หากจะกล่าวคำว่า “พังก์” (Punk) หลาย ๆ คนคงมีภาพจำในใจที่แตกต่างกันออกไป บางคนคิดไปถึงเหล่าวัยรุ่นอังกฤษ ทรงผมชี้แหลม สวมปลอกคอหนาม และรองเท้าหนัง Underground บ้างเป็นวัยรุ่นอเมริกัน ผมยาว สวมแจ็คเก็ตหนัง หรืออาจข้ามสัญชาติกลับมานึกถึงวงดนตรีแนว J-Rock จากญี่ปุ่น วัฒนธรรมพังก์ ถือกำเนิดตั้งแต่ยุค 70’s พวกเขาคือกลุ่มคนที่มีทัศนคติ วิถีคิด แฟชั่น และรสนิยมทางดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ มันชัดเจนมากเสียจนทำให้คนธรรมดาสามัญรับรู้ได้ว่า อะไรที่เห็นแล้วรู้สึกว่า ‘พังก์’ โดยไม่ต้องทำความเข้าใจเชิงลึกเสียด้วยซ้ำ สำหรับกลุ่มคนที่ยังดำรงและขับเคลื่อนในวัฒนธรรมนี้ มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน BKK PUNK BannBar ร้านเล็ก ๆ กลางซอยรางน้ำคือหนึ่งในสถานที่ที่ชาวพังก์ไทยมักมารวมตัวกัน เริ่มต้นจาก ‘ฉัตร’ และ ‘ปุ้ย’ สองพี่น้องผู้รักในดนตรี วิถีคิด ศิลปะ และแฟชั่นพังก์ ครอบครัวของพวกเขาทำร้าน BaanBar มายาวนานกว่า 12 ปี ต่อมาที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งรวมตัวคนที่ชอบอะไรเหมือนกันไปโดยปริยาย เมื่อเราถามถึงจุดเริ่มต้นของพวกเขา คำตอบส่วนมากมักเกิดจากความสนใจดนตรี การบอกปากต่อปาก รุ่นพี่รู้จักรุ่นน้อง
“ผมไม่ใช่คนตลก” อาจมีใครหลายคนออกตัวแบบนั้น อาจมีใครหลายคนที่บอกกับคนอื่น ๆ ว่าเรื่องมุกขำขัน เสียงหัวเราะ ความตลกและการเสียดสีเป็นเรื่องที่เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย แต่ถ้า “ผมไม่ใช่คนตลก” คือประโยคที่ออกมาจากปาก น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา พิธีกรมืออาชีพที่ใคร ๆ ก็ลงความเห็นว่าตลกหาตัวจับยาก เราคงส่ายหัวไม่เชื่ออยู่ในใจ แต่น้าเน็กบอกกับเราแบบนั้นจริง ๆ และเราก็ตกตะลึงเป็นครั้งที่หนึ่ง ก่อนจะตกตะลึงเป็นครั้งที่สองเมื่อน้าเน็กบอกว่าแม้เขาจะไม่ใช่คนตลก แต่สำหรับเขาความตลก อารมณ์ขันและเสียงหัวเราะเป็นเครื่องมือที่ขับเคลื่อนชีวิตเขาไปสู่ความสำเร็จ สำหรับเขาความตลกจึงไม่ต่างจากปรัชญาและศาสตร์ล้ำลึกที่เขาตั้งใจเรียนรู้อย่างมุ่งมั่นและหนักหน่วงเพื่อทำให้ตัวเองแตกต่างและโดดเด่นออกมาในโลกและสมรภูมิการงานที่เชือดเฉือนกันอย่างดุเดือด เฮ้ย ถามจริง ความตลกนี่ต้องเรียนรู้กันขนาดนั้นเลยเหรอวะ? เราแอบอุทานในใจเพื่อไม่ให้น้าได้ยิน แต่เมื่อเขาบอกเราอย่างหนักแน่นว่าปรัชญาการทำงานอย่างหนึ่งของเขาคือการคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “มันจะต่างออกไปในความเหมือนเดิมได้ยังไง?” เราก็เชื่อหมดใจว่าคนอย่าง น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา