เคยเป็นรึเปล่า ? ไม่ว่าจะ นอนน้อย นอนปกติ นอนมาก เราก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้า ยังง่วงเหงาหาวนอนเหมือนเดิม อาการนี้อาจเกิดขึ้นจากภาวะที่เรียกว่า Social Jetlag ซึ่งเกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมการนอนไม่เป็นเวลา Social Jetlag คือ อาการที่เกิดขึ้นจากการมีช่วงเวลานอนที่แตกต่างกันจำนวน 2 เวลาขึ้นไป เช่น เข้านอนสายตื่นสายในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ตื่นเช้านอนหัวค่ำในวันปกติ เป็นต้น ซึ่งพวกเราแต่ละคนจะได้รับผลกระทบจาก Social Jetlag แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ Chronotype หรือเส้นเวลาชีวิตของแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่น คนที่มักนอนดึก และไม่ตื่นจนกระทั่งเวลา 10 – 11 โมงเช้า หรือ ที่เรียกกันว่า กลุ่มนกฮูก (Owls) จะ Social Jetlag บ่อยกว่า คนที่นอนเร็วตื่นเช้า หรือ กลุ่มนกจาบฝน (Larks) Social Jetlag ถือเป็นภาวะที่ส่งผลเสียต่อเราหลายอย่าง ไม่ว่าจะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ไม่มีแรง แถมยังทำให้เรามีโอกาสเป็นโรคต่าง
เคยต้องแก้โจทย์ที่มีความขัดแย้งกันไหม ? เช่น ต้องให้บริการสุขภาพที่ดีที่สุดในราคาที่ถูกที่สุด หรือ ต้องทำงานศิลปะที่ทีความหมายมากที่สุดและหารายได้ได้มากที่สุด เป็นต้น หลายงานวิจัยได้ชี้ว่า ปัญหาประเภทนี้อาจทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นกว่าปกติ งานวิจัยเผยการคิดขัดแย้งอาจช่วยให้เรามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1996 อัลเบิร์ต โรเธนเบิร์ก (Albert Rothenberg) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้สัมภาษณ์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลจำนวน 22 คน ควบคู่กับการวิเคราะห์ภูมิหลังของเหล่านักวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงโลกที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เพื่อนำข้อมูลมาทำเป็นงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งผลการวิจัยของ โรเธนเบิร์ก พบว่า นักคิดที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกได้เสียเวลาจำนวนมากไปกับการสร้าง ‘ความคิดคู่ตรงข้าม’ หรือ ‘สิ่งที่ตรงกันข้ามกัน’ ยกตัวอย่างเช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ก็เคยครุ่นคิดหาคำตอบว่า วัตถุจะสามารถเคลื่อนที่และหยุดนิ่งไปพร้อม ๆ กันขึ้นอยู่กับผู้สังเกตได้อย่างไร จนเป็นที่มาของทฤษฎีสัมพันธภาพ (Relativity Theory) อันโด่งดังของเขา โรเธนเบิร์ก ยังพบอีกว่า แม้แต่นักเขียนมากรางวัลก็มักมีบ่อเกิดความคิดสร้างสรรค์จากการครุ่นคิดถึงไอเดียที่ไม่มีความสอดคล้องกัน ยกตัวอย่างเช่น บทละครเรื่อง The Iceman Cometh ของ ยูจีน โอนิล (Eugene O’Neill)
