ผู้ชายบางคนอาจรู้สึกอับอาย หรือ กล้า ๆ กลัว ๆ เวลาต้องโชว์เรือนร่างของตัวเองต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะคนแปลกหน้า เพราะพวกเขารู้สึกว่าตัวเองหุ่นไม่ดี หรือ มีรอยตำหนิตามร่างกายที่ทำให้มันดูไม่สวยงาม แต่รู้ไหมว่า การแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นอาจช่วยให้เรารู้สึกดีกับร่างกายตัวเองมากขึ้น งานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสาร The Journal of Sex Research (2020) นักวิจัยได้พยายามศึกษาว่า การมีประสบการณ์โป๊เปลือยร่วมกับคนอื่นจะช่วยให้เรารู้สึกดีกับรูปร่างของตัวเองมากขึ้นหรือไม่ โดย คีออน เวส (Keon West) รองศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาจาก Goldsmiths-University of London และผู้ทำงานวิจัยชิ้นนี้ ได้ค้นหาอาสาสมัครผู้ชาย 27 คน และผู้หญิง 24 คนทั่วเมืองลอนดอน ผ่านโฆษณาออนไลน์ซึ่งมีการเตือนก่อนแล้วว่า “ผู้เข้าร่วมบางคนอาจต้องร่วมกิจกรรมโป๊เปลือยแบบปลอดภัย (safe, non-sexual nude activity)” ผู้เข้าร่วมการทดลองจะมาพบกันที่บาร์แห่งหนึ่ง ที่มีห้องแยกกัน 2 ห้อง และถูกแบ่งแบบสุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มควบคุม ซึ่งคนกลุ่มนี้จะถูกบอกว่าให้เอนจอยกับคนอื่นเท่านั้น
รู้ไหมว่ามันมีเส้นบาง ๆ ระหว่าง ‘แก้ปัญหา’ กับ ‘กังวล’ หลายคนมักสับสนและมองว่าสองสิ่งนี้เป็นเรื่องเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง และทำให้เราคลี่คลายปัญหาได้ต่างกันด้วย UNLOCKMEN เลยอยากมาอธิบายว่า การแก้ปัญหา กับ การกังวล มันต่างกันอย่างไร ? WHAT IS PROBLEM SOLVING ? เวลาเราเผชิญหน้ากับปัญหา แต่ละคนอาจมีวิธีแก้ปัญหาแตกต่างกัน บางคนใช้ ‘ทักษะในการแก้ปัญหา’ (problem solving skills) ในการแก้ปัญหาจริง ๆ แต่หลายคนก็มักใช้ ’ความกังวล’ ในการแก้ปัญหา อาจเป็นเพราะเข้าใจว่า ‘กังวล’ กับ ‘แก้ปัญหา’ เป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่ สองอย่างนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กังวล (worrying) คือ การคิดเพื่อแก้ปัญหาเหมือนกับ problem-solving แต่ต่างกันตรงที่ว่า มันจะโฟกัสกับเรื่องร้าย ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอย่างเดียว โดยไม่ดูเรื่องดี ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเลย เมื่อเราเกิดความกังวล
เมื่อเราเจอกับเรื่องที่น่าผิดหวังบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น ทำงานพลาด โดนแฟนทิ้ง หรือ ไม่ได้รับในสิ่งที่หวังไว้ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เรามักคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า และไม่สมควรได้รับความรักจากใครแม้แต้ตัวเอง พอนาน ๆ เข้า เราก็อาจจะดาวน์ และนำไปสู่ปัญหาด้านการใช้ชีวิตในที่สุด การรักตัวเอง หรือ self-love จะเป็นสกิลสำคัญในเวลาที่เจอเรื่องแบบนี้ มันจะช่วยให้เรารอดพ้นจากเรื่องแย่ ๆ ได้ และสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดังเดิม ทำไม self-love