พร้อมควานหา เสาะแสวงเพื่อตามหาหนทางที่ดีขึ้น แตกต่างขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ความตลกและเสียงหัวเราะที่แม้เขาจะไม่ใช่คนตลกโดยธรรมชาติ แต่ก็เรียนรู้มันในฐานะศาสตร์หนึ่งอย่างรอบด้านจนใช้ความตลกเป็นเครื่องมือได้อย่างมืออาชีพ จากโทรทัศน์สู่ออนไลน์ เพราะไม่ใช่คนตลกจึงหาหนทางใหม่ได้เสมอ เราเชื่อว่าใครหลายคนผูกภาพจำว่าน้าเน็กต้องมาพร้อมความตลก ดุเดือด จนเคยมีคำนิยามพิธีกรฝีปากคมผู้นี้ว่า “โลดโผน หัวสี ปราดเปรียว เกรี้ยวกราด” จากภาพลักษณ์วันวานในจอแก้วสู่รายการในโลกออนไลน์อย่าง อย่าหาว่าน้าสอน และ หงี่-เหลา-เป่า-ติ้ว ที่มีคนดูเป็นแสน ๆ
คุณยังกระโดดอยู่ไหม? เราอยากเริ่มต้นบทสนทนากับ “ธนชัย อุชชิน” หรือ “ป๊อด-Moderndog” ด้วยวลีนี้ แต่ก็ยั้งปากไว้ได้ทัน หรืออาจเป็นเพราะเมื่อเขานั่งอยู่ตรงหน้าทำให้เราประหม่าเล็กน้อย แววตาของเขาทรงพลังอย่างอธิบายไม่ถูก เราจึงทักทายเขาเพื่อมารยาทอันควรแล้วเริ่มต้นบทสนทนา ทุกครั้งที่สิ้นสุดคำถามของเรา เขาจะนิ่งนึก ก่อนตอบออกมาเป็นประโยคที่เราอยากจะโควตเป็นคำคมประจำใจเก็บไว้ทุกคำ “ยังกระโดด และที่กระโดดเพราะมีคนท้าว่ากระโดดไหวมั้ย” ท้ายที่สุดเราก็ได้คำตอบของคำถามที่เราอยากรู้ เขายังกระโดด กระโดดเหมือนที่ 25 ปีก่อนเขากระโดดบนเวทีประกวดดนตรีซึ่งปูทางเขาสู่การเป็นนักดนตรีมืออาชีพถึงทุกวันนี้ “ผมชอบพลังงานจากการเคลื่อนไหว” “การเคลื่อนไหว” ในคำตอบของเขาไม่ได้หมายความถึงแค่การกระโดดโลดเต้นบนเวทีเท่านั้น แต่รวมไปถึงการเคลื่อนไปในมิติใหม่ ๆ ของชีวิต การท้าทายตัวเองให้สนุกกับการเรียนรู้ทุกรูปแบบ การกระตุ้นตัวเองให้ไม่ทิ้งสิ่งที่ทำมาตลอดอย่างดนตรี คู่ไปกับการที่ไม่เคยทิ้งความฝันวัยเด็กอย่างการทำงานศิลปะ เขาเคลื่อนไหวอย่างสุดขีดอย่างนี้มาโดยไม่หมดแรงได้อย่างไร? แรงบันดาลใจที่ขับเคลื่อนให้เขาก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดมาจากไหน? ให้บทสนทนานี้ไขข้อสงสัยของคุณ อนุญาตให้กระโดด หรืออยากนั่งนิ่ง ๆ แล้วกำซาบเรื่องของ “ป๊อด-ธนชัย อุชชิน” ไปพร้อมกันก็ย่อมได้ ชีวิตคือฤดูกาล เราจะผ่านทุกฤดูไปได้ ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ แต่เมื่อเราอยู่ตรงหน้าศิลปินที่เล่นดนตรีก็ประสบความสำเร็จ ทำงานศิลปะก็สำเร็จอย่างงดงามไม่แพ้กัน เราอดถามเขาไม่ได้จริง ๆ ว่า “ถ้ามีหนึ่งสิ่งที่ทำให้คุณมาถึงจุดนี้ คุณว่าหนึ่งสิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่” และบนถนนแห่งการทำงานสร้างสรรค์ ไอเดียมันสามารถพรั่งพรูออกมาได้เรื่อย ๆ จริงหรือ? หรือคนอย่างเขาจะมีเวทมนตร์บางประการที่เป็นความลับซ่อนไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้? “ผมว่าการเรียนรู้นะ ผมชอบการเรียนรู้ การเรียนรู้ไม่ใช่แค่ว่าไปรู้เรื่องราวอื่น
