ผู้อ่านหลายคงเป็นแฟนทีมกีฬาฟุตบอลสักทีม ไม่ว่าจะเป็น chelsea liverpool ฯลฯ และคงเคยเชียร์ทีมที่ตัวเองชอบอย่างสุดใจเวลาชมการแข่งขันต่างๆ แต่รู้ไหมว่า การเชียร์กีฬาที่ลุ้นหนักๆ ก็อาจส่งผลเสียต่อหัวใจของเราได้เช่นกัน และงานวิจัยหลายชิ้นก็พบว่า การได้เห็นทีมที่ตัวเองเชียร์แพ้อาจทำให้เรามีความเสี่ยงต่อหัวใจวายมากขึ้น ในบทความนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการป้องกันตัวไม่ให้การเชียร์กีฬาทำร้ายหัวใจเรา เพื่อที่จเราจะได้ชมกีฬาที่เราชื่นชอบไปได้อีกนานๆ ทำไมเราถึงใจเสียเมื่อเห็นทีมฟุตบอลที่ตัวเองเชียร์เล่นแพ้ ? แม้การชมกีฬาจะเน้นความบันเทิงเป็นหลัก แต่ถ้าเราเป็นแฟนตัวยงของทีมฟุตบอลสักทีม และทีมนั้นเล่นแพ้ อารมณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นอาจส่งผลเสียต่อหัวใจของเราได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการรับรองจากงานวิจัยหลายชิ้น เช่นมหาวิทยาลัย Medical University of Bialystok ที่พบว่า ความเครียดและผลกระทบทางจิตใจที่เกิดจากการเห็นทีมฟุตบอลพ่ายแพ้ สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจได้ ผ่านการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลงานการเล่นของทีมฟุตบอล Jagiellonia Bialystok และการแอดมิทภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งทีมวิจัยได้สำรวจผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และได้รับการแอดมิทที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย Medical University of Bialystok จำนวน 10,529 คน ในระหว่างปี ค.ศ.2007 – 2018 ซึ่งผู้ป่วยทั้งหมดมีอายุเฉลี่ยราว 66 ปี และ 62% เป็นเพศชาย ในช่วงของการวิจัย ทีมฟุตบอล
การแบ่งเวลาไม่ดีสามารถส่งผลเสียให้เราได้หลายอย่าง เช่น ทำให้เราทำงานได้น้อยลง ช้าลง หรือ ใช้เวลาในการทำงานมากจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น เป็นต้น ดังนั้น ในยุคที่เรามีอะไรต้องทำอะไรหลายอย่าง จึงต้องมี Work life-balance และทักษะการบริหารเวลาที่ดีมีความสำคัญต่อชีวิตเรา ในบทความนี้ UNLOCKMEN เลยอยากแนะนำเทคนิคการบริหารเวลาแบบหนึ่งชื่อว่า Time blocking ซึ่งเป็นเทคนิคที่ผู้มีชื่อเสียงในระดับโลกใช้กัน เช่น Elon Musk เพื่อให้ทุกคนสามารถบริหารเวลาของตัวเองได้ดีขึ้น และมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้นตามมา Time Blocking คือ อะไร? Time blocking คือ เทคนิคการบริหารเวลาโดยการแบ่งวันในแต่ละสัปดาห์ออกเป็นส่วนย่อยๆ หรือ บล็อก สำหรับการทำงานที่เฉพาะเจาะจง มันเป็นเทคนิคที่มีความเก่าแก่พอๆ กับหลักฐานการใช้งานปฎิทินในยุคทองแดง (Bronze Age) ซึ่งในยุคนั้นมีการใช้ปฏิทินเพื่อกะเวลาในการทำเกษตรกรรม ไม่มีใครทราบว่า ผู้คิดค้น Time blocking คือใคร แต่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า คนแรกๆ ที่ใช้วิธีการนี้ในการบริหารเวลาชีวิต คือ Benjamin Franklin โดยเขาได้มีการแบ่งกิจกรรมต่างๆ ที่เขาจะทำในแต่ละชั่วโมงของวัน Time blocking จะเป็นวิธีการที่ให้ความสำคัญกับการทำอะไรทีละอย่าง