ถึงเป็นสกิลเอาตัวรอด ? หลายคนคงได้ยินคำว่า ‘รักตัวเอง’ บ่อยแล้วจากคนรอบข้าง แต่พอจะหันมารักตัวเองจริง ๆ อาจเริ่มรู้สึกสับสน เพราะคำนี้มีความหมายค่อนข้างกว้าง เราเลยอยากอธิบายบริบทของการ ‘รักตัวเอง’ ที่กำลังจะกล่าวถึงว่ามันคืออะไรกันแน่ self-love คือ การรักตัวเอง และยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น คนที่รักตัวเองจะเข้าใจว่าตัวเองอยากทำอะไร และเข้าใจด้วยว่าความคิดและอารมณ์ส่งผลต่อตัวเองอย่างไร เมื่อเรารักตัวเอง เราจะมองเห็นคุณค่าของตัวเองอยู่เสมอ แม้เราจะเจอกับเรื่องที่ทำให้เราโกรธ เกลียด หรือ ผิดหวังในตัวเองมากแค่ไหนก็ตาม เราก็จะไม่ดาวน์ และสามารถรับมือกับมันได้เป็นอย่างดี คนที่รักตัวเองมักทำเรื่องเหล่านี้ ได้แก่ พูดสิ่งดี
มันต้องมีสักครั้งที่เรารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบมีแค่ ‘เรา’ กับ ‘สิ่ง’ ที่อยู่ตรงหน้า เราโฟกัสกับสิ่งนั้นอย่างจริงจัง ทุมเทพลังงานและความสนใจให้กับมัน จนเราไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเลย แต่พองานจบลงความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ปรากฎการณ์นี้มีชื่อเรียกว่าสภาวะ ‘Flow’ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างมาก แต่ก็ยากที่จะเข้าถึงเหมือนกัน UNLOCKMEN เลยอยากมาแชร์วิธีการเข้าโหมดโฟลว์อย่างง่ายดาย เพื่อให้ทุกคนนำไปปรับใช้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น WHAT IS THE FLOW STATE ? โฟลว์ (flow) คือ สภาวะที่เราจมอยู่กับกิจกรรมหรืองานอย่างเต็มตัวในช่วงเวลาหนึ่ง โดยที่เราไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองและรอบข้าง ซึ่งคำนี้มีที่มาจาก มิฮาย ชิกเซนต์มิฮายยี (Mihály Csíkszentmihályi) นักจิตวิทยาเชิงบวกในปี 1975 และได้รับการสนใจมาจนถึงปัจจุบัน ว่ากันว่าเวลาเราเกิดโฟลว์ สมองส่วนคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า (prefrontal cortex) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความคิดขั้นสูง อาทิ ความทรงจำ รวมถึง การมีสติรู้ตัว อาจหยุดทำงานชั่วคราว ส่งผลให้เกิดการรับรู้เวลาผิดเพี้ยน ไม่รู้สึกตัว และไม่ได้ยินเสียงจิตใจของตัวเอง นอกจากนี้การหลั่งของสารเคมีที่ชื่อว่า โดปามีน อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโฟลว์ด้วย หลายคนอาจไม่เกิดโฟลว์บ่อย เพราะโหมดโฟลว์ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ต้องมีเงื่อนไขที่จำเป็น
เกิดเป็นผู้ชายเซนซิทีฟจะทำอะไรก็ยากไปหมด เจอกับเรื่องเศร้าก็อยากร้องไห้ พอเจอกับเรื่องที่ทำให้มีความสุขก็แสดงความดีใจออกมาได้ไม่เต็มที่ เพราะผู้ชายถูกบอกมากันมานานว่าต้องเก็บอารมณ์ และตัดสินใจทุกเรื่องได้โดยใช้หลักเหตุและผล การแสดงอารมณ์จึงหมายถึงความอ่อนแอ และจะทำให้โดนดูถูก ผู้ชายหลายคนจึงต้องเก็บอารมณ์ และการเก็บอารมณ์ก็อาจทำให้พวกเขากลายเป็นคนเก็บกดได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ชายที่เป็น Highly Sensitive Person หรือ HSP ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อเรื่องรอบตัวมากกว่าคนปกติดูจะได้รับผลกระทบจากปัญหานี้มากกว่าคนอื่นด้วย HSP คืออะไร ? นักจิตวิทยาชื่อว่า อีเลน อาลอน ( Elaine Aron) ได้คิดคำว่า Highly Sensitive Person หรือ HSP ขึ้นมา เพื่ออธิบายคนประเภทหนึ่งที่มีระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system) ไวต่อตัวกระตุ้นทางกายภาพ อารมณ์ และสังคม มากกว่าคนอื่น และด้วยระบบประสาทส่วนกลางที่ไวนี้เอง ทำให้คนประเภทนี้อ่อนไหวต่อสิ่งรอบตัวได้ง่ายกว่าคนอื่นเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพวกเขาดูหนังเศร้าก็อาจร้องไห้ได้ง่ายกว่าคนอื่น เวลาพวกเขาเจ็บปวดก็อาจจะรู้สึกปวดทรมานกว่าคนอื่น คนกลุ่ม HSP มักกระวนกระวายใจมากเวลาเจอกับเหตุการณ์ความรุนแรง เกิดความเครียด หรือ ความกดดัน บ่อยครั้งพวกเขาเลยพยายามหนีจากสถานการณ์ที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้น เช่น หลีกเลี่ยงหนังหรือรายการทีวีที่มีความรุนแรง ส่วนลักษณะอื่น
เคยรู้สึกไหมว่า แม้จะผ่านช่วงวัยเด็กมา และโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรายังรู้สึกเหมือนเป็นเด็กอยู่ดี รู้สึกว่ายังไม่โต และบางครั้งรู้สึกว่าไม่อยากโตเลย ถ้าเคย คุณอาจกำลังมีอาการของ Peter Pan Syndrome อยู่ก็ได้นะ ถ้าใครมีอาการนี้อยู่ เราอยากบอกว่า มันสามารถส่งผลเสียความสัมพันธ์และการทำงานของเราได้อย่างหนักหน่วงเลยทีเดียว Peter Pan Syndrome คืออะไร ? แล้วคนที่เป็น Peter Pan Syndrome จะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ไหม ? ลองอ่านบทความต่อไปเดียวเราจะอธิบายให้ฟัง WHAT IS PETER PAN SYNDROME ? หลายคนน่าจะรู้จักตัวละครปีเตอร์ แพนจากหนังการ์ตูนของวอลท์ ดิสนีย์อยู่แล้ว ซึ่งความโดดเด่นของตัวละครตัวนี้ คือ เป็นเด็กผู้ชายที่ไม่สามารถเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ได้ จึงเป็นที่มาของชื่ออาการ Peter Pan Syndrome ที่ใช้ในการอธิบายผู้ใหญ่ (ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย) ที่เชื่อว่าตัวเองยังไม่โต ไม่สามารถทำตัวแบบผู้ใหญ่ได้ เรียกได้ว่า มีตัวเป็นผู้ใหญ่แต่ใจเป็นเด็ก ซึ่งสาเหตุที่ทำให้อาการนี้เกิดขึ้นก็มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เติบโตมากับครอบครัวที่เลี้ยงลูกแบบตามใจและปกป้องมากเกินไป กังวลว่าตัวเองจะไม่สามารถหางานได้ ไม่สามารถหาเงินได้ หรือ
เคยไหม ? ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าเหมือนยังไม่ตื่น เกิดอาการสะลึมสะลือ คิดอะไรไม่ค่อยออก แถมยังรู้สึกควบคุมตัวเองได้ไม่เต็มที่ตลอดวัน ถ้าใครกำลังเป็น อาจกำลังตกอยู่ในภาวะสมองเหนื่อยล้า (Brain Fog) ก็เป็นได้ ซึ่งอาการนี้เกิดขึ้นได้จากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ ทำให้เกิดผลเสียต่อการใช้ชีวิตของเรา UNLOCKMEN เลยจะมาอธิบายสาเหตุที่ทำให้เราเกิดอาการ Brain Fog และวิธีการป้องกันและบรรเทาอาการ Brain Fog ด้วย เพื่อให้คนอ่านรอดพ้นจากอาการ Brain Fog กันถ้วนหน้า WHAT IS BRAIN FOG SYNDROME ? Brain Fog Syndrome คือ อาการเหนื่อยล้าทางจิตใจที่สามารถเกิดขึ้นจากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ โดยสารเคมีในสมองที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลสัญญาณไฟฟ้าระหว่างเซลล์เกิดอาการเสียสมดุล สมองของเราเลยทำงานได้แย่ลง และเราเกิดปัญหาในการใช้ชีวิตต่าง ๆ เช่น ไม่สามารถคิด หรือ นึกอะไรไม่ค่อยออก เกิดความสับสนมึนงง ไม่สามารถโฟกัสกับชีวิตประจำวัน และพูดในสิ่งที่คิดได้ยากขึ้น อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ผลของการขาดน้ำ ผลของความเครียด ผลของการพักผ่อนไม่เพียงพอ ผลของการขาดวิตามิน B-12 ผลข้างเคียงจากการทานยาบางชนิด
หลายคนคงคิดว่า เมื่อเราเป็นเจ้าของชีวิต เราก็น่าจะควบคุมการตัดสินใจของตัวเองได้เสมอ แต่ในความเป็นจริง มนุษย์มีระบบการตอบสนองแบบอัตโนมัติอยู่ หรือที่เรียกกันว่าโหมด autopilot เมื่ออยู่ในโหมดนี้เราจะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ โดยใช้ความเคยชิน และคิดน้อยลง การใช้โหมดนี้อาจจะดีเมื่อเราทำเรื่องที่เป็นรูทีน เช่น การขับรถ หรือ กินข้าว เพราะช่วยประหยัดพลังงานสมอง แต่เมื่อเจอกับเรื่องที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น การแต่งงาน การแก้ปัญหาในที่ทำงาน โหมดนี้อาจส่งผลให้เราตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นได้แย่ลงได้ เราเลยอยากมาแนะนำวิธีการออกจากโหมด autopilot เพื่อให้เราสามารถควบคุมชีวิตตัวเอง และตัดสินใจเรื่องยาก ๆ ได้ดีขึ้น โหมด AUTOPILOT ทำงานยังไง ? ว่ากันว่า โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือ autopilot ของเราเกี่ยวข้องกับโครงข่ายของสมองที่เรียกว่า Default Brain Network (DMN) ซึ่งจะทำงานในเวลาที่เราไม่โฟกัสกับโลกภายนอก หรือ กำลังใจลอยอยู่ โดยโครงข่ายนี้จะเกี่ยวข้องกับสมอง 3 ส่วน ได้แก่ Posterior cingulate cortex (PCC) และ precuneus ที่อยู่ในสมองกลีบข้าง
ช่วงนี้เราเห็นหลายคนบ่นว่า เวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน เดือนมกราคมยาวนานเหมือนใช้ชีวิตมาได้ครึ่งปีแล้ว บางคนดูจะซัฟเฟอร์กับเรื่องนี้กันด้วย บทความนี้ เราอยากจะมาแนะนำวิธีการที่จะช่วยให้เวลาชีวิตของเราเร็วขึ้น เพื่อให้ทุกคนไม่ต้องเป็นทุกข์กับเวลาที่ยาวนานอีกต่อไป !! ทำไมเราถึงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้า ? หลายคนคงสงสัยว่าทำไมบางครั้งถึงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้า บางครั้งถึงรู้สึกเวลาผ่านไปเร็ว บางคนอาจเดาว่าน่าจะเป็นเพราะปัจจัยภายนอก เช่น เวลาในการทำงานที่ยาวนาน จำนวนงานที่เยอะ หรือ ปัญหาด้านสภาพแวดล้อม แต่ในความเป็นจริงแล้ว งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า มันอาจเป็นเรื่องของปัจจัยภายในมากกว่าที่ส่งผลกระทบต่อการรับรู้เวลาของเรา โดยปัจจัยเหล่านี้ทำให้เรารับรู้ความเร็วและความช้าของเวลาต่างกันออกไป ได้แก่ นิสัยของแต่ละคน – เราอาจรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก ถ้าเราเป็นคนประเภทที่ไม่มีความอดทน หุนหันพลันแล่น และโกรธเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการทันที งานวิจัยของ ดร.