ว่ากันว่า คนเรามีอิสระในการคิด และสามารถควบคุมการกระทำของตัวเองได้ แต่งานวิจัยบอกว่า เมื่อเราถูกบีบบังคับ เราอาจจะไม่ได้มีอิสระในการคิดเหมือนที่ใครหลายคนกล่าวไว้ เพราะการเชื่อฟังคำสั่งทำให้สมองส่วน ‘เห็นอกเห็นใจ’ และ ‘ความรู้สึกผิด’ ทำงานน้อยลง ส่งผลให้เกิดการตัดสินใจที่ทำร้ายคนอื่นได้ง่ายขึ้น งานวิจัยเผยเชื่อฟังคนอื่นอาจทำให้เราเห็นอกเห็นใจคนอื่นน้อยลง กลุ่มนักวิจัยจากสถาบันประสาทวิทยาศาสตร์เนเธอร์แลนด์ (Netherlands Institute for Neuroscience) ได้ทำงานวิจัยชิ้นหนึ่ง เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเชื่อฟังคำสั่งกับความสามารถในการเห็นอกเห็นใจคนอื่น และพบว่า การเชื่อฟังคำสั่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเห็นอกเห็นใจ รวมถึงความรู้สึกผิด คนที่เชื่อฟังคำสั่งคนอื่นจึงทำในสิ่งที่ผิดใส่คนอื่นได้ง่ายขึ้น งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร NeuroImage ศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 40 คน โดยแต่ละคนจะสวมบทบาทเป็น ’ตัวแทน’ และ ’เหยื่อ’ พร้อมจับคู่กัน ซึ่งตัวแทนแต่ละคนจะมีอำนาจในการกดปุ่ม 2 ปุ่ม ได้แก่ ปุ่มที่ส่งกระแสไฟฟ้าไปสร้างความเจ็บปวดให้เหยื่อ ซึ่งแต่ละครั้งที่กดปุ่มนี้จะได้รับเงิน 5 เซนต์ด้วย ส่วนอีกปุ่มหนึ่งกดแล้วจะไม่ส่งกระแสไฟฟ้า และไม่ได้รับเงิน ตลอดการทดลองทั้งหมด 60 ครั้ง จะมีทั้งกรณีที่ตัวแทนมีอิสระในการเลือกว่าจะส่งหรือไม่ส่งกระแสไฟฟ้าไปหาเหยื่อ และกรณีที่ตัวแทนได้รับคำสั่งจากนักวิจัยให้กดปุ่ม โดยในการทดลองแต่ละครั้ง นักวิจัยจะเก็บข้อมูลการทำงานของสมองของตัวแทนด้วยเครื่องสแกน MRI ด้วย การทดลองให้ผลออกมาว่า ตัวแทนจะส่งกระแสไฟฟ้าไปหาเหยื่อมากขึ้น
ฟ้าครึ้ม ๆ ลมเย็น ๆ อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกว่า ฤดูหนาว ช่างเป็นฤดูที่โรแมนติกและน่าผ่อนคลายเสียเหลือเกิน แต่สำหรับบางคน ฤดูหนาวอาจเป็นช่วงเวลาของความเหงา ความเศร้า และการจมอยู่กับความทุกข์ หรือที่เราเรียกกันว่า ซึมเศร้าฤดูหนาว (winter blues) ซึ่งเกิดขึ้นได้จาก ปัญหาทางด้านสุขภาพจิต บทความนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาไปรู้จักกับภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล หรือ seasonal affective disorder (SAD) เพื่อให้ทุกคนรู้เท่าทัน และรับมือกับมันได้ดีขึ้น WHAT IS SAD ? seasonal affective disorder (SAD) คือ ภาวซึมเศร้าประเภทหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ภาวะนี้มักเกิดขึ้นเป็นวงจร คือ เริ่มต้นและจบลงในเวลาเดียวกันของทุกปี อาการ SAD มักแสดงออกมาอย่างชัดเจนในช่วงฤดูหนาว บางครั้งมันเลยถูกเรียกว่าเป็น ซึมเศร้าฤดูหนาว (winter depression) แต่ก็มีบ้างที่มีอาการในช่วงฤดูร้อน และดีขึ้นในช่วงฤดูหนาว แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า SAD เกิดขึ้นจากสาเหตุใดอย่างชัดเจน แต่ว่ากันว่าอาจเกิดขึ้นได้จากการรับแสงที่เปลี่ยนไป เช่น
การแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และ โจ ไบเดน (Joe Biden) ถือเป็นอีเวนท์หนึ่งที่ใครหลายคนรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ คนไทยเองยังลุ้นกันเหงื่อตกว่าใครจะเป็นผู้ชนะและได้เป็นประธานาธิบดี UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จัก โจ ไบเดน ในฐานะชายผู้ให้ความสำคัญกับการประนีประนอมเป็นอย่างมาก ชีวิตของ โจ ไบเดน ได้เริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ.1962 เขาเกิดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมือง Scranton รัฐ Pennsylvania ของสหรัฐฯ และเติบโตในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก พร้อม น้องสาว และน้องชายอีก 2 คน พ่อของเขาทำงานในธุรกิจผลิตสารกันรั่วสำหรับเรือการค้า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ช่วงปี ค.ศ.1950 ครอบครัวของเขาก็ประสบกับปัญหาทางด้านการเงิน โดยในปี ค.ศ.1953 ไบเดน และครอบครัวต้องใช้ชีวิตอยู่ในอพารท์เมนของญาติฝั่งแม่ ในเมือง Claymont รัฐ Delaware อยู่หลายปี ก่อนจะได้ย้ายไปอยู่ในบ้านที่เมือง Wilmington รัฐ Delaware
รู้สึกไหม เวลาเดินเข้าเซเว่นด้วยความหิว มักจะกลับออกมาด้วยของกินที่มากกว่าปกติเสมอ เรื่องนี้อาจอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งบอกเราว่า ความหิวส่งผลเสียต่อการตัดสินใจของเราอย่างมาก งานวิจัยชิ้นหนึ่ง (2019) จากมหาวิทยาลัยดันดี ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความหิวและการตัดสิน ผ่านการสอบถามผู้เข้าร่วมการทดลองทั้ง 50 คน ด้วยคำถามที่ว่าพวกเขาจะรับรางวัลที่สมมติขึ้นมา (ได้แก่ อาหาร เงิน ดนตรี) ในทันที หรือ จะรอรับรางวัลในจำนวนที่มากขึ้นในอนาคต ทีมวิจัยได้ถามผู้เข้าร่วมการทดลองทั้งหมด 2 ครั้ง ได้แก่ ตอนที่ผู้เข้าร่วมการทดลองทานอาหารเป็นปกติ (อิ่ม) และตอนที่พวกเขาไม่ได้ทานอะไรเลย (หิว) และพบว่า ความหิวส่งผลให้เรามีความอดทนน้อยลง และตัดสินใจได้แย่ขึ้น โดย คนกินอิ่มสามารถรอรับอาหารปริมาณมากขึ้นได้นานถึง 35 วัน ขณะที่คนหิวรอได้เพียง 3 วัน และถ้าของรางวัลเป็นเงิน คนอิ่มรอได้ 90 วัน แต่คนหิวรอได้เพียง 40 วัน ส่วนดนตรี คนอิ่มรอได้ราว 40 วัน แต่คนหิวรอได้เพียง 12 วัน ถ้าถามว่าความอดทนที่มีน้อยลงส่งผลเสียอย่างไรบ้าง? เรื่องนี้อธิบายได้หลายเหตุผล
ทุกวันนี้เวลาเราออกจากบ้าน มองซ้ายมองขวา เราก็เจอกับคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากเราได้ง่ายๆ เพราะสังคมเราเต็มไปด้วยคนหลากหลาย และความคิดเห็นที่หลากหลายก็เริ่มแพร่กระจายจากการมี social media แต่การมีความคิดเห็นที่แตกต่าง มักนำมาซึ่งความขัดแย้งในสังคมของเราเสมอ เห็นได้จากข่าวสารบ้านเมืองตอนนี้ที่ยังไม่มีความสงบเรียบร้อย UNLOCKMEN เห็นถึงความสำคัญของการแสดงความคิดเห็น จึงอยากมาแนะนำหลักที่ทุกคนควรมีเวลาจะแสดงความเห็นต่างในเรื่องอะไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความคิดเห็นที่มีประสิทธิภาพ และป้องกันความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างสามารถทำให้เกิดไอเดียดีๆ ได้มากกว่าการคล้อยตามกับคนอื่นไปซะทุกเรื่อง Charlan Nemeth นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และทีมวิจัย ได้ทำการศึกษาการไม่เห็นด้วยในการประชุมระดมสมอง ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ การระดมสมองแบบดั่งเดิมมีกฎ เช่น “ห้ามวิจารณ์” ไอเดียของคนอื่น การระดมสมองแบบที่กระตุ้นให้คนถกเถียงและวิจารณ์ และกลุ่มสุดท้ายจะเป็นกลุ่มควบคุม ผลการทดลองพบว่า หากไม่มีกฎ “ห้ามวิจารณ์” แล้ว กลุ่มที่ระดมสมองกันจะผลิตไอเดียออกมาได้มากขึ้น แสดงให้เห็นว่า การถกเถียง และการวิจารณ์ มีความสำคัญในเวลาที่ต้องมีการระดมสมองกัน แต่การแสดงความคิดเห็นใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เรามักจะไม่สบายใจที่จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากคนอื่น เพราะมันอาจทำให้เราถูกมองว่าเป็นศัตรู หรือ โดนแบนจากกลุ่มได้ งานวิจัยชิ้นหนึ่งทำโดย Garold Stasser และ William Titus จากสาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยไมอามี่ และมหาวิทยาลัยอาร์คันซอ
คนทำงานอย่างเราต้องมีบ้างที่เคยทำงานพลาด เช่น ทำเอกสารไม่ครบถ้วน มาไม่ทันเวลานัด เขียนผิด ส่งของผิดบ้าน ฯลฯ แต่ถ้าทำผิดพลาดเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับการทำงานสักเท่าไหร่ เพราะจะทำให้เสียการเสียงานเอาได้ แถมการโดนตำหนิบ่อยๆ อาจทำให้เราเสียกำลังใจในการทำงานได้ด้วย ถ้าคุณกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาทำผิดซ้ำซากในที่ทำงาน UNLOCKMEN อยากให้คุณอ่านบทความนี้ เพราะเราจะมาเล่าให้ฟังว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้เราทำผิดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ และจะแก้ไขอย่างไรดี ไม่พยายามแก้ปัญหาจนสำเร็จ หลายคนเวลาทำอะไรผิดพลาด อาจปล่อยผ่าน เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกช้ำใจจากปัญหา พร้อมๆ กับ คิดว่าตัวเองคงได้เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และความผิดพลาดแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นอีก แต่การทำแบบนี้อาจส่งผลเสีย และทำให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำได้ เพราะงานวิจัยบอกว่า สมองของเราอาจไม่ได้เรียนรู้จากความ ‘ล้มเหลว’ แต่เรียนรู้จาก ‘ความสำเร็จ’ มากกว่า งานวิจัยจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) ได้ทำการทดลองกับลิง และพบว่า หลังจากที่ลิงประสบความสำเร็จในการทำอะไรบางอย่าง สัญญาณประสาทของมันจะทำงานจนกว่าจะเกิดการกระทำใหม่ ในขณะที่ หากมันทำผิดพลาด ระบบประสาทของมันจะไม่ค่อยทำงาน แถมไม่มีพัฒนาการในการกระทำครั้งต่อไปด้วย อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นงานวิจัยในลิง แต่ทีมวิจัยก็บอกว่า สมองของคนและสัตว์มีฟังก์ชั่นนี้เหมือนกัน ดังนั้น มันจึงมีโอกาสสูงที่ปรากฎการณ์เดียวกันจะเกิดขึ้นในสมองของมนุษย์ ผลการวิจัยจึงชี้ว่า
