ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เราเชื่อว่าทุกคนคงเจอทั้งเรื่องราวดี ๆ ที่น่าจดจำ และเรื่องราวร้าย ๆ อันแสนเจ็บปวดกันมาอย่างโชกโชน แต่ชีวิตคนเรานั้น ไม่ได้มีอะไรที่คงอยู่ตลอดไป มีขึ้นก็ต้องมีลง มีชนะ มีพ่ายแพ้ นี่แหละคือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเป็นแบบทดสอบใจของคน สำหรับบางคน ปีที่ผ่านมาอาจจะเป็นปีชงที่โคตรจะเฮงซวย ทำอะไรก็ไม่เป็นอย่างที่หวังไปซะหมด แต่ถ้าหากคุณลองทบทวนดูดี ๆ อีกที เรื่องราวตลอดทั้งปีที่ผ่านมานี้ จะช่วยสอนให้คุณได้เรียนรู้ว่า อะไรที่คุณควรจะทำต่อไป และอะไรที่คุณควรจะทิ้งมันไว้เป็นอดีต และจำมันมาเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต ดังนั้น วันนี้เราจึงได้นำเอาวิธีการง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณนำไปใช้เริ่มต้นปีใหม่ เพื่อให้มีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาฝากกัน กับ 6 สิ่งในชีวิตที่บางครั้งคุณไม่จำเป็นต้องฝืน แต่ควรจะช่างแม่ง และปล่อยวาง รับรองได้เลยว่า คุณจะมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาอย่างแน่นอน 1. ช่างแม่งกับบุคคลมลพิษ มันอาจจะฟังดูน่าตลก แต่มันเป็นเรื่องจริงที่คนเรามักพยายามเอาชนะใจคนอื่น แม้แต่กับคนที่เรารู้อยู่เต็มอกว่า แม่งไม่ได้ทำดีอะไรกับเราเลย Toxic People หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ‘บุคคลมลพิษ’ กับเรานี้ อาจจะได้ทั้ง เพื่อน ญาติ คนในครอบครัว หรือใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาชีวิต แต่ที่รู้ก็คือว่า
“แต่งตัวแบบนี้คนอื่นหัวเราะเยาะแน่เลย” “เราต้องทำอะไรผิดพลาดไปแน่ๆ ทำไมคนอื่นดูไม่ค่อยพอใจเราเลย” รู้ไหมว่าบางครั้ง คุณอาจคิดไปเองว่าคนอื่นจะสนใจเรามากเกินความเป็นจริง เพราะมนุษย์มีธรรมชาติที่มักเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอ และมักมองเรื่องต่าง ๆ ผ่านความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเอง คิดว่าคนอื่นจะต้องทำหรือรู้สึกเหมือนที่ตัวเองรู้สึก ทางหลักจิตวิทยาเรียกปรากฎการณ์นี้เรียกว่า ‘Spotlight Effect’ วันนี้ UNLOCKMEN จะมาอธิบายให้ฟังว่า Spotlight Effect คืออะไร ทำงานยังไง และเราจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนเข้าใจคำว่า Spotlight Effect ตรงกัน ก่อนอื่นเราอยากให้ทุกคนลองจินตนาการว่า พวกเรากำลังอยู่ในโรงละครที่การแสดงละครเวทีกำลังดำเนินอยู่ บนเวที พระเอกและนางเองกำลังแลกเปลี่ยนบทสนากัน ภายใต้แสง spotlight ที่ส่องมายังทั้งคู่ เพื่อเป็นการบ่งบอกผู้ชมว่านี่คือตัวละครสำคัญในฉาก พร้อมดึงดูดความสนใจของสายตาทุกคู่ที่อยู่ในโรงละครให้จับจ้องไปที่นักแสดงใต้แสง spotlight นั้น