ในโลกที่ Submariner กลายเป็นนาฬิกาหรูสำหรับนักสะสม ใครจะรู้ว่ายุคหนึ่ง Rolex Submariner ถูกสร้างขึ้นเพื่อใส่ใน ‘สงคราม’ สำหรับปฏิบัติการใต้น้ำของทหารอังกฤษจริง ๆ นั่นคือ Rolex Submariner 5513 “MilSub” อีกหนึ่งสุดยอดแห่งความแรร์สำหรับนักสะสมตัวจริง ในช่วงปี 1957 ถึงปลายยุค ‘70s รัฐบาลอังกฤษ โดย Ministry of Defence (MOD) ต้องการนาฬิกาดำน้ำคุณภาพสูงสำหรับหน่วยรบพิเศษ Royal Navy จึงสั่งให้ Rolex ผลิต Submariner ที่ผ่านการดัดแปลงเฉพาะกิจขึ้นมา นาฬิกาเหล่านี้ไม่ได้มีไว้ขาย ไม่เคยอยู่ในแค็ตตาล็อกทั่วไป มันถูกส่งตรงจาก Rolex ไปยัง MOD เท่านั้น โดยมีทั้งหมด 4 รุ่น แต่ที่โด่งดังที่สุดก็คือ Ref. 5513 เรือนนี้ และตามเอกสารยังระบุว่าเป็น standard equipment สำหรับทหารเรืออีกด้วย FUNCTION BEFORE FORM
บนหน้าปัดดำสนิทของนาฬิกาดำน้ำที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเท่เหนือยุคสมัย มีตัวอักษรสีแดงเพียงหนึ่งบรรทัด ที่บอกชัดเจนว่าเรือนเวลานี้ไม่เหมือนใครในโลก มันเขียนว่า “SUBMARINER” และเพียงแค่โลโก้สีแดงหนึ่งบรรทัด… ก็สามารถสร้างตำนานให้เรือนเวลาได้ Rolex เปิดตัว Submariner Ref. 1680 ในปี 1967 Submariner รุ่นแรกที่เพิ่ม ฟังก์ชันวันที่ พร้อมเลนส์ Cyclops และที่สำคัญที่สุดคือ รุ่นพิเศษที่โลกจดจำในชื่อว่า “Red Sub” มันไม่ใช่แค่ Submariner ธรรมดาที่ใส่ตัวหนังสือแดง แต่มันคือสัญลักษณ์ของ ช่วงเปลี่ยนผ่านทางเทคนิคและดีไซน์ ของ Rolex ที่สำคัญมาก เป็น Submariner รุ่นเดียวที่เคยใช้ตัวอักษรแดง เป็น Submariner รุ่นแรกที่มีวันที่พร้อมเลนส์ Cyclops (Sea-Dweller เป็น Dive watch รุ่นแรกที่มี date window แต่ไม่มี Cyclops) เป็น Submariner Date รุ่นเดียวที่ใช้กระจก Acrylic box-shaped พร้อม Cyclops
นี่ไม่ใช่ GTT 4 ประตูที่เอามาแต่งเป็น GT-R แต่นี่คือ GT-R 4 ประตูของแท้จากโรงงาน ที่หลายคนยังไม่รู้ว่ามีอยู่จริง เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Tokyo Motor Show ครั้งที่ 32 ช่วงปลายปี 1997 การร่วมมือกันระหว่างสำนัก Autech Japan และ Nissan ความแรร์ที่ถูกผลิตเพียง 416 คันในโลกเพื่อฉลองครบรอบ 40 ปีของชื่อ “Skyline” ภายใต้คอนเซปต์สุดเท่ว่า “Sports sedan of highest performance for grown-ups.” แม้มันจะใช้พื้นฐานจาก Skyline R33 4-door แต่ Autech ไม่ได้เอามาแค่ตัดแปะดีไซน์เข้าไป พวกเขาออกแบบประตูหลังและโป่งซุ้มล้อหลังขึ้นใหม่ เพื่อให้ได้เส้นสายแบบ Blister Fender โป่งนูนสปอร์ต เสริมให้รถมีมิติที่บึกบึนแบบ GT-R 2 ประตูและรับกับตัวถังซีดานอย่างแนบเนียน ดีไซน์ภายนอกสุขุมสมกับตำแหน่ง “Gentleman’s