เคยรู้สึกว่าตัวเองกลัวจนไม่กล้าการทำอะไรใหม่ๆ บ้างไหม ? เวลาจะได้เลื่อนขั้นเราจะรู้สึกไม่สบายใจทุกทีรึเปล่า ? บางทีเราอาจกำลังเจอกับปมของโยนาห์ (Jonah Complex) อยู่ก็ได้นะ ซึ่งเป็นภาวะที่นอกจากจะทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จแล้ว ยังทำให้ชีวิตเราหยุดนิ่งด้วย ในบทความนี้ UNLOCKMEN เลยอยากอธิบายถึงพิษภัยของความกลัวการประสบความสำเร็จ พร้อมแนะนำวิธีการรับมือกับมัน เพื่อให้ทุกคนเลิกกลัว เริ่มทำอะไรที่อยากทำ และพร้อมฝ่าฟันทุกความยากลำบาก! Jonah Complex ภาวะที่เราไม่อยากประสบความสำเร็จเพราะความกลัว ‘Jonah Complex’ เป็นคำที่นิยามโดย Abraham Maslow นักจิตวิทยาชาวอเมริกันผู้คิดค้นทฤษฏีจิตวิทยาชื่อดัง การประจักษ์ตัวเอง (Self-Actualization) ซึ่งชื่อ ‘Jonah Complex’ มาจากเรื่องราวของ Jonah ที่อยู่ในพระคัมภีร์เก่า (The Old testament) ที่เล่าถึงชายผู้หนึ่งชื่อ Jonah ผู้ได้รับมอบหมายให้เผยแพร่หลักคำสอนของพระเจ้า แต่พยายามหนีจากชะตากรรมของตัวเอง เพราะความกลัว Jonah เป็นผู้ชายปกติที่วันหนึ่งเขาได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้ไปสั่งสอนคนที่อาศัยอยู่บนเกาะนีนะเวห์ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขาช็อคพอสมควร เพราะตัว Jonah เองเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ และไม่กล้าพอที่จะลงมือทำมัน แถมเขายังรู้ว่าชาวนีนะเวห์มีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดีด้วย การเดินทางไปสั่งสอนชาวนีนะเวห์ จึงอาจจะเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับเขา เขาเลยตัดสินใจพยายามที่จะหนี แต่ทว่า
ในการทำงาน สิ่งหนึ่งที่เราเห็นว่าสำคัญมากเลย คือ สังคม เพราะถ้าเราสามารถเข้ากับคนในที่ทำงานได้ดี ความสุขในการทำงานมันก็จะมีมากขึ้น และทำงานได้นานขึ้นด้วย Annie McKee ผู้เขียนหนังสือ “How To Be Happy At Work” เคยกล่าวไว้ว่า วิธีการหนึ่งที่ช่วยสร้างความสุข และทำให้รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จมากขึ้นในการทำงาน คือ การสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับคนที่ทำงานกับเรา ทำงานเพื่อเรา และหัวหน้าของเรา ซึ่งคำกล่าวนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของ Harvard Study of Adult Development ที่ได้ตามติดชีวิตของผู้ชาย 724 คนเป็นเวลาเกือบ 80 ปี เพื่อค้นหาความลับที่ทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จ มีความสุข และมีชีวิตที่ดี จากการสอบถามและศึกษาผู้เข้าร่วมการทดลอง นักวิจัย พบว่า ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต เกี่ยวข้องกับ การมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนในครอบครัว เพื่อน และสังคม มากกว่าปัจจัยอื่นๆ เช่น ชื่อเสียง ความร่ำรวย ระดับชั้นทางสังคม ฯลฯ อีกทั้งความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพยังส่งผลดีต่อ สุขภาพ ความสุข และคุณภาพชีวิตของเรา