พี่ไปเริ่มต้นปั้นพระตอนไหน? “ไปเป็นเพื่อนเขา ไปปั้น ๆ ขยำ ๆ อยู่ 3 ปี แต่ก็ปั้นพระอย่างเดียว” ทำไมพี่ต้องปั้นพระ? “อ้าวแล้วทำไมจะไม่ใช่พระ ทำไมเป็นพระไม่ได้” “เออว่ะ…” คำตอบของมง – พงพันธ์ รุ่งหิรัญรักษ์ ครีเอทีฟไดเรกเตอร์จาก Mullen Lowe เอเจนซี่ระดับสากล มีดีกรีเป็นอาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ และเป็นศิลปินนักปั้น “พระ” ที่มีผลงานเป็นเอกลักษณ์ ทำเอาคนถามอย่างเราเสียทรงแล้วพยักหน้าเห็นด้วย จำได้ว่าตลอดการพูดคุยต้องตั้งสติไปเป็นระยะเพราะโดนซัดคำถามกลับมาแบบไม่ทันตั้งหลักหลายครั้ง และไม่บ่อยนักที่คนสัมภาษณ์อย่างเราจะต้องกลายเป็นคนตอบคำถามจากอีกฝ่ายเสียเอง ต่อไปนี้เราจะมาคุยเรื่องพระ ศาสนา ความสุข ความทุกข์ กับคนธรรมดาที่อยู่ในวงการโฆษณามา 20 ปี เขามีเหตุให้บังเอิญไปเกี่ยวข้องกับโลกของศิลปะ (ทำงานร่วมกับศิลปินระดับนานาชาติ) และศาสนาเพราะ “Intuition” ล้วนพร้อมการสร้างวีรกรรมแบกพระปั้นเอง 7 กิโลฯ ไปถวายองค์ดาไลลามะที่อินเดียกับมือมาแล้ว “มาทำงานกับผมไหม?” มงเล่าว่าก่อนจะปั้นพระได้ ก่อนจะได้เป็น curator (นักจัดงานศิลปะ) ทั้งหมดเริ่มจากการตามลุงของเพื่อนซึ่งเป็นเพื่อนของอาจารย์คามิน ชัยประเสริฐไปและได้พบกับอาจารย์เข้า ขากลับตอนจะแยกกัน อาจารย์คามินชักชวนให้ไปทำงานด้วยโดยให้โจทย์ว่า
‘ศิลปะ’ เป็นศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดอีกแขนงหนึ่งของโลกที่ไม่เพียงสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ และแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ผลงานของศิลปิน หากยังเป็นสิ่งที่ช่วยจรรโลงจิตใจมนุษย์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่าแทบทุกรายละเอียดยิบย่อยในชีวิตเราล้วนมีศิลปะเกี่ยวพันอยู่เสมอ แม้ศิลปะจะไม่เคยหยุดอยู่กับที่และถูกนิยามความหมายใหม่ในบริบทที่แตกต่างกัน แต่ผู้คนส่วนใหญ่ยังจำกัดศิลปะไว้เพียงในแกลเลอรีและพิพิธภัณฑ์เท่านั้น ติดภาพจำเดิม ๆ ว่าศิลปะต้องเป็นภาพวาดหรืองานประติมากรรมที่ตั้งตระหง่าน แต่ในความเป็นจริงแล้วศิลปะกว้างขวางมากกว่านั้น แล้วความสงสัยใคร่รู้ด้านศิลปะแขนงใหม่ก็พาเราเดินดุ่มมาหาคุณ ‘เบียร์-พันธวิศ’ คอลเลกเตอร์มือทองควบตำแหน่งพ่อมดแห่งวงการอีเวนต์ที่เชื่อเหมือนเราว่า ศิลปะไม่จำเป็นต้องอยู่ในแกลเลอรีเสมอไป มุมมองของคนเล่นของและศิลปะนอกแกลเลอรี “เบียร์-พันธวิศ” ถ้าเอ่ยชื่อนี้ในวงการอีเวนต์ เชื่อว่าหลายคนคงพอคุ้นหูกันอยู่บ้าง