ผลงานล่าสุดจาก Singer : Porsche 911 Carrera Coupe Reimagined by Singer แรงบันดาลใจจากตำนานสุดแรร์ 911 SSE (Super Sport Equipment) ตัวถังแบบ wide-body ที่โด่งดังเรื่องโป่งข้างหนา ๆ และสปอยเลอร์ท้าย Whale Tail เอกลักษณ์จากยุค 80s พร้อมเพิ่มดีเทลใหม่สุดเท่ – ไฟ pop-up hood-mounted แบบฝังบนฝากระโปรงหน้า เติมกลิ่นอาย retro-futurism ได้อย่างลงตัว Singer จัดเครื่อง 4.0 ลิตร NA flat-six ที่พัฒนาร่วมกับสำนัก Cosworth จัดแรงม้าให้ถึง 420 hp พร้อมเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง และโครงสร้างตัวถังที่เสริมความแข็งแกร่งใหม่ด้วยเทคนิคจาก F1 โดยร่วมมือกับ Red Bull Advanced
ในโลกที่ SUV ไม่ได้มีไว้แค่รับ-ส่งลูก แต่กลายเป็นสนามประลองของผู้มีอันจะซิ่ง Aston Martin จึงขอแนะนำ DBX S ยกระดับความแรงมากกว่าเดิม ขยับเพดานขึ้นอีก 20 แรงม้า ด้วยชุดเทอร์โบใหม่ที่ยืม DNA มาจาก Valhalla ซูเปอร์คาร์สายพันธุ์ไฟต์เตอร์ของ Aston เอง หลังจากที่ Aston ตัด DBX รุ่นพื้นฐาน 542 แรงม้าออกจากไลน์เพราะไม่มีใครอยากได้ มันเหลือแค่ DBX707 ตัวแรงที่เคยครองบัลลังก์ SUV สายโหดของค่าย แต่ตอนนี้ คำว่า “แรงพอแล้ว” ดูจะกลายเป็นสิ่งล้าสมัย เพราะ DBX S ขยับเพดานขึ้นอีก 20 แรงม้า ด้วยชุดเทอร์โบใหม่ที่ยืม DNA มาจาก Valhalla — ซูเปอร์คาร์สายพันธุ์ไฟต์เตอร์ของ Aston เอง ผลลัพธ์คือ 717 แรงม้า กับแรงบิด 900
FERRARI 296 SPECIALE / SPECIALE A กับเครื่องยนต์ V6 ที่จะทำให้คุณลืม V12 ไปเลย นี่คือรถ 2 เวอร์ชันที่แตกต่างกันทั้งฟีลและฟังก์ชัน — Speciale คือคูเป้หลังคาแข็งสายเฉียบ ส่วน Speciale A (Aperta) คือเวอร์ชันเปิดประทุนหลังคาแข็งพับได้ สำหรับคนที่อยากเปิดรับเสียง V6 hybrid ให้พุ่งเข้าสองรูหูแบบไม่มีอะไรมาขวางกั้น ใต้ฝากระโปรงคือขุมพลังเดียวกัน — Hybrid V6 เทอร์โบคู่ ขนาด 3.0 ลิตร ที่อัปเกรดทุกระบบด้วยเทคโนโลยีจากไฮเปอร์คาร์ F80 ตั้งแต่ก้านสูบไทเทเนียม ลูกสูบอะลูมิเนียม ไปจนถึงระบบระบายความร้อนใหม่ที่ทำให้พลังไฟฟ้าเค้นได้ลื่นและแรงกว่าเดิม รวมกันแล้วได้ 868 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลังผ่านเกียร์ dual-clutch 8 สปีด ที่จูนใหม่ให้ดุดันขึ้นทุกจังหวะ อัตราเร่งยังคงคมเฉียบตามแบบฉบับ Maranello — 0–100 km/h ภายใน 2.8 วินาที
ในหมู่รถแข่งที่เคยแบกรหัส CSL (Coupe Sport Leichtbau) ของ BMW ไม่มีคันไหน “เกินหน้าเกินตา” รุ่นปี 1975 ที่พุ่งสู่สนามแข่ง IMSA North America ได้อีกแล้ว นี่คือ BMW 3.5 CSL GTO Batmobile สายพันธุ์โหดสุด ที่ไม่ใช่แค่ทำให้โลกรู้จัก BMW Motorsport แต่ยังสร้างตำนานให้ BMW บนแผ่นดินอเมริกาอย่างแท้จริง The Road from ETCC to IMSA แรกเริ่มเดิมที BMW 3.0 CSL ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อชิงแชมป์ European Touring Car Championship (ETCC) ในยุโรปมันครองบัลลังก์ไปแล้วตั้งแต่ปี 1973 แต่ฝั่งอเมริกา BMW ยังเป็น “ผู้มาใหม่” ที่แทบไม่มีใครรู้จัก Bob Lutz และ