Spotlight Effect จึงเป็นคำเรียก ปรากฎการณ์ที่คนคิดไปเองว่าตัวเองได้รับความสนใจจากคนอื่นตลอดเวลา เหมือนกับมีแสง spotlight ส่องมายังพวกเขาตลอดเวลา (ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่โรงละคร ไม่มีแสง spotlight และคนเราไม่ได้สนใจคนอื่นมากขนาดนั้น) ทำให้พวกเขารู้สึกต้องระแวดระวังตัวเองอยู่เสมอ เพราะกลัวคนอื่นจะสังเกตเห็นความผิดพลาดของตัวเองได้ ยกตัวอย่าง เวลาเล่นกีฬา คนจะรู้สึกว่าเพื่อนร่วมทีมสังเกตข้อบกพร่องของตัวเองมากกว่าความเป็นจริง งานวิจัยหลายชิ้นได้พยายามอธิบายการมีอยู่ของ
แม้ทุกวันนี้ภาพความสำเร็จของคนรุ่นใหม่นั้นกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่มีให้พบเห็นและร่วมยินดีกันอยู่บ่อย ๆ แต่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านั้นแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกคนล้วนต้องผ่านความทุ่มเทพยายามบนเส้นทางของตัวเองมาแล้วอย่างเข้มข้น และต้องยอมรับว่าสิ่งที่ทำให้คน Gen นี้ ก้าวเข้าสู่ความสำเร็จได้ตั้งแต่อายุยังน้อย นอกเหนือจากความสามารถ โอกาส และความมุ่งมั่นตั้งใจ คงเป็นสิ่งอื่นใดไปไม่ได้นอกจากเรื่องของวิธีคิดและการใช้ชีวิตแบบ Hybrid ซึ่งเปรียบเสมือน DNA ของคนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางเทคโนโลยีที่พร้อมตอบสนองต่อรูปแบบชีวิตที่หลากหลาย ทำให้คนยุคนี้สามารถบาลานซ์น้ำหนักระหว่างการทำงานซึ่งเต็มไปด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่มากมาย ไปพร้อม ๆ กับการแบ่งเวลาให้กับตัวเองได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้มุมมองการใช้ชีวิตที่ไม่ยึดติดกับสิ่งใด คือข้อได้เปรียบที่ทำให้คนรุ่นใหม่มีอิสระในการเลือกตัวช่วยที่ใช่ ที่จะเข้ามาเติมเต็มรายละเอียดชีวิตให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และในวันนี้เราอยู่กับ YAMAHA GRAND FILANO HYBRID อีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถขับเคลื่อน Hybrid Lifestyle ให้ ‘LIVE HIGH’ ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือการใช้ชีวิต ซึ่งพร้อมให้สัมผัสความเจ๋งผ่านเรื่องราวในหนึ่งวันของตัวแทนคนรุ่นใหม่ ที่รับมือกับชีวิตหลายบทบาทได้อย่างลงตัว อย่างที่บอกไปว่าหนึ่งในหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จของคนรุ่นใหม่ คือการคอนโทรลหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีมากมายได้ลงตัว เพราะในหนึ่งวันของคนยุคนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้กับการใช้ชีวิตแบบ Hybrid กับบทบาทที่หลากหลาย มีชีวิตไม่หยุดนิ่งต้องเดินทางไปในหลายสถานที่ภายใต้กรอบเวลาที่จำกัด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ยานพาหนะคู่ใจจะต้องพร้อมตอบโจทย์การเดินทางที่ควบคุมเวลาได้ ด้วยเครื่องยนต์ที่มอบความมั่นใจทั้งในเรื่องของสมรรถนะ และความประหยัดที่น่าพอใจ และไม่ใช่เพียงมิติของการทำงาน เรื่องของการดูแลตัวเองคือสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีบุคลิกที่ดีนั้นสามารถสร้างความน่าเชื่อถือรวมถึงสร้างโอกาสดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้มากมาย และบุคลิกที่ดีเหล่านั้นมันไม่ใช่แค่เสื้อผ้า หน้า
อกหักเรื่องใหญ่ แต่การมูฟออนจากมันได้เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า หลาย ๆ คนมักจะจมอยู่กับความเศร้าจนลืมไปว่าชีวิตที่เคยสดใสเป็นอย่างไร ซึ่งเราเข้าใจความรู้สึกของคุณดี และเราก็อยากให้คุณกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้งกับ “7 ข้อที่ควรรู้สู่การมูฟออนได้ดีกว่าที่เคยเป็นมา” 1. มีสติอยู่กับปัจจุบัน ใคร ๆ ก็ต่างพูดว่าทำอะไรต้องมีสติ ใช่แล้วเพราะมันคือวิธีที่ถูกต้อง ทำให้เรารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ในเวลานี้ เช่นเดียวกับตอนที่คุณอกหัก เศร้า จมปลักอยู่กับน้ำตา ไม่แปลกที่คุณจะต้องอยู่กับห้วงอารมณ์แบบนั้น แต่คุณต้องเปิดปุ่มสติให้แล่นอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นให้ลองกำหนดลมหายใจหรือนั่งสมาธิดู เพราะมันอาจจะช่วยให้คุณควบคุมความฟุ้งซ่านที่กำลังเกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย 2. โฟกัสกับสิ่งที่ต้องรับผิดชอบให้มากกว่าเดิม โหมดความโสดไม่ได้แย่เสมอไป อย่าลืมว่าก่อนที่คุณจะมีความรักคุณก็เคยใช้ชีวิตคนเดียวอย่างมีความสุขได้ สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่เพียงกลับไปโฟกัสกับหน้าที่และความรับผิดชอบให้เต็มที่เหมือนที่เคยทำมา ไม่ว่าจะเป็นงานหลักหรืองานบ้านก็ตาม เพราะเมื่อคุณทุ่มเทและใช้เวลาอย่างเต็มที่กับสิ่งเหล่านี้ มันก็จะช่วยให้โฟกัสของคุณไม่ไปอยู่กับความเศร้ามากจนเกินไป 3. โฟกัสกับการทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อถึงเวลาอกหัก มักจะมีอาการเบื่ออาหาร ทานข้าวไม่ลง จนร่างกายผอมซูบลงอย่างน่าตกใจ บางคนบอกว่ามันคือสูตรลดน้ำหนักแบบเร่งรัด แต่ได้โปรดอย่าคิดแบบนั้น เพราะถึงแม้คุณจะได้มีหุ่นผอมเพรียวบาง แต่ร่างกายของคุณจะมีสุขภาพที่ย่ำแย่ตามมา รวมถึงความหิวจะทำให้สมองเกิดความเครียด ซึ่งส่งผลต่อสีหน้าและสุขภาพผิดโดยรวม เพราะฉะนั้นคุณควรโฟกัสกับการทานอาหารให้มากขึ้น โดยเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะมันจะช่วยให้คุณแข็งแรง หน้าตาดูสดชื่น และมีแรงเพื่อก้าวข้ามผ่านพ้นไปวันหมอง ๆ ไปได้ 4. คิดถึงคนรอบข้าง เวลาที่คุณเศร้า รู้สึกว่าโลกนี้มันเลวร้ายไปหมดทุกอย่าง อย่าลืมว่าไม่ได้มีแต่คุณที่คิดแบบนั้น