หลายคนอาจรู้สึกแปลก ๆ กับสิ่งที่เรียกว่าความเหงา เพราะบางครั้งต่อให้อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ก็ยังรู้สึกเหงาได้เหมือนกัน เราอยากบอกว่า ความจริงแล้วความเหงาเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ใช่แค่เพราะไม่มีเพื่อนเพียงอย่างเดียว มันยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ความเหงาเกิดขึ้นมาเหมือนกัน เช่น เราอาจกำลังมองหาความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ หรือ เราอาจจะยังไม่คุ้นชินกับที่ที่เราอยู่ หรือเราอาจมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ความเหงาก็เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตเราจริง ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยแล้ว และด้วยความปราถนาดีที่อยากเห็นทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี UNLOCKMEN เลยอยากอธิบายถึงพิษภัยของความเหงา และวิธีการรับมือกับมัน งานวิจัยเผยความเหงาทำให้ร่างกายอ่อนแอ! ว่ากันว่า ความเหงาทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ และมีอันตรายถึงชีวิต งานวิจัยชิ้นหนึ่งโดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Brigham Young University (2015) ได้ทำการตรวจสอบ (meta-review) งานวิจัย 70 ชิ้น และพบว่า ความเหงา (loneliness) เพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิต 26% เทียบกับซึมเศร้า และวิตกกังวลที่เพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิต 21% นอกจากนี้ยังมีนักวิจัยที่บอกว่า ความเหงาเป็นอันตรายต่อชีวิตเหมือนสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน และคนเหงามีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีถึง 50%! โดยสาเหตุที่คนเหงามีโอกาสเสียชีวิตสูง อาจเป็นเพราะพวกเขามีความอ่อนแอต่อโรคร้ายแรง เกิดจากความเหงาที่ส่งผลให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง
ในสังคมของเราเต็มไปด้วยผู้คนที่มีความหลากหลาย และแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น ค่านิยม ความเชื่อ วิถีชีวิต ฯลฯ ซึ่งความแตกต่างเหล่านี้เห็นได้อย่างชัดเจนในกลุ่มคนที่มีช่วงวัย หรือ generation ที่ต่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกวันนี้เราจะเห็นคนที่อยู่ในบ้านเดียวกันทะเลาะกัน เพราะมีความเห็นไม่ตรงกันบ่อยๆ ความแตกต่างของคนต่าง Generation กัน มักทำให้คนในสังคมเดียวกันไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน นำไปสู่ความขัดแย้ง และการทะเลาะเบาะแว้ง มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปจนมีการนิยามคำว่า The generation gap ขึ้นมาอธิบายมันเลยทีเดียว ในบทความ UNLOCKMEN เลยอยากพูดถึงวิธีการทำงานและใช้ชีวิตร่วมกับคนต่าง Generation เพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ลดการทะเลาะเบาะแว้ง และรับมือกับคนที่แตกต่างจากเราได้ดียิ่งขึ้น ทำไมคนต่างวัยกันถึงได้เหมือนอยู่กันคนละโลก ? ถ้าใครกำลังหนักใจและสงสัยว่าทำไมพ่อแม่ของเราคิดไม่เหมือนเรา? และไม่รู้จะแก้ไขยังไงดี เราอยากแนะนำว่า อย่าเพิ่งคิดหนีออกจากบ้าน หรือถ้ามีปัญหานี้กับหัวหน้าในที่ทำงาน ก็อย่าเพิ่งคิดจะเปลี่ยนงาน เพราะเราเชื่อว่าโอกาสที่เราจะเจอกับปัญหาแบบเดิมน่าจะยังมีสูงอยู่ ตราบใดที่เรายังต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในสังคมอยู่ดี เราจึงอยากให้ทุกคนเข้าใจปรากฎการณ์นี้และรับมือกับมันให้ได้อย่างถูกต้องมากกว่า คำว่าช่องว่างระหว่างยุคสมัย หรือ The generation gap เป็นคำที่นักสังคมวิทยาใช้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างคนยุคหนึ่งกับคนอีกยุคหนึ่ง เช่น พ่อแม่ กับ ลูก ในเรื่องของความเชื่อ แนวคิดทางการเมือง รวมถึง