นี่ไม่ใช่ Porsche 911 ธรรมดา แต่มันคือรถที่เกิดจากความฝันของชายคนหนึ่งที่อยากให้ 911 วิ่ง 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Jan Fatthauer ชายชาวเยอรมันผู้คลั่งความเร็ว ก่อตั้งสำนักแต่งชื่อ 9ff ขึ้นในเมือง Dortmund ด้วยเป้าหมายที่จะ “สร้าง 911 ที่เร็วที่สุดในโลก” โดยใช้ Porsche 911 Turbo (996) มาโมดิฟายท้าทายขอบเขตของ “street-legal car” ที่ต้องทำความเร็วได้เกิน 400 km/h เครื่องยนต์ 3.8L Twin-Turbo Flat-Six 840 แรงม้า แรงบิด 870 Nm RWD ภายนอกชุดแต่งเสริม Aerodynamics ประกอบด้วย Carbon hood, carbon roof, rear wing แบบ Le Mans กับน้ำหนักตัวราว 1,400
Porsche 911 ‘Spirit 70’ ย้อนวันวานด้วยกลิ่นอายยุค 70’s ตั้งแต่ภายนอกสี Olive Neo อันเป็นเอกลักษณ์ จนถึงภายในที่ชุบชีวิต “Pasha Seats” เบาะลายตารางสุดเฟี้ยวที่ Porsche เอามาใช้ในช่วงปลายยุค 70s เบาะ Pasha Seats นี่โดดเด่นมาก ๆ นะ เพราะมันไม่ใช่แค่ลายตารางธรรมดา แต่มันเป็น optical illusion เหมือนกำลังเคลื่อนไหวในสายลมตอนขับเร็ว ๆ มาจากไลฟ์สไตล์หรูหราแบบบาร็อคผสมดิสโก้ เท่แสบตาแต่โคตรมีรสนิยม วัสดุเบาะเป็นการผสมผสานของ Textile และ Flock Yarn สี Olive Neo ตัดกับดำอย่างลงตัว ใครที่อินกับลุควินเทจสามารถอัปเกรดเพิ่มลายนี้ไปยังเบาะพนักพิงหลังและแผงคอนโซลได้ด้วย บอดี้สีเขียว Olive Neo ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับรุ่นนี้โดย Porsche Exclusive Manufaktur เป็นเฉดเขียวหม่นแบบมีเสน่ห์ลึกลับ ผสานกับล้อ Center-lock สีเทาทอง (Gold Grey) ขนาด
“เหมือนเปิดแท็บ browser ไว้ 40 อัน แล้วลืมว่ากำลังทำอะไรไว้แต่ละแท็บ…” – ถ้าประโยคนี้โดนใจคุณ… มีโอกาสสูงว่าคุณอาจมีสิ่งที่เรียกว่า Attention Deficit Hyperactivity Disorder อยู่ในตัว และมันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คนชอบเข้าใจผิด คนที่มี ADHD ส่วนใหญ่มักจะเจอปัญหาเช่น “โฟกัสไม่ได้” ไม่ใช่เพราะไม่ตั้งใจ แต่เพราะสมองรับสิ่งเร้าเยอะเกินไป และ “ความคิดล้น” สมองทำงานพร้อมกันหลาย tasks พร้อมคิดเรื่องอนาคต คิดย้อนอดีตโผล่ขึ้นมาอีก ซึ่งการที่สมองของเราทำงานหลายหน้าที่พร้อมกันมากกว่าคนอื่น ส่งผลให้เราเหนื่อยแบบไม่รู้ตัว เพราะแค่จะนั่งนิ่งๆ ทำงาน ก็ต้องฝ่าความฟุ้งในหัวให้ได้ก่อน ADHD ในหมู่คนทำงาน โดยเฉพาะคนทำอาชีพสายสร้างสรรค์ นักการตลาด เจ้าของธุรกิจ ฟรีแลนซ์ มักไม่ได้แสดงออกแบบ “อยู่ไม่สุข” เหมือนในเด็ก แต่จะกลายเป็น “ความคิดวุ่นวายระดับลึก” ที่จัดการยากกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจ เริ่มเร็ว เบื่อง่าย เสพติดไอเดียใหม่ : ตื่นเต้นกับการเริ่มต้นโปรเจกต์ใหม่ๆ แต่พอผ่านไปไม่กี่วัน ความน่าเบื่อมาเยือน ก็อยากจะเริ่มอย่างอื่นต่อ โฟกัสหลุดง่าย ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เพราะสมองไวเกินไป
เราถูกสอนให้เชื่อว่า ความสุขคือสิ่งที่ต้องวิ่งตามให้ทัน เราถูกหล่อหลอมด้วยภาพจำว่า ถ้าเรียนจบ ได้งานดี มีเงินเดือนดี ซื้อบ้าน ซื้อรถ มีแฟนดี ๆ เดี๋ยวเราก็จะมีความสุขเอง “ถ้าได้สิ่งนั้น ฉันจะมีความสุข” แต่พอได้ทุกอย่างแล้ว ทำไมมันยังรู้สึกว่างเปล่าอยู่ลึก ๆ เหมือนเราทุ่มทั้งชีวิตวิ่งไปข้างหน้าเพื่อไปเจออะไรบางอย่าง แล้วกลับพบว่า มันไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย เหมือนพยายามจะเติมถังน้ำที่มีรูรั่วอยู่ข้างล่าง นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า Hedonic Treadmill มันคือวงจรที่เราจะตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ ๆ แค่ช่วงแรก แล้วความรู้สึกพิเศษนั้นจะหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็น “เรื่องปกติ” ภายในเวลาไม่นาน แล้วก็เริ่มวิ่งหาเป้าหมายใหม่อีกครั้ง ไม่มีวันพอใจในความสุขที่มีอยู่ในครอบครอง แต่ทำไมบางคนกลับมีความสุขได้ง่าย ๆ กับเรื่องเดิม ๆ ทำไมความสุขถึงแตกต่างกันในแต่ละคน? สาเหตุเพราะ ทุกคนมี “จุดสมดุลของความสุข” ของตัวเอง ซึ่งถูกกำหนดจากพันธุกรรม บุคลิก และประสบการณ์ชีวิต แต่ข่าวดีคือ เราสามารถ “รีเซ็ตลู่วิ่งของความสุข” ได้ ไม่ใช่ด้วยการหาของใหม่มาเติม แต่ด้วยการหันกลับมาเข้าใจความสุขแบบลึกซึ้งมากขึ้น งานวิจัยพบว่ามีวิธีที่ช่วยให้เราเข้าถึงความสุขได้ง่ายขึ้น การฝึกขอบคุณในสิ่งที่เรามีด้วยความตั้งใจทุกวัน การเขียน gratitude journal
เพราะมนุษย์เกิดมาเพื่อมีชีวิตร่วมกันเป็นสังคม ไม่แปลกที่หลายครั้งเราเห็นการใช้ชีวิตของคนอื่น แล้วอดย้อนมามองดูตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะการทำงานที่ทำร่วมกันเป็นทีม แผนก หรือองค์กร ที่เราจะได้เห็นผลงาน เห็นความคืบหน้าของเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ ยิ่งช่วงหลัง Covid-19 และในสภาพเศรษฐกิจที่มีแต่ข่าวร้ายทุกวัน หลายคนต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อเข็นโปรเจกต์ออกมาขาย เพื่อทลายขีดจำกัดการทำงานเดิม ๆ เราจึงยิ่งได้เห็นคนทำงานไปไกลกว่าศักยภาพเดิม ๆ ของพวกเขาอยู่ตลอด แต่ยิ่งเป็นแบบนั้น หลายคนก็ยิ่งหดหู่ เพราะในขณะที่เราเห็นผลงานใครต่อใครก้าวไปข้างหน้า แต่ทำไมเรายังดูเหมือนว่าไม่ได้ขยับไปไหน? แล้วในวันที่เราเหมือนย่ำอยู่กับที่ แต่ทุกคนกำลังไปได้ดี เราจะต้องทำอย่างไร? หยุดเปรียบเทียบอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ต้องมาวิเคราะห์ดูว่าเกิดอะไรขึ้น และเราทำอะไรได้บ้าง? “วิเคราะห์และประเมิน” เพราะสิ่งที่รู้สึก อาจไม่ใช่ข้อเท็จจริง กุญแจสำคัญของการก้าวข้ามการเปรียบเทียบ (และรู้สึกน้อยอกน้อยใจ) ไปได้ ไม่ใช่แค่การอยู่ ๆ ก็บอกตัวเองว่า เฮ้ย เราแย่ เราทำงานน้อย เราทำงานไม่ดี แล้วก็ตะบี้ตะบันโหมงานหนัก หรือทำตามคนอื่น ๆ เพื่อให้ทันเขา แต่เป็นการที่เราต้องรู้จักวิเคราะห์และประเมินสิ่งที่เรากำลังทำ ถ้าเรารู้สึกว่า โห คนรอบตัวเรา ทุกคนทำมากกว่าเราทั้งนั้น นั่นอาจเป็นสิ่งที่เรารู้สึกแต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเสมอไป เพราะมันไม่ได้มีมาตรวัดการทำงานที่ใช้วัดกับทุกคนได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือเราสามารถประเมินและวิเคราะห์วิธีทำงานของตัวเราเองได้ ลองนึกภาพตัวเราเองนั่งอยู่ในห้องประชุมที่กำลังระดมไอเดียใหม่อย่างดุเดือด กระบวนการนี้กินเวลาทั้งวัน แต่ในช่วงเช้าระหว่างที่เรากำลังนั่งเงียบฟังอยู่นั้น
ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสโซเชียลที่เชี่ยวกรากไปด้วยไวรัลต่าง ๆ ซึ่งผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาจับจองพื้นที่หัวข้อสนทนาของพวกเราในแต่ละมื้อแต่ละเดย์แบบไม่ให้ได้ว่างเว้น เราเชื่อว่าหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นต้องมี Bar B GON ‘Oh My GON’ Collection เซ็ตฟิกเกอร์จี๊ดใจจาก Bar B Q Plaza ปักหมุดอยู่ในพื้นที่ความสนใจของใครหลายคนอย่างแน่นอน ยืนยันการคาดคะเนนี้ได้จากกระแสตอบรับเข้าขั้นถล่มทลาย เลื่อนฟีดไปไหนเป็นต้องเจอ ‘คนอวดของ’ โชว์ภาพฟิกเกอร์ Bar B GON ที่ตามล่ามาได้ด้วยความอุตสาหะ หลายคนถึงกับต้องโดดงานไปจัดเซ็ตอาหาร Oh My Pork! และ Oh My Beef! เพื่อให้ได้ครอบครองฟิกเกอร์พี่ก้อนก่อนที่ของจะหมดเกลี้ยงสาขา วันนี้เราจึงอยากจะขอล้วงลึกเบื้องหลังความปังของแคมเปญนี้ จากปากของ ‘รัฐ ตระกูลไทย’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ด้านการตลาดของ Bar B Q Plaza ที่เคยปลุกปั้นโปรเจกต์เจ๋ง ๆ มาแล้วมากมายตลอด 10 ปี ที่ร่วมงานกับ บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด กับความสงสัยที่ว่า
