย” หรือรัฐที่อยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเยอรมัน เพื่อส่งเสริมวัฒธรรมการดื่มช่วงนี้มันจึงมีการผลิตเบียร์เฉพาะกินช่วงเช้านี้ โดยเขาเรียกมันว่า Hefeweizen (ออกเสียงว่า : HEH-feh-vite-zehn) เบียร์ชนิดนี้คือเบียร์เฉพาะที่ทำขึ้นจากวีท (ข้าวสาลี) แทนที่การใช้บาร์เลย์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่คอเบียร์ทุกคนลิ้มรสชาติกันเป็นประจำ วีทเบียร์นี้เหมาะกินกับอาหารเพราะให้รสชาติที่นุ่มกว่า สีสันเหลืองสว่างเองก็ให้รสชาติที่เบา แอลกอฮอล์ไม่หนักทำให้ดื่มได้ถี่ในช่วงเช้าไม่ต้องกลัวเมามายจนเสียอาการ ที่สำคัญการหมักวีทเบียร์ยังใช้ยีสต์ชนิดพิเศษที่เพาะมาโดยเฉพาะ ทำให้มีกลิ่นหอมนุ่มคล้าย กล้วย แอปเปิ้ล ซิตรัส ซึ่งเรียกได้ว่านี่คือหนึ่งจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหารให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้นอีกด้วย