เรารู้จักการโกหกกันมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เราอาจเคยโกหกพ่อแม่ เวลาทำข้าวของในบ้านเสียหาย เพราะกลัวโดนดุ พอโตขึ้นมาหน่วยเป็นวัยรุ่น เราอาจโกหกครูประจำชั้นว่ารอยช้ำบนหน้าเกิดจากการหกล้ม ไม่ได้ทะเลาะวิวาทกับใครมา พอเข้าวัยทำงาน เราอาจเคยโกหกเจ้านายว่าป่วย เพื่อขอโดดงาน กล่าวได้ว่าคนทุกเพศทุกวัยรู้จักการโกหก แต่การโกหกก็มีพร้อมราคาที่ต้องจ่ายอยู่เสมอ! UNLOCKMEN อยากอธิบายเรื่องนี้ผ่านหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นว่าการโกหกทำงานกับสมองของเราอย่างไร การโกหกคืออะไร ? แบบไหนถึง เรียกว่า การโกหก… การโกหก (lying) เป็นการหลอกลวงแบบหนึ่งที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน การโกหกรูปแบบหนึ่งเรียกว่า การโกหกทั้งหมด หรือ ‘lies of commission’ เป็นการพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงเลย เช่น โกหกพ่อแม่ว่าไปอ่านหนังสือ เพื่อจะได้ไปเที่ยวกลางคืน หรือ โกหกเจ้านายว่าป่วย เพื่อที่จะได้หยุดงาน เป็นต้น บางเคสการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว (half – truth) ก็ถือว่าเป็นการโกหกเหมือนกัน เช่น สมมติว่าเราจะซื้อรถมือ 2 แล้ว พนักงานขายรถบอกเราว่า รถยนต์คันนี้เพิ่งผ่านการใช้งานไม่นาน เจ้าของไปนอก สภาพเหมือนใหม่ แต่เขาไม่ได้บอกเราว่า รถคันนี้เคยจมน้ำหรือชนจนเสียหายยับเยิน เพราะอยากขายรถให้เราให้ได้ แบบนี้เป็นการโกหกประเภทที่เรียกว่า การโกหกด้วยการละเว้น หรือ
ราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สัน (Ralph Waldo Emerson) นักเขียน นักกวี และนักประพันธ์ชาวอเมริกัน เคยกล่าวไว้ว่า “ชีวิตคือการเดินทางไม่ใช่จุดหมาย” (life is a journey not a destination) ประโยคนี้อาจตีความได้ว่า สิ่งที่สำคัญในชีวิต ไม่ใช่การบรรลุเป้าหมายในชีวิต แต่เป็นสิ่งที่เราพบเจอในระหว่างที่กำลังจะไปถึงเป้าหมาย และนั่นรวมถึงอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น ความสุข ความทุกข์ ความเศร้า ฯลฯ หลายคนเวลาเจอกับเรื่องแย่ๆ และรู้สึกแย่ อาจพยายามคิดบวก เพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น การคิดบวกช่วยเราได้จริง แต่การคิดบวกมากเกินไปอาจนำมาซึ่งผลเสียมากกว่าผลดี วันนี้ Unlockmen เลยอยากจะพูดถึงเรื่อง Toxic Positivity ภาวะที่เราคิดบวกมากเกินไปจนเป็นพิษ ว่ามันมีผลเสียอย่างไรบ้าง พร้อมแนะนำวิธีการรับมือกับความรู้สึกด้านลบที่จะช่วยให้เราทุกข์ใจกับอารมณ์ลบน้อยลง ‘Toxic positivity’ เมื่อยิ่งคิดบวกแล้วความรู้สึกยิ่งลบ เวลาเจอเรื่องทุกข์ใจมา แล้วไปคุยเรื่องนี้กับใครสักคน เช่น พ่อแม่ เพื่อน ฯลฯ เราคงเคยได้ยินคำแนะนำประมาณว่า “ลองมองเรื่องนั้นในแง่ดีสิ อย่ามองแต่แง่ร้าย”
สำหรับใครหลายคน การเป็นโสดอาจให้ความรู้สึกเหมือน อยู่คนเดียว อยู่ลําพัง หว่าเว้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะรู้สึกแย่กับการเป็นโสด และต้องการใครสักคนมาอยู่เคียงข้างกัน แต่เราอยากบอกทุกคนว่า การเป็นโสดไม่ได้เท่ากับความโดดเดี่ยวเสมอไป และวิธีการเป็นโสดแบบได้อย่างไม่รู้สึกเหงาก็มีอยู่เหมือนกัน ซึ่งในบทความนี้ UNLOCKMEN จะอธิบายให้ฟังว่ามันต้องทำอย่างไรบ้าง เป็นโสดแล้วดียังไง ? แต่ก่อนจะพูดถึงวิธีการเป็นโสดอย่างมีคุณภาพ เราอยากพูดถึงประโยชน์ของการเป็นโสดก่อน อ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยและผู้เชี่ยวชาญ การเป็นโสดจะมีข้อดีที่แตกต่างจากคนที่มีแฟน หรือ แต่งงานแล้ว ดังนี้ 1. กังวลน้อยกว่าคนมีคู่ เราคงได้ยินกันบ่อยๆ ว่า การมีแฟนจะทำให้ทุกวันของเรากลายเป็นชมพู ซึ่งอาจไม่จริง เพราะความขัดแย้งเกิดขึ้นได้เสมอในความสัมพันธ์ ดังนั้นการเป็นโสดจึงอาจทำให้เรามีความสุขมากกว่ามีแฟนได้เหมือนกัน ซึ่งงานวิจัยบางชิ้น บอกว่า