ประสบการณ์ที่เลวร้ายมักทำให้หลายคนเกิดอาการคิดมากจนเกินไปอยู่เสมอ เช่น บางคนไม่กล้าเปลี่ยนงานใหม่ เพราะกลัวว่าตัวเองจะหางานไม่ได้ หรือ ไม่เจองานที่ดีกว่า หรือ บางคนอาจเครียดเรื่องการเรียน เพราะกลัวว่าผลการศึกษาที่ไม่ดีจะทำให้ตัวเองกลายเป็นแรงงานที่ไร้คุณค่า เป็นต้น เรามักเรียกความกังวลที่เกิดขึ้นว่าเป็น Catastrophizing และถ้าเราไม่รู้จักวิธีการป้องกัน อาจทำให้เราเสียสุขภาพจิตได้ ความหมายของ Catastrophizing Catastrophizing คือ การจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่เลวร้าย และเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างแน่นอน โดยคนที่มีอาการนี้มักมองโลกในแง่ลบ และมองเห็นปัญหาที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นั่นหนักหนาสาหัสเกินความเป็นจริง จนพวกเขารู้สึกสิ้นหวังและตกอยู่ในความเครียดตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพวกเขากังวลกับการสอบตก พวกเขาจะคิดว่า การสอบตกทำให้ตัวเองกลายเป็นนักศึกษาที่ไม่ดี เรียนไม่จบ หรือ ไม่ได้รับใบปริญญา และไม่มีใครรับเข้าทำงาน สุดท้ายพวกเขาจึงด่วนสรุปไปเองว่า การสอบตกจะทำให้พวกเขาไม่มีความมั่นคงในชีวิต ซึ่งในเป็นความจริง คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากก็เรียนหนังสือไม่จบ หรือ เคยสอบตกมาก่อน แต่คนที่ Catastrophizing มักไม่คิดถึงเรื่องนี้ และหมกหมุ่นกับความคิดอันเลวร้ายของตัวเองเป็นตุเป็นตะ จนได้รับความเสียหายทางจิตใจอย่างแสนสาหัส ยังไม่มีใครตอบได้ว่า Catastrophizing เกิดขึ้นได้อะไร แต่หลายคนคาดว่ามันเกิดขึ้นได้หลากสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ได้รับข้อความที่มีความหมายกำกวมจนเราเกิดอาการคิดไปไกล เราให้ความสำคัญกับอะไรมากเกินไปจนคิดมาก หรือ เรากลัวอะไรบางอย่างมาเกินไป จนเรายิ่งคิดถึงผลลัพธ์แย่ ๆ ที่จะได้รับจากมัน
เวลาทำงานเราจำเป็นต้องพูดคุยกับใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน บอส หรือ ลูกค้า ทักษะในการสื่อสารที่ดีจึงสำคัญต่อการทำงานร่วมกับคนอื่นอย่างมาก เพราะถ้าเราคุยกับคนอื่นได้ไม่ดี เราอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือและประสบกับความล้มเหลวในการทำงานได้ UNLOCKMEN เลยอยากจะแนะนำ 5 ประโยคที่ไม่ควรพูดในที่ทำงาน โดยหวังว่ามันจะทำให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น “เราทำแบบนี้มาตลอด” แม้คุณจะเป็นฝ่ายถูก แต่การพูดแบบนี้มักทำให้หัวหน้ารู้สึกว่า “คุณไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แย่ของคนทำงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงสามารถนำสิ่งที่ดีกว่ามาสู่องค์กร ดังนั้นจงจำไว้ว่า สิ่งที่ทำมาตลอดไม่ใช่ว่ามันจะดีที่สุดเสมอไป บางสิ่งมันก็ควรเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ เช่น การเปลี่ยนจากทำงานบนกระดาษมาเป็นทำงานเอกสารบนคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตแทน แทนที่เราจะพูดแบบนั้น เราควรถามฝ่ายตรงข้ามกลับไปว่า “อะไร คือ ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการลองวิธีใหม่” ถ้าวิธีการทำงานแบบใหม่ดีกว่าวิธีเก่าจริง พวกเขาก็ควรบอกได้ว่าทำไมมันถึงดีกว่า แต่ถ้ามันไม่ได้ดีกว่าเลย คุณก็ควรบอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรใช้วิธีเก่ากันต่อไป “ผมจะลองดู” ถ้าเราใช้คำว่า “จะลองดู” หรือ “จะพยายามทำดู” นั่นหมายความว่า คุณไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองจะต้องทำ มันมีโอกาสที่จะล้มเหลวสูง ซึ่งความไม่มั่นใจและความกลัวไม่ใช่เรื่องดีสำหรับการทำงานเลย การทำให้หัวหน้าของคุณรู้สึกแบบนั้นจึงไม่ใช่เรื่องดีต่อตัวคุณเช่นกัน ดังนั้น แทนที่คุณจะพูดว่า “จะลองดู” ให้พูดว่า “จะทำให้อย่างสุดความสามารถดูครับ แล้วเดี๋ยวผมจะสรุปมาให้ว่ามีข้อดีข้อเสียอะไรเพื่อปรับปรุงได้บ้าง” แทน ซึ่งเป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพมากกว่า “ขอโทษครับ แต่….” เวลาที่คุณรู้สึกผิดกับความผิดพลาดของตัวเอง คำว่า
“โฆษณา” เป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ทุกที่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเราจะมองไปที่ไหนก็ตาม ถึงแม้ว่า “โฆษณา” จะเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม หรือรำคาญจนจ้องจะกดข้ามมันไปภายในเสี้ยววินาที แต่สำหรับบางคน โฆษณาคือสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาหลงใหลและมองเห็นคุณค่าของมัน จนวันนึงเขาสามารถที่จะเปลี่ยนโฆษณาให้กลายเป็น Content ทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จอย่างสวยงามได้ ซึ่งคุณเองก็สามารถเปลี่ยนความคลั่งอะไรบางอย่างให้กลายเป็นธุรกิจได้เช่นกัน วันนี้เราจะพาทุกคนเข้าไปในโลกของคนคลั่งโฆษณา “เพิท พงษ์ปิติ ผาสุขยืด” จาก Ad Addict สื่อออนไลน์ด้านโฆษณาและการตลาด ‘เพราะทุกสิ่งในโลก ล้วนเป็นโฆษณา’ และหาวิธีทำให้คนอื่น ๆ ได้เห็นมุมมองดี ๆ ของมัน ใช้ชีวิตอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข มาดูกันว่าคนคลั่งโฆษณาอย่างคุณเพิท สร้างรายได้จากโฆษณาได้อย่างไร มีคำแนะนำอะไรสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจจากความคลั่งของตัวเองบ้าง จากตัวแทนแข่งแผนการตลาดสมัยมหาวิทยาลัย กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณเพิทคลั่งไคล้โฆษณา สู่การเป็น Founder ของเพจ Ad Addict ที่กำลังไปได้ดีมาก น่าจะคล้ายกับความฝันของคนรุ่นใหม่หลายคน ที่อยากจะทำงานหาเงินบนสิ่งที่ตัวเองคลั่งไคล้บ้าง “ทำไมมาอินกับโฆษณา? จุดเริ่มต้นต้องย้อนกลับไปสมัยมหาวิทยาลัย เราเรียนอยู่คณะการตลาด มันจะมีกิจกรรมนึงที่อาจารย์ให้จับกลุ่มกับเพื่อนเพื่อไปแข่งประชันแผนการตลาด ช่วงนั้นเราชอบแข่งแผนพวกนี้ เราจึงได้รู้จักเอเจนซี่โฆษณา แล้วได้ไปฝึกงานที่หนึ่งจนเหมือนกับได้เปิดโลก” “เรารู้สึกว่าโฆษณามันเป็นพลังอันหนึ่งที่สุดยอดมากนะ มันเปลี่ยนแปลงการกระทำของคน เปลี่ยนแปลงความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก หลาย ๆ