Dangerous Minds คือภาพยนตร์แนวดราม่าที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในยุค 90’s ออกฉายครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 1995 นำแสดงโดย Michelle Pfeiffer มารับบทเป็นคุณครู LouAnne Johnson และกำกับการแสดงโดย John N. Smith ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือ “My Posse Don’t Do Homework” ที่เขียนโดย LouAnne Johnson ตัวจริง Dangerous Minds นำเสนอเรื่องราวของคุณครูคนหนึ่งที่ตกลงปลงใจเข้าสอนกลุ่มนักเรียนพิเศษในระดับไฮส์สคูล หรือจะให้บอกตรง ๆ ก็คือกลุ่มนักเรียนเกเรที่ไม่มีใครอยากสนใจ มีครูมากมายที่ต้องลาออกไปเพราะไม่สามารถที่จะรับมือกับความแสบของเด็ก ๆ กลุ่มนี้ได้ แต่ครู LouAnne Johnson กลับสามารถพิชิตใจนักเรียนกลุ่มนี้ได้ แม้กว่าจะทำสำเร็จก็ต้องผ่านเรื่องราวอะไรต่าง ๆ มากมาย ซึ่งพอมาเปรียบเทียบกับชีวิตของเราแล้ว มันมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมาะกับการนำไปปรับใช้เวลาทำงานด้วยเช่นกัน และเราสามารถแบ่งประเด็นที่น่าสนใจออกมาได้เป็นจำนวน 5 ข้อหลัก ๆ ดังนี้ แผนบางอย่างใช้ไมได้กับทุกสถานการณ์
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การให้คุณค่าในความเป็นปัจเจกคือสิ่งที่ถูกสื่อสารออกมาผ่านแคมเปญระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นของเชื้อชาติ, รูปลักษณ์, ความเชื่อ, ลงลึกไปจนถึงเรื่องของไลฟ์สไตล์ และรสนิยมที่หลากหลายของแต่ละบุคคล ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทยที่หลากหลายแบรนด์ใหญ่ต่างลุกขึ้นมาให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ โดยสะท้อนออกมาผ่านการสื่อสาร รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับตัวตนที่แตกต่างของทุกคน ซึ่งถ้าพูดถึงแบรนด์ที่เข้าใจและให้ความสำคัญในตัวตน รวมไปถึงรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่าง แน่นอนว่าชื่อของ SANSIRI (แสนสิริ) ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ในไทยนั้นต้องติดโผอยู่ในอันดับต้น ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะต้องยอมรับว่าตลอดระยะเวลากว่า 38 ปีที่ผ่านมา แสนสิริ ได้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างเรา ๆ ได้ลึกซึ้งถึงแก่น กับแนวคิดที่ต้องการสนับสนุนให้ทุกคนสามารถยืนหยัดในความเป็นตัวเองให้ได้อย่างเต็มที่ และบ้านถือเป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเป็นตัวเองและภูมิใจในตัวตนได้มากที่สุด ซึ่งทางแสนสิริได้ต่อยอดแนวคิด Made For Life ที่มีพื้นฐานจากความเข้าใจและใส่ใจในทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิตของทุกคน ให้สอดคล้องกับทุกมิติชีวิตของ ‘คุณ’ ได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ด้วยการออกแคมเปญ ‘YOU Are Made For Life’ แคมเปญดี ๆ ที่สะท้อนมุมมองของแสนสิริ ซึ่งเข้าใจถึงความต้องการการใช้ชีวิตที่แตกต่างของคุณแต่ละคน ไม่ว่า ‘คุณ’ จะเป็นแบบไหน แต่สำหรับแสนสิริ ‘คุณ’ คือองค์ประกอบที่สำคัญสุดของบ้าน ‘คุณ’ คือหัวใจสำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของคุณ และครอบครัวให้ได้มากที่สุด ‘YOU Are Made For Life’ ที่มาของแคมเปญ ‘YOU
“ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” ประโยคสั้น ๆ แต่บ่งบอกความหมายได้ชัดเจน เพราะชีวิตเราในแต่ละวันล้วนแต่ต้องเผชิญปัญหาต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว, ปัญหาภายในครอบครัว, ปัญหาเรื่องหน้าที่การงาน ซึ่งมันอาจจะลามกลายมาเป็นปัญหาสุขภาพได้ในภายหลังเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราจึงควรต้องมีวิธีรับมือและจัดการกับสิ่งเหล่านั้น เพื่อช่วยให้ชีวิตของเราสามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ที่มักแวะเข้ามาทักทายไปได้ มาทำความรู้จัก 5 วิธีงัดกับปัญหาที่จะทำให้ชีวิตของเราแข็งแกร่งมากกว่าเดิมกันครับ 1.สร้างพื้นที่ลดความเครียด การที่คนเราทำงานใด ๆ ก็ตามอยู่เพียงอย่างเดียว มักจะทำให้เราไม่เห็นทางออกการปลดปล่อยความเครียดออกมาได้ เพราะมันเปรียบเสมือนโลกใบเดียวที่คุณมีอยู่ ทั้งที่จริง ๆ แล้วตัวคุณเองสามารถสร้างโลกใบใหม่ได้อีกหลายใบตามใจต้องการ โลกที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องราวเหนือจินตนาการ แต่มันคือการหางานอดิเรกที่คุณชอบทำมันให้จริงจังเพิ่มเติมซะ ไม่ว่าจะเป็นการแคสต์เกมส์, การเล่นดนตรี หรือแม้กระทั่งการปลูกต้นไม้ เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้คุณมีความสุขทุกครั้งที่ได้ใช้เวลาอยู่กับมันนั่นเอง เมื่อศูนย์กลางของคุณไม่ได้มีเพียงที่เดียว คุณก็สามารถบรรเทาความทุกข์ ความเครียดต่าง ๆ ด้วยงานอดิเรกเหล่านี้ได้ ซึ่งไม่แน่ว่าในสถานการณ์เลวร้ายสุด ๆ อย่างเช่นต้องตกงาน สิ่งเหล่านี้อาจจะช่วยสร้างรายได้ให้กับคุณได้เช่นกัน 2.ควบคุมอารมณ์ไม่ใช่ให้อารมณ์ควบคุม บ่อยครั้งที่ความเครียดเกิดจากการพาตัวเองเข้าไปสู่อารมณ์ที่ย่ำแย่จนเราไม่สามารถรับมือกับมันได้ กลายเป็นการสร้างปัญหาที่มีผลกระทบกับตัวเราเองรวมไปถึงคนรอบข้าง เพราะฉะนั้นการควบคุมอารมณ์จึงจำเป็นอย่างมากที่คุณจะต้องเรียนรู้ วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณรู้ว่าสภาวะอารมณ์ของคุณรุนแรงหรือบอบช้ำขนาดไหน เราอยากให้คุณลองหยิบสมุดขึ้นมาจดความรู้สึกเหล่านั้นลงไปในขณะที่มีอารมณ์กำลังปะทุขึ้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไปมันจะทำให้คุณรู้ว่าอารมณ์มันได้ควบคุมคุณจนไปถึงจุดไหน และตัวคุณในตอนนั้นเป็นอย่างไร สิ่งต่าง