เพราะเขาคือหนุ่มนักสร้างสรรค์ที่มีไอเดียในหัวพลุ่งพล่านไม่รู้จบ เป็นเจ้าของบริษัทด้าน New Media & Interactive Media, บริษัทตกแต่งภายใน, บริษัทร่วมทุนรับเหมาก่อสร้าง หรือแม้แต่ดิจิทัลเอเจนซี่น้องใหม่ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ นอกจากตำแหน่งงานในหลากมิติอุตสาหกรรม สิ่งหนึ่งที่หลายคนยังไม่รู้คือคุณเบียร์ พันธวิศ ลวเรืองโชค เป็นหนึ่งในคอลเลกเตอร์ตัวยงที่รวบรวมของสะสมไว้เต็มโกดัง เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้คือศิลปะอย่างหนึ่งที่แตกแขนงแยกย่อย “ศิลปะมันไม่ใช่อะไรที่สูงส่ง แค่เป็นสิ่งที่คนเข้าถึงได้” “ตั้งแต่เด็ก ๆ มาจนถึงตอนนี้ ผมรู้สึกว่าคนที่ทำงานในแวดวงศิลปะกำลังถูกละเลย ไม่ว่าจะนักออกแบบ ศิลปิน หรืออาชีพอะไรต่อมิอะไร เพราะหากพูดถึงงานศิลปะ ผู้คนมักจะนึกถึงภาพวาดและงานประติมากรรมเท่านั้น แต่แก้วน้ำ เสื้อผ้า จานชาม ผ้าห่ม หรือเฟอร์นิเจอร์ก็เป็นศิลปะเหมือนกัน หากอยู่ใกล้ตัวมากไปจนผู้คนมองข้าม แค่นั้นเอง” แรงบันดาลใจที่เปลี่ยน ‘คนเล่นของ’
“เราทุกคนล้วนเคยผิดพลาด” เรากล้าพูดประโยคนี้ได้เต็มปากเต็มคำ ด้วยเชื่อว่ามนุษย์เราเกิดมาย่อมต้องเคยพลั้งเผลอทำอะไรที่ไม่ควรลงไปกันทั้งนั้น บางคนอาจพลั้งในสิ่งเล็กน้อย ในขณะที่บางคนพลาดจนพาตัวเองดำดิ่งลงไปในหลุมมืดมิดและคิดไม่ได้ว่าจะหาทางออกจากบ่อแห่งความผิดพลาดอันอนธการนั้นอย่างไร ถ้าเราร่วงหล่นลงไปในหลุมหม่นดำไร้ทางออก เราก็คงทำได้แค่จมลึกลงไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็ไร้เรี่ยวแรง ดิ่งอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดแล้ว แต่หากปากหลุมคือชีวิตใหม่ คือแสงสว่าง คือเพื่อนมนุษย์ที่เชื่อและยังมีความหวังในตัวเรา ไม่ว่าเราจะทำผิดพลาดไปแค่ไหน แต่มีคนที่พร้อมจะโอบกอด ให้อภัย ให้โอกาสและรับเราเข้าสู่สังคมอีกครั้ง ชีวิตใหม่นั้นจะดีแค่ไหน? เราจึงอยากชวนทุกคนมารู้จัก “BORN AGAIN” โปรเจกต์ทางดนตรีที่เต็มไปด้วยความหวังและความเชื่อว่ามนุษย์ไม่ว่าจะเต็มไปด้วยร่องรอย บาดแผล เคยต้องโทษ ถูกจองจำในหลุมมืดมิดมานานแค่ไหนก็พร้อมมีชีวิตใหม่อีกครั้ง เพียงทุกคนเปิดโอกาสให้พวกเขา นี่จึงเป็นโปรเจกต์ที่ใช้สื่อกลางอย่างดนตรีสื่อสารกับพวกเขาและคนในสังคมเพื่อบอกว่าทุกคนคู่ควรจะมีชีวิตใหม่อีกครั้ง หรั่ง-อัครินทร์ ปูรี, เจย์-สัจจเทพ และ SUNNY DAY (หรือที่เราคุ้นกับเขาในชื่อ เดย์ ไทเทเนียม) คือมนุษย์ 3 คนที่ริเริ่ม BORN AGAIN โปรเจกต์ที่ใช้ดนตรีเป็นสื่อระหว่างโลกที่เราเชื่อว่าสว่างกับบางมุมของโลกที่เราเชื่อว่าแสนมืดมิดอย่าง “ผู้ต้องขังในเรือนจำ” โดยดนตรีของพวกเขาส่งเสียงบอกคนในเงามืดนั้นว่า “คุณมีชีวิตใหม่ได้เสมอ” ด้วยการกระโจนลงไปเล่นดนตรีสด เปิดคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ในเรือนจำแต่ละแห่ง ให้ผู้ต้องขังทุกคนได้สัมผัสกับดนตรีและความเชื่อที่จะกลับตัวใหม่ รวมถึงการทำเพลงที่ชื่อเดียวกับโปรเจกต์ บอกเล่าเรื่องราวของหรั่ง ที่นอกจากจะเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มโปรเจกต์นี้ เขายังเป็นอดีตนักโทษชั้นเลวที่กลับตัว กลับใจและกลับมาใช้ชีวิตในสังคมอย่างขาวสะอาด เพื่อให้ชีวิตในมุมมืดของหรั่ง
ในยุคนี้คงไม่มีใครสามารถหลบกระแสของ Hiphop ที่มาแรงได้ เพราะไม่ว่าจะกดโทรทัศน์ไปช่องไหน หรือฟังวิทยุคลื่นอะไรก็จะต้องได้ยินเพลงแรปหรือเพลง Hiphop ผ่านหูผ่านตาไปสักเพลงอย่างแน่นอน UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยกับแรปเปอร์รุ่นเก๋าคนหนึ่งคือ “เวย์-ไทเทเนียม” หรือในอีกชื่อคือ “DABOYWAY” และทำให้เราได้เห็นแง่มุมของคนที่อยู่ในวงการ Hiphop มาอย่างยาวนาน ได้รู้ว่าพวกเขาคิดอะไร และรู้สึกดีแค่ไหนที่ได้เห็นเหล่าแรปเปอร์รุ่นใหม่กำลังพยายามก้าวตามความชอบและความฝันบนเส้นทางสาย Hiphop อย่างที่เวย์ได้เคยผ่านมาแล้ว เมื่อไม่สามารถหนีกระแส HIPHOP ให้พ้นได้ จึงนำมาสู่การกลายเป็นคนทำเพลง HIPHOP จุดเริ่มต้นที่ทำให้เวย์สนใจเพลง Hiphop มันเริ่มมาจากตรงไหน ? ตอนอยู่ที่อเมริกา เพื่อน ๆ ทุกคนในโรงเรียนฟังครับ ตั้งแต่ผมอายุ 6-7 ขวบ ฟังพวก MC Ren, Kris Kross, Dr. Dre, Snoop Dogg, Wu-Tang Clan, Nas และ Jay-Z ไล่มาเลย ช่วงนั้น Hiphop เป็นของใหม่ ดังแค่ในกลุ่ม underground แต่เวลาผ่านไปช่วงต้นยุค
“ประเทศไทยก็ดัดจริตในระดับหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราต้องเอาไฟแช็กไปแขวนไว้กับบุหรี่ตลอด” มันคงจะจริงอย่างที่ว่า เพราะสำหรับในประเทศไทยไฟแช็กถูกจับคู่อยู่กับบุหรี่มาตลอดทุกยุคทุกสมัย แต่ในช่วงวัยเด็กเราเห็นคนรุ่นพ่อจำนวนไม่น้อยที่ไม่สูบบุหรี่แต่ก็พกไฟแช็ก Zippo ติดกระเป๋าไปไหนมาไหนด้วยเสมอ ถือเป็นหนึ่งในตัวแทนความเท่ของผู้ชายที่อยู่มาทุกยุคทุกสมัย เพราะ Zippo เป็นไฟแช็กที่เท่ด้วยตัวของมันเอง UNLOCKMEN เคยเขียนเกี่ยวกับไฟแช็ก Zippo อยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับคนวงในที่คลุกคลีกับ Zippo อย่างจริงจัง จนเราได้มีโอกาสได้นั่งสนทนากับคุณ “รังสรรค์ จันทร์วรวิทย์” หรือคุณแต๋น ประธานและผู้ก่อตั้งชมรม Zippo Club Thailand สิ่งที่ UNLOCKMEN อยากรู้เกี่ยวกับ Zippo มีมากมายหลายหัวข้อนับไม่ถ้วนรวมถึงเรื่องราวของคุณแต๋นที่ทำให้ความชอบกลายเป็นธุรกิจแถมพอเมื่อทำแล้วก็ประสบความสำเร็จอีก เพราะไม่ใช่ทุกคนทำได้ และไม่ใช่ทุกคนมีความสุขกับการนำความชอบมาเป็นธุรกิจ เราจึงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการถามว่า อะไรที่ทำให้คุณแต๋นสนใจไฟแช็ก Zippo ? ผมเริ่มสนใจ Zippo มาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นประถมเพราะเห็นลุงใช้แล้วมันเท่มาก แถมสิ่งที่ทำให้เริ่มสนใจจริงจังเป็นเพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็จะเห็นลุงใช้ไฟแช็กอันเดิมเสมอ มันทนมาก มีเอกลักษณ์มากโดยเฉพาะเสียงเวลาเปิด-ปิด แต่กว่าจะมาสะสมจริง ๆ ก็ตอนทำงานมีเงินเป็นของตัวเองครับ เสน่ห์ที่แตกต่างระหว่างไฟแช็กอื่นกับ Zippo ในมุมของคุณแต๋นมีอะไรบ้าง ? อย่างแรกเลยคือเสียงคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นไฟแช็กที่กันลมได้ จุดแล้วไม่ดับง่าย ๆ แถมเล่นทริคได้อีกด้วย แต่สิ่งที่เป็นจุดแข็งทำให้
สิ่งที่เหมือนกันมากคือเราต่างมีความชอบเป็นของตัวเอง สิ่งที่ต่างกันมากคือไม้บรรทัดที่บางคนโยนใส่แล้วบอกว่าเรื่องที่เรากำลังทำ “ไร้สาระ” แต่ความซื่อสัตย์ของคนคอเดียวกันที่ลุกมาสนใจอะไรร่วมกัน จะเปลี่ยนมันให้เป็น “วัฒนธรรมย่อย” ในที่สุด เราสวมยูนิฟอร์มเดิมออกจากบ้าน เพื่อมาทำสิ่งเดิม ๆ ที่เคยทำในเมื่อวาน และจะทำต่อไปในวันพรุ่งนี้ ไทม์ไลน์ชีวิตที่มีหมวกหลายใบให้ใส่ตั้งแต่ก้าวออกจากบ้านยันกลับมาอยู่บ้าน บางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกไม่เป็นตัวเองทั้งที่ใช้ชีวิตของตัวเองอยู่ เราเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อน เป็นหัวหน้า เป็นลูกน้อง เป็นนักเรียน เป็นครู เป็นที่ปรึกษา และยังเป็นอะไรอีกหลายอย่างที่เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นเรา แต่ก็ยังรู้สึกอึดอัด เหนื่อยล้าและไม่พอใจเสมอ ทำไมเราถึงอยากจะเป็นอะไรเพิ่มอีก อะไรที่ไม่ใช่ตัวเราอยู่ดี การสวมวิญญาณเป็นคนอื่นและทำท่าทางลอกเลียนแบบนั้นมันสนุกตรงไหน คนกลุ่มนี้มาทำอะไร? ทำไมต้องเสียเงินเสียทองมาลงทุนกับสิ่งที่แต่งไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็ต้องถอดออก กลุ่มคนที่เอาจริงเอาจังกับการเป็นคนอื่น เป็นตัวการ์ตูนที่ไม่มีชีวิต เป็นฮีโร่ในเกมของโลกเสมือน หรือพยายามใกล้ชิดวัฒนธรรมที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนและหลงใหลมันสุดหัวใจ กลุ่มที่เราเรียกสิ่งที่พวกเขาหลงใหลและลงมือทำว่า “คอสเพลย์” บรรยากาศร้อน ๆ ริมท่าน้ำนนท์พร้อมแสงแดดที่ไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอยให้กับหุ่นรบจากเกมและหนังต่างสัญชาติแนวซูเปอร์ฮีโร่ เป็นภาพชวนทึ่งและแปลกตาสำหรับเรา 4 ฮีโร่ตรงหน้ามาจาก “ชมรมเชียร์ C4 Team” กลุ่มคอสเพลย์ชายชาวไทยที่เพิ่งไปคว้ารางวัลชนะเลิศจากประเทศเกาหลี จะเป็นอย่างไรถ้าฮีโร่ผู้เรียกรอยยิ้ม ถอดหน้ากากกลับมาเป็นตัวเอง จะเป็นอย่างไรถ้าเขาทบทวนเรื่องราวก่อนสวมชุดที่ตั้งใจทำขึ้นทั้งหมดนี้ แชร์ให้เราฟังกัน นับจากนี้ไปจนสิ้นสุดบทความ คุณจะไม่ได้เห็นใบหน้าของคนที่อยู่ภายใต้ชุดเหล่านี้ แต่เราถอดเรื่องเล่าและเรื่องราวทุกด้าน จากปากของคนที่ได้จับเข่าคุยด้านในไว้ครบถ้วน ชีวิตผู้ชายเริ่มต้นจากหุ่นยนต์สักตัว
ประโยคนี้คือประโยคจาก “ขวัญ-ชวิน นันทเทิม” ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการจัดแต่งทรงผมและผู้ก่อตั้ง BLACK AMBER ซึ่งเป็น Gentlemen’s Club และบาร์เบอร์สำหรับสุภาพบุรุษที่ทุกคนต่างรู้ดีว่าพิถีพิถันกับการจัดแต่งทรงผมผู้ชายแบบหาตัวจับยาก ใช่ ผู้ชายอย่างเราต่างรู้ว่าทรงผมสำคัญและอยากจัดแต่งทรงผมของตัวเองออกมาให้ได้ดั่งใจ ราวกับเดินออกมาจากบาร์เบอร์มืออาชีพ แต่หลายครั้งการเซ็ตผมตัวเองที่บ้านกลับไม่ราบรื่นอย่างที่หวัง UNLOCKMEN จึงพามาหาคำตอบกับ “ขวัญ-ชวิน นันทเทิม” เรื่องทรงผมที่เหมาะกับผู้ชายแต่ละคน และตัวช่วยไหนที่จะทำให้ผู้ชายจัดแต่งทรงผมง่าย ได้ดั่งใจ แถมสะดวกจนทำเองได้ทุกวัน การมีทรงผมอย่างใจต้องการ ไม่เกี่ยวกับว่าเราเป็นผู้ชายที่ชอบแต่งตัวจัดหรือไม่ แต่การมีทรงผมอย่างใจต้องการหมายถึงความมั่นใจจากภายในและบุคลิกภาพที่ดีที่ผู้ชายทุกคนควรพิถีพิถันในทุกวันของชีวิต “ถ้าพูดถึงเรื่องสไตล์เนี่ย ทรงผมสำคัญมากเท่ากับเสื้อผ้าและรองเท้าเลย มันคือรากฐานหนึ่งที่คนภายนอกจะมองเราว่ามี Personality แบบไหน เพราะฉะนั้นทรงผมถึงสำคัญมาก ๆ สำหรับผม” “ท้าท้ายที่สุดน่ะหรอ ผมว่าน่าจะเป็นการหาทรงผมที่เข้ากับคน ๆ นั้นครับ เพราะว่าประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่างมาก เขาทำอาชีพอะไร ไลฟ์สไตล์เป็นอย่างไร ลักษณะนิสัยเป็นคนอย่างไร ลักษณะเส้นผมเป็นลักษณะไหน บางทีเขาอยากได้ทรงผมนี้ แต่ว่าเส้นผมมันไปไม่ได้แน่ ๆ มันก็อาจจะยังไม่ใช่ทรงผมที่เหมาะสมมากนัก การหาจุดลงตัวสำหรับทรงผมของคนคนนั้น ผมว่าสำคัญมาก ๆ” ทรงผมสำหรับผู้ชายจึงเป็นทั้งรากฐานที่บ่งบอกตัวตน และเป็นความลงตัวที่ต้องการผู้ช่วยที่เข้าใจไลฟ์สไตล์และสภาพเส้นผมมาดูแลอย่างมืออาชีพ แม้ผู้ชายอย่างเราจะเก่งกาจจนสามารถเสกอะไรหลายอย่างให้ชีวิตตัวเองได้ แต่เรื่องทรงผมถ้าเรามีที่ปรึกษาหรือผู้ช่วยที่เชี่ยวชาญและมีความมืออาชีพเต็มเปี่ยม จะทำให้เรื่องทรงผมกลายเป็นเรื่องง่ายราวกับมีเวทมนตร์ “ตัวช่วยสำคัญมากครับ เพราะคนเราบางครั้งอาจจะยังไม่เข้าใจลักษณะเส้นผมของตัวเองเท่าไหร่