เมื่อเราพูดถึงสมุนไพรสายเขียวในปี 2023 ซึ่งเปิดกว้างมากในประเทศไทย เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่พูดกันถึงนักเพาะปลูกหรือที่ทั่วโลกต่างเรียกพวกเขาว่า Grower อาชีพอันทรงเกียรติ เป็นที่ต้องการของตลาด และมีรายได้สูงมาก (ในต่างประเทศ) แต่ประเทศไทยยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก ด้วยความหลงไหลในพืชใบแฉกปนกับความสงสัยซึ่งมาพร้อมกับคำถามสำคัญว่า “เราจะปลูกพืชชนิดนี้ด้วยตัวเองกันไปทำไมในวันที่สามารถหาซื้อได้ง่ายดาย” คอลัมน์ Man Up ประจำเดือนเมษายน UNLOCKMEN จึงชวน ‘เตอร์’ หรือที่ในวงการรู้จักเด็กหนุ่มวัย 26 คนนี้ดีในชื่อ ‘พี่หมีแห่ง GrowStuff’ เปิด Private Workshop ที่ให้ Exclusive Group ของเราเข้าคลาสเรียนวิชา Grower 101 กันแบบใกล้ชิด รู้ทุกสิ่งที่ควรรู้เบื้องต้น ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวผลิตผล พร้อมเปิดมุมมองว่าจริง ๆ แล้วพืชชนิดนี้คือศิลปะที่ล้ำลึกมากกว่าแค่เพื่อเก็ทไฮน์ ทำความรู้จัก GrowStuff กันก่อน (ฉบับย่อ) GrowStuff Shop คือร้านขายอุปกรณ์การเกษตรโดยเน้นที่สมุนไพรใบแฉกเป็นหลัก (ภายใต้ชื่อบริษัท GrowStuff Supply and Service) ซึ่งอย่างที่รู้กันว่ามี ‘เตอร์-ฉัตรทอง ริมทอง’ เป็น
ทำยังไงถึงจะเกษียณก่อนอายุ 40 ได้? วันนี้ UNLOCKMEN มีคำตอบมาฝากครับ ในยุคปัจจุบันเป็นยุคที่คนรุ่นใหม่หลาย ๆ คนใฝ่ฝันถึงการเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่เป็นอิสระ ออกไปเที่ยว ไปใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการได้ ฟังดูเหมือนจะเป็นความฝันที่ห่างไกลความเป็นจริงใช่ไหมครับ แต่!…ในตอนนี้แนวคิดนี้ได้เกิดขึ้นจริง ๆ แล้วในหมู่วัยรุ่นชาวตะวันตก ที่วางแผนเกษียณก่อนวัย 40! ด้วยแนวคิด “FIRE MOVEMENT” “FIRE MOVEMENT” มาจากคำว่า FI : Financial Independence และ RE : Retire Early ใช้นิยามถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากจะมีอิสรภาพทางการเงิน มีชีวิตที่เป็นอิสระเร็วกว่าคนปกติ หรือเกษียณอายุในช่วงอายุ 30 – 40 ปี นั่นเองครับ นั่นแปลว่าพวกเขาก็ต้องวางแผนทางการเงินอย่างเข้มข้น จริงจังกว่าคนทั่วไปด้วยเช่นกัน นั่นคือ ‘การเก็บออม’ และ ‘การลงทุน’ โดยมีเป้าหมายในการเก็บออมให้ได้ 50% – 80% ของรายได้ และสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีขนาดประมาณ 25 เท่าของรายได้ในแต่ละปี