คนที่กลัวความขัดแย้งเวลามีความสัมพันธ์จะมีความสุขกับการเป็นโสดมากกว่าตอนมีแฟน บางชิ้นก็บอกว่า คนโสดเครียดน้อยกว่าคนที่มีความสัมพันธ์ เพราะพวกเขาทำงานบ้าน หรือกังวลเรื่องเงิน น้อยกว่าคนที่แต่งงานแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์บางคน ยังกล่าวไว้ว่า ความใกล้ชิดและการมีคู่มักทำให้สมองของเรา ‘รก’ อยู่เสมอโดยที่เราก็ไม่รู้ตัว เพราะผู้ที่อยู่ในความสัมพันธ์มักแสดงความกังวลต่อคู่ของตัวเองอยู่เสมอ ทำให้ความสามารถในการโฟกัสกับสิ่งต่างๆ น้อยลง และยังทำให้เกิดความเครียด ไม่มีความสุขในการชีวิตด้วย ดังนั้น การเป็นโสดจึงดีกว่า เพราะช่วยจัดการสมองที่รกเพราะความกังวล ให้มีพื้นที่สำหรับความคิดใหม่ๆ และความฝันใหม่ๆ ได้ 2. รักษาความสัมพันธ์กับคนรอบได้ดี
หลายคนใฝ่ฝันอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสังคมที่ตัวเองอยู่ องค์กรหรือบริษัทของตัวเอง แต่การเปลี่ยนแปลงหลายคนรู้ว่ามันมีอุปสรรค์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน หรือ ระบบต่างๆ วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาทุกคนไปดูกันว่า ผู้นำการเปลี่ยนแปลง (change leadership) ที่ดี คืออะไร และการเปลี่ยนแปลงที่ดี ควรประกอบไปด้วยอะไรบ้าง คุณสมบัติของผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลง ผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลง (change leadership) คือ ผู้นำที่มีความสามารถในการสื่อสารกับคนในองค์กร เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และลดผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงให้ได้มากที่สุด พวกเขาควรมีความสามารถในการอธิบายเหตุผลที่มีความน่าสนใจมากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ และยังต้องมีความสามารถในการเรียกร้องให้คนทั้งองค์กรลงมือทำในสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ อีกทั้งต้องมี แพสชั่น ความคงเส้นคงวา ความน่าเชื่อถือ และวิสัยทัศน์ อันเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความน่าเชื่อถือ พร้อมกับทักษะในการหาเสียงสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง และทำลายกำแพงของคนในองค์กรได้ พวกเขายังต้องทำให้คนในองค์กรต่อต้านการเปลี่ยนแปลงให้น้อยที่สุด และมีความสามารถในการสร้างหรือพัฒนาระบบและโครงสร้างองค์กรที่จำเป็นในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ป้องกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความพยายามในการเปลี่ยนแปลงได้ด้วย พวกเขาจะต้องรู้ว่าใครเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก (key stakeholders) พร้อมมีกลยุทธ์เพื่อให้ได้เสียงสนับสนุน เพื่อให้เป็นแรงผลักดันในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคนในองค์กร และทำให้เกิดการลงมือทำในสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อไป นอกจากนี้ พวกเขายังต้องสามารถจัดการกับทรัพยากรที่มีความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง มีความสามารถในการประยุกต์และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ดำเนินแผนการเปลี่ยนแปลงให้อยู่ในเวลาและต้นทุนที่กำหนด ภาวะผู้นำที่มีประสิทธิภาพจะช่วยองค์กรได้อย่างไรบ้าง ? การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ช่วยให้องค์กรสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่เราก็ต้องยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงองค์กรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะคนเรามักรู้สึกไม่สบายใจที่จะเปลี่ยนแปลง