มาร์ค วิตแมน (Dr.Marc Wittmann) นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน ได้บังคับให้ผู้เข้าร่วมการทดลองนั่งในห้องโดยที่ไม่ทำอะไรเป็นเวลา 7 นาทีครึ่ง และพบว่าผู้เข้าร่วมการทดลองแต่ละคนจะรู้สึกเวลาผ่านไปไม่เท่ากัน บางคนบอกว่าเวลาผ่านไปแค่ 2 นาทีครึ่ง ในขณะที่ คนที่หุนหันพลันแล่นมากที่สุดจะรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไป 20 นาที สมอง – เวลาเราไม่มีอะไรทำ เกิดอาการเบื่อ และอยู่กับตัวเองมาก ๆ เราอาจรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามากขึ้น โดยการทดลองหนึ่งที่ทำโดย ดร.วิตแมน
เมื่อเทคโนโลยีทำให้เราสามารถทำงานนอกออฟฟิศได้ง่ายขึ้น เราสามารถทำงานได้จากทุกที ไม่ว่าจะเป็น บ้าน ร้านอาหาร หรือ ร้านกาแฟ สิ่งที่ตามมา คือ เราอาจเกิดความสับสนระหว่างเวลาในการใช้ชีวิต และนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ เช่น ความเครียด ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน จนสุดท้ายราอาจเจอกับความล้มเหลวทั้งในเรื่อง Work และเรื่อง Life บทความนี้ UNLOCKMEN อยากให้ทุกคนรู้จักวิธีการกำหนด work-life boundaries หรือ ขอบเขตระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงาน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถบริหารเวลาได้ดีขึ้น และเป็นผู้ชนะทั้งการใช้ชีวิตและการทำงาน WORK-LIFE BOUNDARIES คืออะไร ? ถ้าจะสรุปคอนเซ็ปท์ของ work-life boundaries ให้เข้าใจง่ายที่สุด มันคือการที่เราไม่เอาเวลาทำงานมาทำเรื่องส่วนตัว และไม่เอาเวลาทำเรื่องส่วนตัวมาทำงาน ซึ่งการกำหนด work-life boundaries ที่ชัดเจนก็มีงานวิจัยยืนยันด้วยว่า ส่งผลดีต่อการทำงานเหมือนกัน เช่น งานวิจัยของ เอลเลน เอินส์ท คอสเสก (Ellen Ernst Kossek) จากมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเพอร์ดู พบว่า การบริหาร work-life
หลังจากที่ทั่วโลกเกิดปัญหาโควิดขึ้นมา หลายคนคงเกิดอาการกลัวการออกจากบ้านพอสมควร เพราะตอนนี้มันยังไม่มีวิธีการใดที่สามารถป้องกันการติดโรค COVID-19 ได้แบบ 100% แถมยังการันตีไม่ได้ด้วยว่าวัคซีนจะช่วยทำให้เราปลอดภัยได้จริง เมื่อคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าตัวเองสามารถติดโรคได้ตลอดเวลา และไม่สามารถคาดเดาได้ว่าปัญหานี้จะจบลงเมื่อไหร่ ความเครียด ความกังวล ความหวาดระแวงโรคระบาด ก็มารังควานพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข บางคนอาจได้รับผลกระทบร้ายแรง จนถึงขั้นเป็นโรคกลัวไวรัสโคโรนา (coronaphobia) ซึ่งเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตพอสมควร เราเลยอยากมาแนะนำวิธีรับมือกับอาการกลัวไวรัสโคโรนา เพื่อให้พวกเรากลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกครั้ง แบบไหนถึงเรียกว่าเป็น coronaphobia ? ความกลัวไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เพราะบางครั้งมันก็ช่วยให้เราระมัดระวังตัว และเตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดอย่างดีที่สุด แต่ถ้าความกลัวมีมากเกินไป จนเกิดเป็นโรคกลัวไวรัสโคโรนา (coronaphobia) ขึ้นมา มันก็อาจทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างแย่ลงได้ ลองเช็คตัวเองดูว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ กลัวติดเชื้อ COVID-19 เกินเหตุ ปกป้องตัวเองอย่างหนาแน่น แม้ในเวลาทำกิจกรรมที่รักษาระยะห่างทางสังคมได้ง่าย เช่น สวมถุงมือและหน้ากากในระหว่างการออกกำลังกายในสวนสาธารณะ อยู่ในสภาวะกลัวและกังวลอย่างหนักเป็นเวลานานหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือน หลีกเลี่ยงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น สถานที่ คน กิจกรรม แม้จะได้รับการยืนยันแล้วว่ามีความปลอดภัย เสียเวลาชีวิตไปกับการตรวจหาสัญญาณหรืออาการของโรคระบาด รวมถึง การหาข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสบนโลกออนไลน์ หมกมุ่นกับการล้าง การทำความสะอาด และการฆ่าเชื้อสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว รวมถึง
เวลาเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้เราตรึงเครียดมาก ๆ เรามักจะทำผลงานได้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะเราเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านั้นด้วยความเครียด ความกังวล หรือ ความกลัว และเรายังถูกกระตุ้นให้รีบคิด รีบแก้ปัญหา จนสุดท้ายงานก็อาจเสร็จแบบไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้ ถ้าเจอกับสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกแบบนั้นบ่อย ๆ เราก็อาจเหนื่อยล้าและจิตใจพุพังได้เหมือนกัน UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำมีวิธีการ self-regulate ตัวเอง เพื่อให้เรารับมือกับสถานการณ์ที่ไม่น่าสบายใจได้เป็นอย่างดีที่สุด เกิดอะไรขึ้นเมื่อเราเจอกับสถานการณ์ที่มีความตึงเครียดสูง ? เวลาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ทำให้เราเกิดความเครียดอย่างหนัก เช่น ก่อนเวลาพรีเซนต์งาน หรือ เดินเล่นอยู่แล้วเจอหมาวิ่งไล่กัด ร่างกายเรามักเกิดการตอบสนองทางจิตวิทยาที่เรียกว่า fight-or-flight response (การตอบสนองแบบสู้-หรือ-ถอย) หรือมีอีกชื่อหนึ่ง คือ acute stress response ร่างกายของเราจะหลั่งฮอร์โมนออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราเตรียมพร้อมสำหรับการอยู่และสู้กับปัญหาต่อไป หรือ จะหนีไปยังพื้นที่ปลอดภัย การหลั่งฮอร์โมนทำให้ระบบประสาทซิมพาเทติกถูกกระตุ้น และมันจะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมนกลุ่มแคททีโคลามีน (catecholamines) เช่น อะดรีนาลีน หรือ นอร์อะดรีนาลีน ออกมาอีกที ส่งผลให้หัวใจของเราเต้นแรงขึ้น ความดันเลือดสูงขึ้น และหายใจถี่ขึ้น ดังนั้น เวลาเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด เราเลยแพนิคได้ง่ายพอสมควร และหลังจากสิ่งที่ทำให้เราตรึงเครียดหายไปแล้ว ว่ากันว่า