โอ๊ย! เครียดจัง! อยากทำงานให้เสร็จไวๆ แต่ดันคิดไอเดียไม่ออกสักที เราเชื่อว่าหลายคนที่ทำงานสร้างสรรค์คงเคยเจอปัญหานี้ และกลัวมันมาก เพราะมันเป็นปัญหาที่ทำให้งานไม่คืบหน้า แถมอาจทำให้เราคิดจนเครียดได้ด้วย ในบทความนี้ UNLOCKMEN อยากช่วยเหลือทุกคนที่คิดงานไม่ออก ให้เจอทางมากขึ้น เลยจะแนะนำให้รู้จักกับสิ่งที่ทำให้เราไม่มีความคิดสร้างสรรค์ พร้อมวิธีการรับมือกับมัน ความคิดสร้างสรรค์มาจากไหน ? วิทยาศาสตร์พยายามศึกษาวิธีการทำงานของความคิดสร้างสรรค์ในสมองของเรามาตลอด ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เริ่มมีความกระจ่างมากขึ้นแล้วว่า ความคิดสร้างสรรค์ อาจเกี่ยวข้องกับการทำงานของเครือข่ายในสมอง โดย ผู้เชี่ยวชาญ ได้สร้างทฤษฎีที่กล่าวว่า สมองของเราประกอบไปด้วย 3 เครือข่าย ได้แก่ เครือข่ายปกติ (default network) หมายถึง ช่วงที่สมองอยู่ในสภาวะเฉื่อยชา เครือข่ายบริหาร (executive network) คือ ศูนย์ควบคุมการตัดสินใจและอารมณ์ และสุดท้าย เครือข่ายเด่น (salience network) ที่กำหนดว่าสิ่งใดที่เราควรจะสังเกตเห็นอยู่เสมอ และสิ่งใดไม่ควร ซึ่งความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นมาจากการทำงานร่วมกันของ 3 เครือข่าย ทฤษฎีนี้ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยชิ้นหนึ่ง (2018) ซึ่งใช้เทคโนโลยี Magnetic Resonance Imaging (MRI) เพื่อวัดระดับความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าร่วมการทดลอง
เวลาเราย้ายงาน หรือ เข้าทำงานในที่ใหม่ สิ่งที่มักเกิดขึ้นเสมอ คือ Culture Shock เพราะเรามักไม่รู้ว่า สถานที่ทำงานใหม่ของเราจะเป็นอย่างไร 100% เราเลยมักเจอกับสิ่งที่ไม่คาดฝันในที่ทำงานใหม่ได้เสมอ และด้วยเหตุนี้เองที่ใครหลายคนรู้สึกท้อหลังจากทำงานไปได้ไม่กี่เดือน UNLOCKMEN เลยอยากแนะนำวิธีการรับมือกับ Culture Shock ในที่ทำงาน เพื่อให้ทุกคนสามารถปรับตัวในที่ทำงานใหม่ได้เป็นอย่างดี และมีความสุขกับการทำงานไปนานๆ Culture shock คือ ความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นจากการต้องเผชิญหน้ากับวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย มักเกิดขึ้นในช่วงที่มีการเปลี่ยนสถานที่ทำงานใหม่ หรือ ไปเรียนต่อต่างประเทศ อาจส่งผลให้เรามีปัญหาเรื่องการเข้าสังคม เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวแปลกแยก เกิดความเบื่อหน่าย และท้อแท้กับการทำงานได้ เรามักจะหลีกเลี่ยง Culture Shock ไม่ได้ และอาจใช้เวลานานหลายเดือนถึงปี กว่าจะก้าวข้ามมันไปได้ อ้างอิงจาก โมเดลโค้งตัวยู (U-curve model) ของ Sverre Lysgaard นักสังคมศาสตร์ ที่อธิบายถึงขั้นตอนในการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมใหม่ของมนุษย์ ได้แก่ Honeymoon stage – ในขั้นนี้ เรายังตื่นเต้นกับวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ อยู่ อาจเกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์แรกที่เราย้ายไปอยู่ต่างประเทศ