เป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกไม่มั่นใจเวลาเจอกับสถานการณ์ที่เราไม่คุ้นชิน หรือว่าคนใหม่ๆ เพราะเรายังไม่แน่ใจว่าจะรับมืออย่างไรกับสิ่งเหล่านั้น จึงรู้สึกประหม่าเป็นธรรมดา แต่พอเวลาผ่านไป ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น เราก็จะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีขึ้น และมีความมั่นใจมากขึ้นตามมาเอง แต่สิ่งที่เรามองว่าไม่ปกติ คือ ความไม่มั่นใจที่มากเกินไป หรือ ความรู้สึกไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา เพราะภาวะแบบนี้ขัดขวางการใช้ชีวิตและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของเรา UNLOCKMEN มองเห็นถึงผลเสียที่เกิดจากการไม่มีความมั่นใจ และอยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอยากมีความสุข เลยอยากพูดถึงเรื่องพิษภัยของความไม่มั่นใจ พร้อมแนะนำ 5 วิธีที่ได้รับการรับรองจากวิทยาศาสตร์แล้วว่าช่วยให้ทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้นได้ เป็นคนไม่มีความมั่นใจ ส่งผลเสียอะไรบ้าง ? ความมั่นใจในตัวเองต่ำ หรือ ความเคารพตัวเองต่ำ (low self-esteem) ทำให้เราคิดแย่ๆ กับตัวเอง โดยคนที่มีภาวะ low self-esteem มักต้องต่อสู้กับความรู้สึกด้านลบที่มีต่อพวกเขาเอง ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกไร้ค่าไร้ความหมาย ไม่เป็นที่ต้องการ ไม่มีใครรัก และไร้ความสามารถ แถม พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะอ่อนไหวมากเกินไป (hypersensitive) ต่อโลกที่อยู่รอบตัวพวกเขาด้วย (อ้างอิงจากงานวิจัยของ Morris Rosenberg และ Timothy J. Owens) ซึ่งภาวะอ่อนไหวมากเกินไปนี้เองที่ส่งผลให้พวกเขาเป็นภาวะซึมเศร้าได้ง่าย เพราะเมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่คนอื่นมองว่าไม่มีอะไร พวกเขาอาจได้รับผลกระทบทางจิตใจมากกว่าคนอื่น พวกเขายังไวต่อการพัฒนาความผิดปกติทางอารมณ์
คนมีคู่เคยเคยรู้สึกไหมว่า “ทำไมการอยู่กับแฟนทำให้รู้สึกไม่สบายใจจัง?” รู้สึกเหมือนเราต้องเอาอกเอาใจเขาตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะทำตัวแย่แค่ไหน เราก็ต้องให้อภัยเขาอยู่เสมอ หากมีความรู้สึกประมาณนี้ อาจเป็นไปได้ว่า คุณกำลังติดนิสัย ‘codependency’ ซึ่งเป็นนิสัยแบบที่ไม่ได้ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์เลย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? เดี๋ยว UNLOCKMEN จะอธิบายให้ทุกคนฟัง อะไร คือ ‘codependency’ ก่อนอื่นเราอยากพูดถึงความหมายก่อน codependency หมายถึง บุคลิกภาพแบบที่พึ่งพาอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อตอบสนองความต้องการหรือคุณค่าของตัวเองมากเกินไป คนที่มีนิสัยแบบนี้มักจะตามใจคนอื่นมาก ถ้าเป็นในความสัมพันธ์แบบคู่รัก คือ คนที่มักตอบรับคำขอของอีกฝ่ายโดยไม่กล้าปฏิเสธ และมีความกังวลอย่างมากต่อการสูญเสียอีกฝ่าย codependency ยังมีอีกความหมาย คือ พฤติกรรมที่อนุญาตให้อีกฝ่ายมีพฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น ไม่รับผิดชอบ เสพติดสุรา ไม่ยอมทำงานทำการ เป็นต้น ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า codependency หมายถึง นิสัยที่ยอมอีกฝ่ายทุกอย่าง เนื่องจากโหยหาการยอมรับจากอีกฝ่ายอย่างหนัก และกังวลมากว่าอีกฝ่ายจะทอดทิ้งตนไปเมื่อขัดใจ ซึ่งเราอาจรับนิสัยนี้มาจากคนในครอบครัว โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีปัญหา (dysfunctional family) หรือ พ่อแม่ป่วยไข้ ซึ่งงานวิจัยระบุว่า มนุษย์เรียนรู้นิสัย codependency ผ่านการสังเกตและเลียนแบบพฤติกรรมสมาชิกในครอบครัว กล่าวคือ ถ้าเราอยู่ในครอบครัวที่เคร่งเรื่องระเบียบในบ้าน