ณ Mid-Den Haus Studio สตูดิโอบ้านสไตล์วินเทจย่านซอยพหลโยธิน 44 เมื่อสัปดาห์ก่อน เรามีนัดพูดคุยกับศิลปินและนักแสดงชื่อดังที่อยู่ในวงการบันเทิงมานานเกิน 20 ปี แต่ไม่น่าเชื่อว่ากาลเวลาจะทำอะไรผู้ชายที่ชื่อว่า “โดม ปกรณ์ ลัม” ไม่ได้เลย โดมจะมาพาทุกคนไปไล่ย้อนไทม์ไลน์นับตั้งแต่วันแรกที่เข้าวงการจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงมุมมองของสังคมและประเทศไทยในปัจจุบันที่ถูกแช่แข็งอยู่กับที่มาอย่างยาวนาน ซึ่งคงไม่บ่อยมากนักที่เราจะได้ฟังทัศนคติของโดมที่จะพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ พร้อมแล้วไปลุยกันเลยครับ! เข้าสู่วงการตั้งแต่วัยเด็ก โดม เป็นคนที่มีชีวิตวัยเด็กไม่ต่างจากเด็กทั่ว ๆ ไป ตื่นเช้าไปเข้าเรียน ตกเย็นเตะบอลกับเพื่อนแล้วค่อยแยกย้ายกลับบ้านนอนตามปกติ แต่สิ่งที่แตกต่างกว่าคนอื่น ๆ ซักเล็กน้อยก็คงเป็นการทำงานถ่ายโฆษณาตั้งแต่วัย 2-3 ขวบ ซึ่งโดมเล่าให้ฟังว่ามีงานเข้ามาบ่อยมาก เนื่องจากตนเองเป็นเด็กที่อึดมาก ไม่ค่อยงอแง ทำให้ได้งานตลอด มีรายได้พิเศษมาช่วยคุณแม่จนกระทั่งเข้าสู่วัย 6 ขวบ “ถ่ายโฆษณาไปมา จนไปเตะตาพี่คนหนึ่ง เขาทำละครอยู่ช่อง 3 ตอนนั้นประมาณ 6 ขวบ ผมเล่นละครช่อง 3 เป็นตัวละครเด็กนี่แหละครับ ได้เล่นอยู่หลายเรื่อง จากนั้นก็เริ่มมีงานตามมาเรื่อย ๆ ลักษณะกึ่งดาราเด็กแต่ก็ไม่เชิง เพราะว่าสมัยนั้นไม่ค่อยมีดาราเด็กที่โด่งดัง จะเป็นพระนางเสียส่วนใหญ่ เด็กก็จะเป็นตัวประกอบในละคร”
ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง ชื่อของกองหน้าทีมชาติกาบองกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งหลังจากระเบิดฟอร์มซัดเบิ้ลช่วยให้ Barcelona บุกไปถล่ม Real Madrid ยับเยินคาบ้านถึง 4-0 สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นภาพแห่งความสุขอันล้นปรี่ของนักเตะรวมไปถึงแฟนบอลด้วยเช่นกัน แต่หากย้อนไปไม่กี่เดือนก่อนชื่อเราคงคิดไม่ออกแน่ ๆ ว่าภาพเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ก่อนที่โอบาเมย็องจะยกเลิกสัญญากับทีม Arsenal ช่วงนั้นสถานการณ์ของเขาดูไม่ค่อยจะสู้ดีซักเท่าไหร่ สืบเนื่องมาจากปัญหาเรื่องระเบียบวินัยส่งผลให้เกิดความไม่ลงรอยกับ มิเกล อาร์เตตา ผู้จัดการทีมชาวสแปนิช หากมองจากสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นรวมไปถึงอายุอานามที่ใกล้ 33 ปีเข้าไปทุกที คงไม่มีใครกล้าฟันธงว่าโอบาเมย็องจะสามารถงัดฟอร์มอันสุดยอดออกมาได้อีกครั้ง แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไปนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นการค้าแข้ง สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาอาจจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด ฟุตบอลอยู่ใน D.N.A. โอบาเมย็อง ถูกถ่ายทอดความชื่นชอบกีฬาฟุตบอลที่น่าจะฝังลงลึกถึงชั้น DNA นั่นก็เพราะคุณพ่อของเขาก็เป็นนักฟุตบอลอาชีพเช่นกัน เคยติดทีมชาติกาบองและมีผลงานกับอีกหลาย ๆ สโมสร เท่านั้นยังไม่พอ พี่น้องของเขาทั้งคาติลินาและวิลลี่ ต่างก็เป็นนักฟุตบอลกันทั้งหมด โอบาเมย็อง ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 1989 ณ เมืองลาวาล ประเทศฝรั่งเศส การใช้ชิวตของเขากลับไม่ได้ปักหลักอยู่ที่ฝรั่งเศสหรือกาบอง แต่กลายเป็นเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เนื่องจากคุณพ่อของเขาได้ประกอบอาชีพเป็นแมวมองให้กับทีม A.C. Milan หลังจากแขวนสตั๊ด ส่วนคุณแม่ของเขาคือ มาร์การิตา
ท่ามกลางความวุ่นวายย่านถนนแจ้งวัฒนะ-ดอนเมือง ที่เต็มไปด้วยรถยนต์ที่วิ่งพลุกพล่านสะท้อนชีวิตที่เร่งรีบของมนุษย์เงินเดือนในเมืองหลวง แต่ใครจะไปคาดคิดว่าจะมีชีวิตสุดแสนเรียบง่าย ประกอบอาชีพที่ตัวเองรักแบบไม่ต้องปะทะกับใครให้รำคาญใจซ่อนอยู่ใจกลางสังคมอันโกลาหล ซึ่งที่นี่มีชื่อว่า “นครสังข์ สตูดิโอ” สถานที่เล็ก ๆ สำหรับผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาจากไม้ ฝังตัวอยู่ภายในบ้านที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแสนอบอุ่น แอ็ค-ชานนท์ นครสังข์ ชายหนุ่มวัยกลางคน อดีตพนักงานประจำสายกราฟฟิกดีไซน์ คือเจ้าของสตูดิโอแห่งนี้ เขาเป็นอีกหนึ่งคนที่ตั้งคำถามให้กับชีวิตว่า ‘เราจะใช้ชีวิตที่เหลือแบบนี้ไปตลอดจริง ๆ ใช่ไหม?’ จนสุดท้ายก็ได้คำตอบกับการเลือกประกอบอาชีพที่มาจากธุรกิจส่วนตัว ทั้ง ๆ ที่เริ่มแรกแอ็คแทบไม่ได้สนใจงานไม้เลยด้วยซ้ำ มีเพียงความรู้สึกชื่นชอบในงานตกแต่งบ้านเป็นพิเศษ FINE WOOD WORKING “Fine Wood Working” 3 คำง่าย ๆ สั้น ๆ แต่เปลี่ยนวิถีชีวิตของแอ็คไปโดยปริยาย มันคือจุดเริ่มต้นที่เขาได้เริ่มศึกษางานไม้อย่างจริงจังจาก 2 ศิลปิน ได้แก่ George Nakashima ศิลปินช่างไม้ชาวอเมริกัน เชื้อสายญี่ปุ่น และ James Kreno ศิลปินช่างไม้ชาวรัสเซีย “งานของทั้ง 2 ท่าน ไม่ได้วิจิตรชดช้อย เป็นงานที่เรียบง่ายมาก แต่เขาดึงความงามของไม้หรือวัสดุที่เขาใช้ออกมาได้พิเศษมาก
“ทำไมมึงคิดแบบนี้วะ โคตรโง่ มันต้องคิดแบบกูถึงจะถูกโว้ย” ทุกคนน่าจะเคยสัมผัสกับ Mr. Know-it-all มาแล้ว ไม่ว่าจะคนรอบข้าง และที่สำคัญคือโลกออนไลน์ คนที่แสดงความคิดเห็นเหมือนรู้จริง รู้ทุกอย่าง ความคิดของเขาคือความถูกต้องที่สุด ใครเห็นด้วย เราคือเพื่อนกัน ใครเห็นต่างคือคนโง่เง่าไร้สมอง ซึ่งคนประเภทนี้สามารถเรียกได้อีกอย่างว่า “Opinionated People” การเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วของ Opinionated People มาจากโลก Social Media ที่ทุกคนแสดงความคิดได้อย่างอิสระและรวดเร็วแค่ปลายนิ้วพิมพ์ ไม่มีการจ้องตาเผชิญหน้า ทำให้เกิดระยะห่างที่รู้สึกปลอดภัย นำไปสู่การแสดงความคิดเห็นแบบไม่ต้องคิด วิเคราะห์ แยกแยะ แถมเป็นศูนย์รวมของคนแปลกหน้า จึงไม่ต้องกังวลถึงผลกระทบที่จะตามมา ทำให้ทุกวันนี้มีการแสดงความคิดเห็นที่นำไปสู่การโต้เถียงที่ไร้ประโยชน์ เพราะตัวของพวกเขานั้น ไม่รับฟังความคิด ไม่ได้เข้าใจที่มาที่ไปของแต่ละไอเดีย Mr. Know-it-all ชอบแสดงตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ จากประสบการณ์ในโลกแคบ ๆ ที่เติบโตขึ้นมา โดยลืมไปอย่างสิ้นเชิงว่าโลกภายนอกยังมีความจริงในมุมอื่น ๆ อีกมากมาย แม้ตัวเขาจะไม่รู้จริง แต่ก็จะไม่พยายามทำความเข้าใจ เพราะการยอมรับว่าตัวเองผิดนั้น จะทำให้พวกเขาดูเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา และทำลายความมั่นใจในตัวเองที่พวกเขามีอยู่จดหมดสิ้น พวกเขาจึงเลือกที่จะหาเรื่อง เปลี่ยนเรื่อง หรือล้อเลียนเมื่อมีคนอธิบายข้อมูลอีกด้าน แทนที่จะเปิดใจรับฟัง
เคยตั้งคำถามกับตัวเองหรือไม่ว่า เราเกิดมาเพื่อจะเป็นแบบคนอื่นหรืออยากจะเป็นตัวของตัวเอง ถ้าคำตอบของคุณคือการเป็นตัวเอง สิ่งเหล่านั้นมันก็จะสะท้อนออกมาจากแนวคิด, การใช้ชีวิต แฟชั่น รวมไปถึงไลฟ์สไตล์ ไม่เว้นแม้แต่วงการรถจักรยานยนต์ มีอยู่หลาย ๆ คนเลือกที่จะนำรถคันโปรดไปผ่านการคอสตอมจนได้ดีไซน์ออกมาแตกต่างจากใคร ๆ บนท้องถนน และอาจจะมีแค่คนเดียวในโลกด้วยซ้ำ ซึ่งร้านที่ได้รับการยอมรับและได้รับความไว้วางใจในการปรุงแต่งเปลี่ยนโฉมในบ้านเราคงต้องยกให้กับ K-Speed คุณเอก หรือคุณธนดิษ สาระเวก คือเจ้าสำนัก K-Speed ที่ซึมซับความชื่นชอบรถจักรยานยนต์มาตั้งแต่วัยเด็ก คุณเอกได้เล่าให้ฟังถึงจุดกำเนิดแพชชั่นไว้ดังนี้ “ผมคลุกคลีกับรถบิ๊กไบค์มาตั้งแต่ช่วงเรียนมัธยม ตัวเองก็ขี่มอเตอร์ไซด์มาตั้งแต่ช่วง 14-15 แล้ว มีคุณพ่อทำธุรกิจนำเข้ารถเก่าของญี่ปุ่นเข้ามาขายในบ้านเราด้วย ทำให้เราได้ซึมซับความชื่นชอบมาเรื่อย ๆ คอยศึกษาดูการแต่งรถจากพวกหนังสือ จนได้มาเริ่มลองแต่งรถด้วยตัวเองตามหนังสือจากประเทศญี่ปุ่น แต่สุดท้ายเราก็ต้องมานั่งหาลายเซ็นของตัวเองจนทำมันออกมาได้สำเร็จครับ” K-SPEED สถานที่สำหรับชาว 2 ล้อ แต่กว่าที่คุณเอกจะกลายเป็นมือวางอันดับ 1 ในการ Custom รถจักรยายนต์ เริ่มแรกเลยร้าน K-Speed เปิดเป็นร้านจำหน่ายอะไหล่สำหรับตกแต่งมาก่อน ซึ่งดำเนินกิจการภายใต้แบรนด์ Diablo มาตั้งแต่ปี 2002 จนมาถึงปัจจุบัน และมีวางจำหน่ายกระจายไปทั่วโลก จนกระทั่งเมื่อช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาจึงมาเริ่มงาน Custom