ย้อนกลับไปสมัยเด็ก ๆ ตอนนั้นเราอาจมองว่าโลกนี้เปรียบเหมือนสนามเด็กเล่น ที่เราสามารถมีความสุขและทดลองทำอะไรใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา แต่พอกลับมาดูตอนนี้ เหมือนกับว่า “ยิ่งโต ยิ่งเจ็บ” เพราะเราต้องแบกรับความคาดหวังอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องความสัมพันธ์ ฐานะทางการเงิน หรือ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ฯลฯ และพอคาดหวังมาก แน่นอนว่าความทุกข์ที่เกิดจากความผิดหวังก็มากตามมาเหมือนกัน จนบางคนอาจสิ้นหวังไปเลยก็ได้ UNLOCKMEN เข้าใจว่าความสิ้นหวังเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ของผู้ใหญ่ทุกคน จึงอยากแนะนำวิธีการเอาชนะความสิ้นหวัง ให้ทุกคนสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุข และมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นกันถ้วนหน้าได้ แต่ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องความสิ้นหวังสักเล็กน้อยก่อนเข้าเรื่อง… ว่าด้วยเรื่องอาการสิ้นหวัง (hopelessness) เมื่อเราเจอกับเรื่องที่น่าผิดหวังซ้ำๆ เป็นเวลานานๆ แน่นอนว่าจิตใจของพวกเราคงเกิดบาดแผล และเกิดผลเสียต่อสุขภาพตามมา เพราะความผิดหวัง (disappointment) ที่สะสมมาเป็นเวลานาน หากไม่มีวิธีการรับมือที่ถูกต้อง จะก่อให้เกิดความเครียดเรื้อรัง พร้อมก่อภาวะซึมเศร้า จนทำให้พวกเรารู้สึกสิ้นหวังกันได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อการใข้ชีวิตของเราอย่างมาก เพราะความสิ้นหวัง (hopelessness) ทำให้เราคิดแต่อะไรลบๆ โดยเฉพาะเรื่องการทำลายความคาดหวังของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น คิดว่าชีวิตจะต้องแย่แบบนี้ตลอดไปโดยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หรือ คิดว่าความเศร้าของตัวเองจะคงอยู่ตลอดไป ความสิ้นหวังยังนำมาซึ่งพฤติกรรมแย่ๆ 2 รูปแบบ ได้แก่ 1.ติดอยู่ในวงจรของความรู้สึกแย่ๆ และการกระทำแย่ๆ และ
สิ่งที่ทำร้ายเราได้ ไม่ได้มีแค่ คนเลว สัตว์ร้าย หรือ อุบัติเหตุบนท้องถนน แต่จิตใจของเราเองก็สามารถทำร้ายเราได้เช่นกัน และว่ากันว่า จิตใจเราเองนี่แหละที่ทำร้ายเราได้อย่างเจ็บแสบมากที่สุด!!! ฟรีดริช นิทเช่ นักปรัชญาชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เคยกล่าวในงานเขียนของตัวเอง “Thus Spoke Zarathustra” ว่า “ศัตรูที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่คุณเคยเจอมามักเป็นตัวคุณเสมอ” (the worst enemy you can meet will always be yourself) ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะในทางจิตวิทยามีสิ่งที่เรียกว่า ‘การทำร้ายตัวเองทางอารมณ์’ (emotional self-harm) ที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเราได้ไม่ต่างจากการทำร้ายตัวเอง แต่ร้ายแรงกว่า เพราะ บางคนอาจกำลังทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ตัว! วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากมาเตือนทุกคนถึงภัยของ emotional self-harm โดยการบอกเล่า 5 อาการทางจิตที่เป็นการทำร้ายตัวเอง พร้อมแนะนำวิธีการป้องกัน และละเลิกนิสัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดีกันถ้วนหน้า!! วิจารณ์ตนเอง (self-criticism) แม้การวิจารณ์ตนเองจะช่วยให้เราได้เรียนรู้ถึงข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ถ้าเราวิจารณ์ตัวเองในระดับที่รุนแรงมากเกินไป